ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 210 จะแสดงความบริสุทธิ์ของตัวเองอย่างไร
เมื่อเจินซื่อเฉิงเห็นเจียงซื่อก็รู้สึกเป็นกันเองอย่างไม่รู้ตัว และอดโทษลูกชายที่ไม่พยายามอย่างอดไม่ได้
อะไรกัน เป็นเพราะเขาออกหน้าให้จึงถูกบิดาของนางปฏิเสธงั้นหรือ
ตอนนั้นตงผิงปั๋วเห็นด้วยแล้วชัดๆ ทว่าพอกลับจวนไปกลับเปลี่ยนความคิด คงเป็นเพราะลูกสาวของพวกเขาไม่ยอมแน่ๆ ซึ่งคงไม่ใช่เพราะลูกสาวของเขาเรื่องมากหรอก ต้องเป็นเพราะลูกชายของตัวเองที่ไม่พยายาม ไม่มีความสามารถทำให้หัวใจของนางเต้นแรงได้ต่างหาก
สายตาของเจินซื่อเฉิงทำให้เจียงซื่อรู้สึกอึดอัดขึ้นมา นางก็ไม่อยากจะเจอกันในสถานการณ์เช่นนี้บ่อยๆ นักหรอก! นางเป็นเพียงแค่เด็กสาวเงียบสุขุมคนหนึ่งเท่านั้น!
ไม่นาน ความสนใจของเจียงซื่อก็เปลี่ยนไปที่อีกคน
คนผู้นั้นยืนอยู่ด้านข้างเจียงซื่อเฉิง รูปร่างสูงโปร่ง ผอมบาง ผิวขาวนวล ใบหน้าที่ไร้ซึ่งความรู้สึกแสดงให้เห็นท่าทีที่เยือกเย็นโดยธรรมชาติ
เจียงซื่อตะลึงไปครู่หนึ่ง ไม่คิดเลยว่าอวี้ชีจะมาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ได้
อวี้จิ่นพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้มองไปอย่างสุดความสามารถ พลางเอามือที่แนบข้างลำตัวลูบหัวเอ้อร์หนิวไปมาเบาๆ
เอ้อร์หนิวมองนายหญิงแล้วสลับมามองเจ้านาย พลันส่ายหางไปมาอย่างรำคาญใจ
พอเจียงซื่อเห็นเอ้อร์หนิวก็ยิ่งประหลาดใจไปใหญ่
อวี้ชีกับใต้เท้าเจินปรากฎตัวออกมาพร้อมกันก็แปลกมากแล้ว แถมยังมีเอ้อร์หนิวเพิ่มมาอีก นางเริ่มสับสน
ไม่ช้าผู้คนก็ค้นพบถึงการมีอยู่ของเอ้อร์หนิว สีหน้าแปลกประหลาดใจโผล่ขึ้นมาทันที ทางการทำคดีพร้อมกับนำสุนัขมาด้วยตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!
“ซูซื่อจื่อพาข้าไปดูคุณชายรองหน่อยได้หรือไม่”
“เชิญใต้เท้าเจินตามข้ามา”
ศพของซูชิงอี้ถูกย้ายเข้าไปในห้อง เจินซื่อเฉิงทำการตรวจดูอย่างละเอียดอีกรอบ พลางให้ฝ่ายชันสูตรศพเข้ามาตรวจสอบ แล้วเดินไปที่ห้องรับแขก จากนั้นก็เริ่มถามขึ้น
“เจ้าเป็นคนที่ได้ยินคุณชายรองซูเอ้อร์ตะโกนว่าพี่ซื่อใช่หรือไม่”
สาวรับใช้นั่งคุกเข่าลงต่อหน้าเจินซื่อเฉิง ขณะที่กำลังจะเอ่ยตอบก็รู้สึกว่ามีสายตาอันแหลมคมจ้องมาราวกับคมมีดกรีดลงกลางอก ทำให้นางหวาดกลัว นางอดชำเลืองหางตามองเด็กหนุ่มรูปร่างผอมสูงที่ยืนอยู่ข้างกายเจินซื่อเฉิงไม่ได้ เมื่อเห็นสีหน้าอันเยือกเย็นของเด็กหนุ่ม พร้อมกับมือที่วางอยู่บนฝักมีดที่ห้อยอยู่ตรงเอว สาวรับใช้รู้สึกขนลุกขนชันขึ้นมาด้วยความกลัว พลันรีบก้มหน้าลง
เมื่อเห็นว่าสาวรับใช้ไม่พูดไม่จา เจินซื่อเฉิงขมวดคิ้วแน่น “เป็นอะไรหรือ”
“ใต้เท้าถามเจ้า เจ้าเป็นใบ้ไปแล้วหรือ” โหยวซื่อยื่นมืออกไปตบฉาดเข้าที่ใบหน้าอย่างอดไม่ได้
นางคนชั้นต่ำ ช่วงเวลาสำคัญกลับมาทำอะไรโง่ๆ
สาวรับใช้รีบพยักหน้า “ใช่เจ้าค่ะ ข้าน้อยได้ยินคุณชายรองตะโกนออกมาเช่นนั้น”
เจินซื่อเฉิงลูบเคราไปมา เอ่ยถามขึ้นอย่างไม่รีบร้อน “ตอนนั้นเจ้าได้ยินเสียงตะโกน ไม่ได้เข้าไปดูหรือ”
“ไม่เจ้าค่ะ ข้าน้อยเดินอยู่อีกทางหนึ่ง แม้จะห่างจากทะเลสาบจวีสยาไม่ไกลนัก แต่ก็มีพุ่มดอกไม้บังอยู่ จึงไม่เห็นสถานการณ์ริมฝั่งทะเลสาบ และตอนนั้นข้าน้อยรีบไปทำงาน จึงไม่ได้หยุดดู”
“เช่นนั้น เจ้าได้ยินแค่เสียง ไม่เห็นอะไรเลย”
สาวรับใช้ลังเล
เจินซื่อเฉินสีหน้าขรึมลง “เจ้าตอบข้ามาแค่ว่าใช่ หรือไม่ใช่”
“ใช่เจ้าค่ะ”
“เอาล่ะ เจ้าถอยไปก่อน” เจินซื่อเฉิงเบนสายตาไปที่เจียงซื่อ
เจียงซื่อเดินไปตรงหน้าเจินซื่อเฉิงอย่างไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใด แล้วเอ่ยพูดกับเขาก่อน “ใต้เท้าอยากถามอะไรก็ถามมาได้เลยเจ้าค่ะ”
ผู้คนต่างมองไปที่เจียงซื่อ หนึ่งในนั้นมีสายตาคู่หนึ่งที่ตั้งใจมองเป็นพิเศษ แม้เจียงซื่อจะไม่ได้หันไปมองก็รู้ว่าเป็นใคร
“แม่นางเจียงยอมรับในสิ่งที่สาวรับใช้พูดเมื่อครู่หรือไม่” ไม่ว่าจะชื่นชมเจียงซื่อเป็นการส่วนตัว ทว่าท่าทีไต่ถามคดีของเจินซื่อเฉิงยังคงสุภาพเรียบร้อย
เจียงซื่อนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้น “ก่อนหน้านั้นไม่นาน ข้าได้พบกับน้องรองที่ริมทะเลสาบจวีสยาจริงๆ”
“ที่แท้ก็เป็นเจ้าที่ทำร้ายอี้เอ๋อร์!” โหยวซื่อพูดด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น
เจียงซื่อมองไปที่นาง พลางเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา “ป้าสะใภ้ใหญ่ช่างแปลกเสียจริง การที่ข้าเจอน้องรอง ข้าต้องเป็นคนทำร้ายน้องรองงั้นหรือ หากไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามล้วนเดาเอาเอง แล้วจะให้ทางการมาทำอะไรล่ะเจ้าคะ”
“เจ้า…” โหยวซื่อโมโหจนพูดไม่ออก
นางไม่นึกเลยว่าเด็กคนหนึ่งจะยังคงปากดีได้แม้อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
อวี้จิ่นอดยิ้มออกมาไม่ได้ ดูเหมือนว่าอาซื่อจะไม่ได้ปากคอเราะร้ายกับเขาแค่คนเดียว กับหญิงมีอายุผู้นี้นางก็ไม่ไว้หน้าเช่นกัน พอคิดถึงตรงนี้ อวี้จิ่นก็หุบยิ้มลง เทียบกับหญิงมีอายุที่น่าเกลียดน่าชังผู้นี้ ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรให้น่าดีใจเท่าไหร่…
“ซื่อจื่อฮูหยิน ขณะที่ข้ากำลังซักถาม ขอให้ท่านอยู่ในความสงบด้วย”
โหยวซื่อใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที
“แม่นางเจียง เล่าเหตุการณ์ตอนที่เจอคุณชายรองซูเอ้อร์มาอย่างละเอียดเถอะ”
เจียงซื่อไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย นางพูดเสียงดังฟังชัด ทุกๆ คนล้วนได้ยินหมด “ข้ากับอาหมานกำลังไปหาพี่ใหญ่ ขณะที่เดินผ่านทะเลสาบจวีสยา จู่ๆ น้องรองก็กระโดดออกมาจากพุ่มดอกไม้เพื่อขวางทางข้า…”
อวี้จิ่นได้ยินก็รู้สึกเจ็บใจ สมกับเป็นลูกชั่วที่ถูกเลี้ยงออกมาในครอบครัวที่แย่เช่นนี้จริงๆ ถ้าหากยังไม่ตายเขาคงย้อนกลับมาฆ่าให้ตายอย่างสาสมแน่
“จากนั้นล่ะ พวกเจ้ามีปากเสียงกันหรือไม่”
เจียงซื่อสีหน้านิ่งสุขุม “ไม่มีเจ้าค่ะ น้องรองเป็นเหมือนเด็กน้อย เขาเพียงแค่อยากให้ข้าเล่นด้วย แต่ข้ารีบไปหาพี่ใหญ่จึงรีบเดินออกไป”
ส่วนเรื่องสาวรับใช้ชุดดำที่นำทาง เจียงซื่อไม่ได้พูดออกมา
เวลานี้หาตัวสาวรับใช้ชุดดำผู้นั้นไม่เจอแล้ว ทั้งไม่รู้ชื่อและไม่รู้ว่ามาจากไหน สถานการณ์ที่อ่อนไหวเช่นนี้หากไม่คิดให้ดีแล้วพูดขึ้นมาจะต้องทำให้เรื่องมันซับซ้อนมากยิ่งขึ้นแน่ แถมไม่มีประโยชน์ต่อนางด้วย แถมอาจวกกลับมาทำร้ายนางอีก
“เช่นนั้นเจ้าพบว่ามีอะไรผิดปกติหลังจากนั้นหรือไม่”
“ไม่มีเจ้าค่ะ แม้น้องรองจะร้องตะโกนเรียกข้าอยู่สองสามครั้ง แต่ข้าไม่ได้หยุดฝีเท้าลง”
โหยวซื่อเอ่ยพูดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “ใต้เท้า ท่านอย่าฟังแต่ที่นางพูดฝ่ายเดียว! นางบอกว่าไม่ได้มีปากเสียงกับลูกชายก็แสดงว่าไม่มีจริงๆ งั้นหรือ ใครจะยืนยันได้”
“ข้าน้อยยืนยันได้เจ้าค่ะ!” อาหมานตะเบ็งเสียงลั่น
โหยวซื่อแค่นเสียงหัวเราะออกมา “เจ้าเป็นสาวรับใช้ของนาง หากนางสั่งให้เจ้ารับผิดแทน เจ้าก็ไม่อาจปฏิเสธได้อยู่ดี”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยอย่างเงียบๆ
“ใต้เท้า เจียงซื่อเป็นคนที่เจอลูกชายคนรองข้าชัดๆ เช่นนั้นนางจึงน่าสงสัยที่สุด!”
เจียงซื่อส่ายหน้า “ป้าสะใภ้ใหญ่ ท่านคิดผิดแล้ว ข้าไม่ใช่คนที่เจอน้องรองเป็นคนสุดท้ายแน่ๆ”
“แล้วจะมีผู้ใดอีก” โหยวซื่อถามโพล่งออกมา
เจียงซื่อเอ่ยขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ถ้าหากน้องรองไม่ได้พลาดตกน้ำเอง เช่นนั้นผู้ที่เจอเขาเป็นคนสุดท้ายนั่นแหละคือฆาตกร!”
นางพูดอย่างตรงไปมาด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น ทุกคนฟังแล้วต่างก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นมาในใจแปลกๆ
“ฆาตกรคือเจ้าชัดๆ!” โหยวซื่ออารมณ์เดือดพล่าน
คนอื่นอาจจะไม่เข้าใจ ทว่านางกลับเข้าใจดีว่าการที่เจียงซื่อพบเจอกับซูชิงอี้นั้นมันเกิดขึ้นได้อย่างไร บวกกับเจียงซื่อที่ปิดปากเงียบไม่ยกเรื่องสาวรับใช้ชุดดำที่หลอกนางอกมา เท่านี้นางก็แน่ใจได้เลยว่าเจียงซื่อต้องคิดอะไรชั่วๆ ในใจแน่
ทันใดนั้นเองฝ่ายชันสูตรศพก็เดินเข้า พลางพูดผลสรุป “ใต้เท้า จากการตรวจสอบขั้นต้น ผู้ตายนั้นตายเพราะจมน้ำ ไม่ได้ตกลงไปในน้ำหลังจากที่ตายแล้ว การพลาดตกน้ำเองกับถูกผลักลงไปในน้ำล้วนมีความเป็นไปได้ทั้งหมด”
นายท่านซูเอ่ยปากขึ้น “ใต้เท้า แม้ลูกข้าจะสติไม่สมประกอบ แต่เขากลัวน้ำมาตั้งแต่เด็ก คงเป็นไปไม่ได้ที่จะพลาดตกน้ำเอง”
“เช่นนี้ ซูซื่อจื่อเห็นด้วยว่าอาจจะเป็นอย่างหลังมากกว่าสินะ”
นายท่านซูพยักหน้าลงเบาๆ
เจินซื่อเฉิงสั่งเจ้าหน้าที่ตรวจการชั้นผู้น้อยไปตรวจที่บริเวณใกล้ๆ ทะเลสาบจวีสยา อวี้จิ่นลุกยืนพลันเอ่ยขึ้น “ใต้เท้า ข้าจะไปดูด้วย”
แม้เขาจะอยากอยู่ที่นี่ แต่การหาหลักฐานมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้อาซื่อต่างหากที่จะเป็นการปกป้องที่ดีที่สุด
เจียงซื่อสังเกตการณ์ดูอย่างเงียบๆ นางยังคงดูไม่ออกว่าระหว่างอวี้จิ่นกับเจินซื่อเฉิงมันเกิดอะไรขึ้น ทว่าต้องเก็บความสงสัยนี้ไว้ชั่วคราว แล้วเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีสงบ “หากน้องรองถูกผลักตกน้ำ ที่จริงมีบางอย่างที่สามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับข้า”