ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 228 ข้อดีของเจียงจั้น
“อารมณ์ดี?” เซียวซื่อถอนหายใจยาว “คุณหนูสี่ หากเจ้ารู้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น เจ้าคงไม่พูดจาเช่นนี้”
เจียงซื่อแสร้งทำฉงน
ภายในใจของเซียวซื่อผ่อนคลายอย่างยิ่ง ทว่าใบหน้ากลับฉายแววโศกเศร้า นางยกมือข้างหนึ่งขึ้นเช็ดหางตา “โธ่ ข้าจะบอกเจ้าอย่างไรดี”
เฝิงเหล่าฮูหยินหมดความอดทนจึงเอ่ยออกไปว่า “เจ้ากลับไปเปลี่ยนอาภรณ์เสียเถอะ”
แม้ว่านางจะไม่ได้ใส่ใจหลานชายคนที่สองเท่าใดนัก แต่ไม่ว่าอย่างไรเจียงจั้นก็นับว่าเป็นทายาทชายรุ่นที่สามของจวนปั๋ว ในยุคนี้นิยมมีลูกหลานเต็มบ้าน ฉะนั้นยิ่งมีหลานชายเพิ่มเท่าไหร่ วงศ์ตระกูลก็ยิ่งรุ่งเรืองมากเท่านั้น
และถึงแม้เจียงจั้นดูไร้อนาคต แต่ใช่ว่าลูกหลานที่เกิดมาในภายภาคหน้าจะไร้อนาคตตามไปด้วย
ดังนั้นอารมณ์ของเฝิงเหล่าฮูหยินในขณะนี้จึงไม่สู้ดีนัก ครั้นเห็นกระโปรงสีแดงเข้มที่เจียงซื่อสวมใส่จึงรู้สึกขัดหูขัดตาเป็นธรรมดา
เจียงซื่อก้มลงมองพลางเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ “หลานไม่ทราบว่าที่เป็นอยู่ไม่ถูกไม่ควรอย่างไร…”
“เมื่อคืนก่อนพี่รองของเจ้าตกน้ำไป จนป่านนี้ยังไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร!” เฝิงเหล่าฮูหยินไม่สบอารมณ์อย่างยิ่งยวด
ก่อนหน้านี้ นางเห็นว่าซื่อจื่อแห่งหย่งชังปั๋วซึ่งอยู่เรือนติดกันดูสนิทสนมกับเจียงซื่อออกนอกหน้า เฝิงเหล่าฮูหยินจึงมองหลานสาวคนนี้เปลี่ยนไปจากเดิม และหลังจากนั้นก็แอบเห็นว่าเจียงซื่อไปมาหาสู่กับคุณหนูใหญ่จวนหย่งชังปั๋วหลายครั้งหลายครา
แต่แล้วจู่ๆ เจียงซื่อกลับดูไม่สนใจบ้านหลังนั้นขึ้นมาดื้อๆ ดูเหมือนว่าตั้งแต่วันนั้นที่นางกลับมาจากจวนหย่งชังปั๋ว นางก็ไม่เคยกลับไปเหยียบที่นั่นอีกเลย
แม้ว่าเฝิงเหล่าฮูหยินจะมีความคิดเช่นนี้ แต่นับวันความรู้สึกไม่สบายใจที่มีต่อเจียงซื่อกลับยิ่งเพิ่มมากขึ้น จนกระทั่งเกิดเรื่องที่จวนอี๋หนิงโหว ในครั้งนั้นเจียงซื่อถูกลากเข้าไปเอี่ยวด้วย แม้สุดท้ายจะพิสูจน์ได้ว่านางเป็นผู้บริสุทธิ์ เฝิงเหล่าฮูหยินก็ทราบดีว่าหลานสาวคนนี้ไม่อาจเป็นที่โปรดปรานของจวนอี๋หนิงโหวได้อีกต่อไป ในสายตาของนาง เจียงซื่อจึงสำคัญน้อยลงไปทุกที
จำต้องบอกก่อนว่า เนื่องจากเฝิงเหล่าฮูหยินเป็นคนตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง หากในใจของนางเห็นว่าใครหมดความสำคัญแล้ว ท่าทีที่แสดงออกมาก็จะเปลี่ยนไปโดยปริยาย
เจียงซื่อเบิกตาขึ้นเล็กน้อย แสดงอาการตกใจและพึมพำออกมา “มีข่าวคราวของพี่รองบ้างไหมเจ้าคะ ไฉนจึงมาบอกหลานเอาตอนนี้” เมื่อเซียวซื่อเห็นสีหน้าของหลานสาว ในใจของนางก็ยิ่งเป็นสุข
แต่ไหนแต่ไรนางไม่เคยเห็นเจียงซื่ออยู่ในสายตาอยู่แล้ว แต่ไม่ทราบเนื่องด้วยเหตุใด ยามที่มีปากเสียงกับเด็กนี่ทีไรเป็นต้องแพ้พ่ายทุกครั้งไป ช่างยากแก่การรับมือยิ่งนัก
พี่ชายคนเดียวของนางจากไปแล้ว นับจากนี้ไปตระกูลฝั่งมารดาก็ไร้ซึ่งการสนับสนุน นางอยากเห็นนักว่าเด็กนี่จะยโสโอหังได้สักกี่น้ำ
เซียวซื่อคิดในใจ แต่บนใบหน้ายังคงเผยความห่วงใยเหนือคณา “ครั้นท่านพ่อของเจ้า ท่านอาและพี่ชายคนโตได้ทราบข่าวนี้ก็รีบรุดไปที่แม่น้ำจินสุ่ยทันที มาจนป่านนี้ยังไม่ได้ความคืบหน้าแต่อย่างใด สาเหตุที่มาบอกเจ้าเอาตอนนี้ก็เนื่องด้วยท่านพ่อของเจ้าเกรงว่าหากเจ้ารู้เข้าจะนอนไม่หลับ โธ่ หากพี่ชายของเจ้ามีอันเป็นไป ท่านพ่อของเจ้าจะทำอย่างไร”
“ท่านอาสะใภ้รองอยากให้พี่รองของข้ามีอันเป็นไปหรือเจ้าคะ” ใบหน้าของเจียงซื่อเคร่งขรึมพลางเอ่ยถามเสียงเรียบ
ใบหน้าของเซียวซื่อบิดเบี้ยว นางเอ่ยตอบอย่างไม่พอใจ “อาซื่อ พี่รองของเจ้าก็นับว่าข้าเป็นผู้เลี้ยงดูจนเติบใหญ่ มิได้แตกต่างไปจากพี่ใหญ่หรือน้องสามของเจ้าเลยแม้แต่น้อย ข้าจะอยากให้พี่รองของเจ้ามีอันเป็นไปได้อย่างไรกัน เจ้าเอ่ยวาจาเช่นนี้ ข้าผิดหวังยิ่งนัก”
“หึ” เจียงซื่อหลุดอุทานออกมาเพียงหนึ่งคำ
เซียวซื่อหายใจติดขัด ลอบกัดฟันด้วยความโกรธแค้น
เด็กนี่ช่างน่าโมโหเสียจริง!
เมื่อนึกถึงสถานการณ์ของเจียงจั้น ไฟแค้นของเซียวซื่อก็พลันหายไปกว่าครึ่ง นางจึงหันไปพูดปลอบโยน “คุณหนูสี่ เชื่อฟังเหล่าฮูหยินแล้วรีบไปเปลี่ยนอาภรณ์เสียเถิด”
เจียงซื่อจัดชุดคลุมให้เข้าที่เข้าทางพลางเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “ไม่เปลี่ยนเจ้าค่ะ”
“ซื่อเอ๋อร์!” เฝิงเหล่าฮูหยินแผดเสียงอย่างหัวเสีย
เจียงซื่อเชิดคางขึ้นเล็กน้อย “ท่านย่า ท่านต้องการให้หลานเปลี่ยนเป็นชุดอะไรหรือเจ้าคะ ต้องการให้หลานใส่กระโปรงขาวหรือไม่เจ้าคะ”
เมื่อถูกถามเช่นนั้น เฝิงเหล่าฮูหยินก็ชะงักไปทันที
เจียงซื่อเบนสายตาไปทางเซียวซื่อพลางส่งยิ้มเย็นเยียบ “ในเมื่อยังไม่มีข่าวคราวของพี่รอง ไฉนท่านอาสะใภ้รองถึงต้องคะยั้นคะยอให้ท่านย่าสั่งให้หลานไปเปลี่ยนอาภรณ์ด้วยเจ้าคะ เหตุใดถึงได้เชื่อเช่นนั้น ถ้าหากเมื่อคืนคนที่ตกน้ำไปคือพี่ใหญ่ เช้านี้ท่านอาสะใภ้รองเห็นข้าห่มอาภรณ์สีขาวจะไม่รู้สึกแย่บ้างหรือเจ้าคะ”
เซียวซื่อได้ยินเจียงซื่อยกลูกชายคนโตมากล่าวอ้างเช่นนี้ก็โกรธจนหน้าขาวซีด “คุณหนูสี่ เจ้าพล่ามอะไรของเจ้า เจ้ายังเห็นหัวอาสะใภ้คนนี้อยู่บ้างหรือไม่”
กัวซื่อซานไท่ไท่ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ จำต้องเอ่ยแทรกขึ้นมา “พี่สะใภ้ อย่าเพิ่งเอ่ยสิ่งใดให้มากความเลยเจ้าค่ะ เกิดเรื่องกับคุณชายรองเช่นนี้ คุณหนูสี่คงทุกข์ใจเป็นธรรมดา”
เซียวซื่อยิ้มหยันทว่ามิได้โต้ตอบ
ในยามนี้ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่นางต้องไปต่อปากต่อคำกับเด็กนี่ เพราะไม่ว่าอย่างไรคนที่ตายจากไปก็คือเจียงจั้น ถึงเวลานั้นก็มาดูกันว่าจะเห็นใครนั่งร้องไห้ฟูมฟาย!
“ข้าสวมกระโปรงทับทิมมาน้อมทักท่านย่าเช้านี้ก็เพราะมีใจยินดี รู้สึกว่ากำลังจะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้น ข้าเชื่อว่านี่คงเป็นสัญญาณดีกระมัง มิฉะนั้นก็คงไม่นำชุดนี้มาสวม” เจียงซื่อคุกเข่าอยู่ต่อหน้าเฝิงเหล่าฮูหยินพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ท่านย่า ท่านอย่าทำให้หลานลำบากใจเลยเจ้าค่ะ”
“เจ้า…” เฝิงเหล่าฮูหยินโกรธที่เจียงซื่อแสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อหน้าผู้อาวุโส นั่นยิ่งทำให้ให้นางรู้สึกขุ่นเคือง แต่ทว่าใบหน้าของเจียงซื่อมิได้ตอบสนองใดๆ เพียงแต่รอรับความโกรธของเฝิงเหล่าฮูหยินอยู่อย่างนั้น
หลายวันมานี้ท่าทีของท่านย่าผิดแผกไปจากเคยราวกับว่ากำลังมีแผนบางอย่าง นางจึงไม่อาจเผยด้านอ่อนแอออกไปให้อีกฝ่ายด่วนสรุปว่านางเป็นคนหัวอ่อน ดูเหมือนว่าทุกคนในจวนจะลืมสิ้นแล้วว่า ต่อให้เป็นชาติที่แล้วนางก็มิใช่สตรีที่โอนอ่อนผ่อนปรนตามคำสั่งผู้อื่น
“ดี เช่นนั้นก็รอฟังข่าวจากพ่อเจ้าแล้วกัน” เฝิงเหล่าฮูหยินกล่าวอย่างเดือดดาล
นางไม่ปล่อยให้ตนเองต้องเปลืองน้ำลายกับหลานสาวนางนี้ และรอจนกว่าจะได้ข่าวคราวของหลานชายคนรองเสียก่อนค่อยว่ากันทีหลัง
“หากเกิดเรื่องกับพี่รองของเจ้าจริงๆ…” หากมีข่าวร้าย นางจะได้สั่งสอนให้เด็กนี่รู้จักหลาบจำ
เจียงซื่อยิ้ม “ท่านย่าวางใจได้เจ้าค่ะ พี่รองเป็นคนดี และคนดีย่อมได้ดีเจ้าค่ะ”
นางกล่าวพลางกวาดสายตาผ่านๆ ไปทางเซียวซื่อ “ส่วนคนชั่วนั้นจะมีต้องวันที่สวรรค์ลงโทษเช่นกันเจ้าค่ะ”
ในใจของเซียวซื่อโกรธจนแทบคลั่ง
นี่คงไม่ได้ตีวัวกระทบคราดหรอกกระมัง เด็กนี่มันร้ายจริงเชียว! ที่แท้ก็เป็นแค่เด็กไม่รู้จักคิด ยังมาบอกคนดีย่อมได้ดี เจียงจั้นจมหายไปนานขนาดนี้ มิรู้ว่าป่านนี้ร่างคงบวมฉึ่งไปถึงไหนต่อไหน
กัวซื่อมองดูอยู่ข้างๆ ด้วยสายตาเย็นชาและลอบถอนหายใจคนเดียวเงียบๆ
คุณหนูสี่ไม่ยอมเชื่อว่าเกิดเรื่องกับคุณชายรอง ทั้งยังดื้อดึงไม่ยอมไปเปลี่ยนชุดตามคำสั่งของเหล่าฮูหยิน ทำเช่นนี้ราวกับว่าจะช่วยให้ไม่เกิดเรื่องร้ายได้อย่างไรอย่างนั้น โธ่ ช่างน่าเวทนาเสียจริง
เฝิงเหล่าฮูหยินคร้านจะพูดกับเจียงซื่อ ตาทั้งสองข้างหรี่ลงเล็กน้อย และหันไปนับลูกประคำในมือ
เจียงซื่อไม่ได้ใส่ใจความคิดของคนในที่นั้น นางเพียงแต่อยากรู้ว่าพี่รองถูกอวี้ชี ‘ดูแล’ ดีเพียงใด
ในขณะนั้นเจียงจั้นได้สติแล้ว อาการเมาค้างเข้าจู่โจมชายหนุ่ม ทำให้เขารู้สึกราวกับว่าหัวกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ครั้นเห็นคนที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้า เจ้าตัวถึงกับต้องยกมือขึ้นมาขยี้ตาตนเอง “พี่อวี๋ชีมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ข้าคงยังไม่สร่างเมาสินะ”
“น้องเจียงเอ้อร์ เจ้าก่อเรื่องใหญ่แล้ว” อวี้จิ่นตบบ่าเจียงจั้น
เจียงจั้นผงะ “พี่อวี๋ชี ข้าก่อเรื่องใหญ่อะไรกัน”
อวี้จิ่นถอนหายใจ “เจ้าจำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่ได้เลยหรือ”
เจียงจั้นชะงักค้าง สติของเขาล่องลอยเข้าสู่ภวังค์
เมื่อคืนเขาและหยางเซิ่งไฉไปสังสรรค์ด้วยกัน เขาดื่มไปมากเอาการ หยางเซิ่งไฉบอกว่าอยากเล่นสนุก แต่แล้วจู่ๆ ก็งับเข้าที่ใบหูของเขา เขาโมโหถึงได้ทะเลาะวิวาทกัน ทว่าหลังจากนั้น….
เจียงจั้นทุบศีรษะตัวเองเบาๆ
เขาไม่มีความทรงจำอยู่เลยว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น
เจียงจั้นส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากอวี้จิ่น
อวี้จิ่นเผยใบหน้าเคร่งขรึมอย่างยิ่งยวด “ข้าไม่นึกไม่ฝันมาก่อนว่าน้องเจียงเอ้อร์จะถูกคนปู้ยี่ปู้ยำ อีกทั้งคนผู้นั้นเป็นบุรุษหนุ่มยิ่งแล้วใหญ่!”
อื้ม นิสัยชอบละเมอเพ้อพกนับว่าเป็นข้อดีของเจียงจั้นเลยทีเดียว