ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 41 ชื่อเสียงความกตัญญู
ตอนที่ 41 ชื่อเสียงความกตัญญู
ผลประโยชน์และความเสี่ยงมักเป็นสิ่งที่อยู่ควบคู่กันเสมอ เมื่อความเสี่ยงมากเกินกว่าผลประโยชน์ที่ได้รับ การยอมแพ้ย่อมเป็นอะไรที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
“หลังจากกลับไปแล้วข้าจะรีบเอาเงินที่ได้รับมาส่งคืนกลับไปทันที ไม่ขอยุ่งเกี่ยวเรื่องในจวนเจ้าอีก” หลิวเซียนกูเก็บอารมณ์กลับไป เผชิญหน้ากับเด็กสาวพร้อมให้คำมั่นสัญญาหนักแน่น
บรรพบุรุษน้อยตรงหน้านี้ หากไม่ใช่เพราะนางเป็นคุณหนูจากตระกูลสูงศักดิ์ล่ะก็ อย่าได้ฝันว่านางจะยอมละทิ้งชามข้าวนี้ง่ายๆ คนอย่างนางหาเรื่องได้ไม่ง่ายนักหรอกนะ
เจียงซื่อกลับส่ายศีรษะไปมา
ถ้าต้องการเพียงแค่นี้จริง นางจะดั้นด้นถ่อมาคุยกับอีกฝ่ายถึงที่นี่ให้เสียเวลาเพื่ออะไร การคุยกับคนประเภทนี้มีแต่เปลืองน้ำลายเปล่าๆ
“เช่นนั้นความหมายของคุณหนูคือ…”
เด็กสาวยิ้มให้หลิวเซียนกูด้วยรอยยิ้มที่บอบบางทรงเสน่ห์ โครงหน้าที่งดงามน่ามองนั้นดึงดูดสายตายิ่ง ยากจะละสายตาออกไปได้ง่ายๆ “บางทีเซียนกูคงลืมไปแล้วว่าเคยเรียกเก็บค่าน้ำชาจากข้ามาก่อน”
หลิวเซียนกูชะงักกึก ตกตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนจะรีบล้วงเข้าไปหยิบตั๋วเงินที่พับเก็บไว้ในอกเสื้อออกมาแล้วส่งคืนกลับไปให้นางทั้งหมด
เจียงซื่อส่ายหัวให้นางอีกครั้ง “เซียนกูยังไม่เข้าใจนิสัยของข้าอีกหรือ ของที่ข้าส่งมอบออกไปแล้วไม่คิดรับคืน”
มือของหลิวเซียนกูสั่นระริก นางกำตั๋วเงินไว้แน่น
“รู้หรือไม่ ว่าเงินเหล่านี้ล้วนเป็นเงินที่ข้าเก็บเล็กผสมน้อยมาจากเบี้ยหวัดรายเดือนที่ได้รับ นานทีเดียวกว่าจะได้ก้อนใหญ่เช่นนี้ ทว่าตอนที่ข้าส่งมันออกไป กลับไม่ได้ยินเสียงตอบรับแม้เพียงครึ่งคำ นี่ทำให้ข้าปวดใจจะแย่” เด็กสาวกล่าวด้วยอาการทอดถอนใจ
คำพูดที่เจียงซื่อเพิ่งพูดออกไปนั้นไม่ได้ผิดไปจากความจริงเลย สินเดิมของมารดานางบัดนี้ยังอยู่ในมือของท่านย่า อีกฝ่ายจับมันไว้แน่นไม่ยอมปล่อย เงินเดือนของท่านพ่อก็ถูกเก็บเข้ากองกลางของจวน เงินเก็บของนางจึงมาจากการค่อยๆ เก็บสะสมจากเบี้ยหวัดรายเดือนที่ใช้เหลือเท่านั้น
เงินห้าสิบตำลึงนี้ นางหยิบมันออกมาใช้ง่ายๆ แต่สาวใช้ทั้งสองของนางปวดใจจนเลือดแทบกระอักแล้ว
“เช่นนั้นคุณหนูต้องการให้ข้าทำอย่างไร” หลิวเซียนกูรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาทันที
“ง่ายมาก เงินที่ท่านรับจากอาสะใภ้รองของข้าไม่จำเป็นต้องส่งคืนกลับไป ท่านมาทำพิธีที่จวนตงผิงปั๋วตามปกติก็พอ” พูดถึงตรงนี้ สีหน้าของเจียงซื่อก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง “เพียงแต่ชื่อเสียงฉาวโฉ่ที่ท่านตั้งใจยัดใส่หัวพี่รองของข้านั้น ข้าต้องการให้คนอื่นมารับแทน!”
“ข้าทำไม่ได้!” หลิวเซียนกูปฏิเสธอย่างหนักแน่นเด็ดขาด “ทำเช่นนี้มีแต่จะทำลายชื่อเสียงของข้า ต่อไปข้าคงหมดความน่าเชื่อถือแล้ว!”
เจียงซื่อไม่แม้แต่จะปรายตาขึ้นมองนาง เอ่ยเตือนไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ขุดหลุมฝังศพ ปล่อยข่าวซุบซิบนินทา!”
ริมฝีปากของหลิวเซียนกูเม้มแน่นจนซีดขาว
ข่มขู่ นี่มันข่มขู่กันซึ่งหน้าชัดๆ!
เจียงซื่อชำเลืองมองหลิวเซียนกูแวบหนึ่งอย่างไม่ยี่หระ จากนั้นก็รินน้ำชาร้อนๆ ลงในถ้วยชา ประคองมันขึ้นมาจิบอย่างแผ่วเบา รู้สึกอิ่มเอมใจยิ่ง
อา…กลิ่นหอมของชานี้ช่างทำให้คนสดชื่นปลอดโปร่งเหลือเกิน
นางชอบข่มขู่คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นอีกฝ่ายหมดปัญญาต่อสู้และต้องกล้ำกลืนฝืนทำในสิ่งที่ไม่ชอบ
“ทำไมเซียนกูต้องลังเลด้วย หรือว่าในสายตาของอาสะใภ้รองข้า ท่านเป็นเพียงหมอผีปลอมที่แอบอ้างชื่อมาเพื่อหลอกลวงเท่านั้น”
ไม่รู้ว่านี่ใช่กลยุทธ์ยั่วยุของเจียงซื่อหรือเปล่า แต่คำพูดของนางก็ทำให้หลิวเซียนกูแทบระเบิดขึ้นมาแล้ว “ไม่ใช่แน่นอน ข้าอยู่มานานหลายปีแล้ว ล้วนอาศัยความสามารถทั้งสิ้น!”
เจียงซื่อยิ้มเล็กน้อย
นางเชื่อคำพูดนี้
สตรีที่สามารถหลอกลวงคนมาได้มากมายนับไม่ถ้วน ย่อมมีความสามารถไม่ธรรมดา มิอาจดูถูกได้
“นั่นสินะ ในเมื่อเซียนกูในสายตาของท่านอาสะใภ้รองข้าเป็นเทพเซียนที่มีอิทธิฤทธิ์สูงส่งจริงๆ ผลของการทำพิธีผิดเพี้ยนจากเดิมที่วาดหวังไว้นิดหน่อยแล้วจะเป็นไรไป ท่านคงไม่ได้กลัวถูกนางจับกินหรอกนะ”
เมื่อเผชิญหน้ากับสีหน้าที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของเด็กสาว หลิวเซียนกูก็รู้สึกปวดหัวจี๊ด เลือดลมตีขึ้นหน้าอก
นางเผลอไปยั่วยุดาวอัปมงคลที่ชั่วร้ายนี้ได้อย่างไรกัน!
“สรุปคือ ข้าเชื่อว่าเซียนกูสามารถถอนตัวออกมาอย่างปลอดภัยได้ คิดว่าเซียนกูเองก็คงเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเองด้วยเช่นกัน” เจียงซื่อกล่าวอย่างจริงจังและตรงไปตรงมา
หลิวเซียนกูอ้าปากพะงาบๆ ทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมาแต่สุดท้ายก็พูดไม่ออก
นางยังจะพูดอะไรได้ คงมีแต่ต้องเชื่อมั่นในตัวเองเหมือนอย่างที่อีกฝ่ายบอกเท่านั้น!
เจียงซื่อดันถ้วยชาออกไป ก่อนจะยกใบที่อยู่ในมือขึ้นมาจิบเบาๆ “เช่นนั้นเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองให้แก่ความร่วมมือของเรา ข้าขอดื่มชาแทนสุราก็แล้วกันนะ”
หลิวเซียนกูเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นก็ยกถ้วยชาที่เด็กสาวตรงหน้าดันมาให้ขึ้นสัมผัสกับริมฝีปากแผ่วเบา
เรื่องที่เหล่าฮูหยินตงผิงปั๋วป่วยเป็นโรคตานั้นแพร่กระจายออกไปถึงหูคนภายนอกอย่างรวดเร็ว นี่ยิ่งทำให้คุณงามความดีของเซียวซื่อ ไท่ไท่รองแห่งจวนตงผิงปั๋วเป็นที่ประจักษ์ขึ้นไปอีก
ภายในเวลาเพียงไม่กี่วันสั้นๆ เซียวชื่อได้ว่าจ้างหมอที่มีชื่อเสียงมาดูอาการให้กับเฝิงเหล่าฮูหยินหลายท่านแล้ว แม้กระทั่งหมอหลวงจากในวังหลวงเองก็ยังถูกเชิญมาด้วยถึงสองสามคน
ด้วยการเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่และเอิกเกริกเช่นนี้ คนที่คุ้นเคยกับจวนตงผิงปั๋วดีจึงรับรู้ข่าวได้ไม่ยาก
เวลานี้พอคนภายนอกพูดถึงจวนตงผิงปั๋ว ผู้คนก็มักจะยกย่องลูกสะใภ้ฮูหยินของบุตรชายคนรองจวนตงผิงปั๋วว่าเป็นคนกตัญญูรู้ความยิ่งนัก
เช้าตรู่ของวันนี้ เจียงซื่อแต่งตัวเรียบร้อยเดินมุ่งหน้าไปยังเรือนฉือซินเพื่อน้อมทักเฝิงเหล่าฮูหยินในยามเช้า ทว่าเพิ่งก้าวออกจากประตูเรือนไห่ถังได้ไม่ทันไร ก็บังเอิญเจอกับเจียงอันเฉิงที่เพิ่งกลับจากไปน้อมทักเฝิงเหล่าฮูหยินพอดี
“วันนี้ท่านพ่อยังไม่ออกไปข้างนอกอีกหรือเจ้าคะ” เจียงซื่อย่อตัวคำนับบิดาอย่างอ่อนช้อย
“พ่อเพิ่งกลับมาจากการไปน้อมทักท่านย่าของเจ้าเอง นี่ก็กำลังเตรียมจะออกไปอยู่พอดี” เจียงอันเฉิงพูดขณะพิจารณาดูบุตรีของเขา
วันนี้เจียงซื่อสวมชุดสีขาวปักด้วยลายดอกไม้สีแดงสด กระโปรงตรงส่วนล่างที่มีสีใกล้เคียงกันแต่เข้มขึ้นมาอีกส่วนตัดเย็บจากไหมซือหลัวชั้นดีดูบางเบาพลิ้วไหวน่ามองยิ่ง ขับเน้นให้นางยิ่งดูเหมือนกับดอกไห่ถังที่เบ่งบานสะพรั่ง สดใสและดึงดูดสายตาของผู้คน
เจียงอันเฉิงลอบถอนหายใจเล็กน้อยอย่างโล่งอก พูดชมไปว่า “วันนี้ซื่อเอ๋อร์ช่างกระตือรือร้นจริงๆ”
เจียงซื่อมุมปากกระตุกถี่ยิบ
ท่านพ่อรู้วิธีพูดชมคนอื่นหรือไม่ แค่พูดออกมาคำเดียวว่า ‘ลูกสาวข้าช่างงดงามนัก’ แค่นี้มันยากตรงไหนหรือ
เจียงอันเฉิงเองก็ตระหนักได้ว่าคำพูดนี้ออกจะกำกวมอยู่สักหน่อย หลังจากหยุดคิดสักพัก จึงอธิบายต่อว่า “วันนี้ท่านย่าของเจ้าอารมณ์ไม่ค่อยดี แต่งชุดสีสันสดใสสักหน่อยไปหาท่าน จะได้ดูรื่นเริงทั้งยังดูเป็นมงคลดีด้วย”
เขาเพิ่งถูกมารดาต่อว่ามาชุดใหญ่ เหตุเพียงเพราะสวมเข็มขัดธรรมดาๆ เท่านั้น จึงไม่อยากให้ลูกสาวสุดที่รักของตนต้องมาพลอยถูกชักสีหน้าใส่ตามไปด้วย
“ขอบคุณท่านพ่อที่ชี้แนะเจ้าค่ะ” เจียงซื่อยิ้มหวาน
เจียงอันเฉิงถูจมูกของเขาอย่างประหม่า ก่อนจะแสร้งทำทีเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็รีบไปที่เรือนฉือซินเถิด พ่อเองก็ต้องไปแล้ว”
เจียงซื่อมองตามแผ่นหลังที่รีบร้อนเดินจากไป กระแสน้ำอุ่นๆ ไหลชโลมไปทั้งหัวใจจนอุ่นวาบ
บุรุษเช่นท่านพ่ออุตส่าห์วิ่งมาหานางถึงที่นี่เพื่อเตือนเรื่องการแต่ตัวเท่านั้น แค่กลัวว่านางจะถูกท่านย่าตำหนิที่แต่งกายไม่เหมาะสม…..
เจียงซีเงยหน้าขึ้น ทันเห็นดวงอาทิตย์ยามเช้าที่ซ่อนตัวอยู่หลังก้อนเมฆโผล่พ้นออกมาอีกครั้งพอดี สะท้อนผืนฟ้าด้านบนจนเป็นสีแดงส้ม เหมือนกับอารมณ์ของนางในขณะนี้
“พี่สี่กำลังมองอะไรอยู่หรือเจ้าคะ” เสียงที่ไม่รู้ว่าดังมาจากทางไหนถามขึ้น
เจียงซื่อหันหน้ากลับไปมอง
บนทางเดินที่ปูด้วยหินสีฟ้าอมเทา เด็กสาวสองคนเดินตามหลังกันมาติดๆ คนที่เดินอยู่ด้านหน้าคือคุณหนูหกนามเจียงเพ่ย ส่วนคนที่ตามอยู่ข้างหลังคือคุณหนูห้านามเจียงลี่
เจียงเพ่ยกับเจียงลี่ถึงแม้ว่าจะมีสถานะเป็นบุตรีของอนุภรรยาด้วยกันทั้งคู่ แต่ทว่าเนื่องจากมารดาของเจียงเพ่ยคือสาวใช้ที่ติดตามเซียวชื่อภรรยาเอกของท่านอารองแต่งเข้ามา มิเหมือนกับมารดาของเจียงลี่ที่เป็นเพียงสาวใช้ห้องข้างของนายท่านรองยามเป็นหนุ่มเท่านั้น สถานะในจวนของเจียงเพ่ยยามอยู่ต่อหน้าฮูหยินเอกจึงสูงกว่าและมีหน้ามีตากว่าเจียงลี่หลายขั้น
น้ำเสียงที่พูดขึ้นเมื่อครู่นี้ ก็คือเสียงของเจียงเพ่ยคุณหนูหก
เพียงชั่วพริบตาเดียว เจียงเพ่ยกับเจียงลี่ก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าของเจียงซื่อ
เจียงเพ่ยกวาดสายตาพิจารณาเจียงซื่อขึ้นลงรอบหนึ่ง ยิ้มพลางกระแนะกระแหนไปว่า “วันนี้พี่สี่ช่างแต่งตัวได้สดใสยิ่งนัก”
“ยังอายุน้อย ยังงดงาม ย่อมเป็นธรรมดาที่จะสวมใส่ชุดที่ดูสดใสเช่นนี้” เจียงซื่อพูดอย่างไม่อนาทรร้อนใจ
หลังจากที่ตำแหน่งเลื่อนตกไปอยู่ในมือของบ้านรอง เซียวซื่อหาคู่แต่งงานที่ดูไม่เลวเลยให้กับเจียงเพ่ยคนหนึ่ง พวกเขาใช้ชีวิตกันอย่างสะดวกสบายมีความสุขยิ่งนัก ทั้งๆ ที่เงินตำลึงล้วนแลกมาจากหยาดเหงื่อเลือดเนื้อของบ้านใหญ่ทั้งสิ้น พอได้เห็นพวกนาง เจียงซื่อจึงอารมณ์ไม่ดีไม่อยากเสวนาด้วย
เจียงเพ่ยฟังแล้วก็ให้โมโหหน้าแดงก่ำ
นางอายุน้อยกว่าเจียงซื่ออยู่สองปี แต่นึกถึงดวงตาของท่านย่าที่เพิ่งเสียไปข้างหนึ่ง คิดว่าแต่งตัวสดใสเกินไปคงดูไม่ดีนักจึงเปลี่ยนเป็นชุดที่ดูเรียบง่ายสีธรรมดาๆ ไปน้อมทักนางในเช้านี้แทน เจียงซื่อพูดจาแบบนี้ ไม่ใช่ว่ากำลังพูดกระทบนางว่าอัปลักษณ์หรือ
“ท่านย่ายังป่วยอยู่ แต่พี่สี่ยังมีกะจิตกะใจลุกขึ้นมาแต่งหน้าแต่งตัว ไม่รู้ว่าความกตัญญูของพี่สี่หายไปไหนหมดแล้ว”
“ข้าจะกตัญญูหรือไม่นั้นคงไม่รบกวนให้น้องหกต้องมาเป็นกังวล เพียงแต่การที่น้องหกเจ้าพูดกับพี่สาวแบบนี้ มารยาทของเจ้าหายไปอยู่ที่ไหนหมดแล้ว”
“เจ้า…” เจียงเพ่ยที่เพิ่งถูกตอกหน้ากลับมาหมาดๆ ถึงกับพูดอะไรไม่ออก เกือบจะขว้างตลับที่อยู่ที่มือทิ้งไป
เจียงซื่อหมุนตัวกลับ เดินออกไปอย่างไม่แยแส
เจียงเพ่ยลอบสบถเสียงเบา “ตอนนี้รู้กฎเกณฑ์แล้วหรือ แล้วที่วันนั้นเจ้าเถียงท่านแม่กับฉอดๆ เล่า!”
เจียงลี่กระตุกชายเสื้อของเจียงเพ่ย “น้องหก เจ้าพูดให้น้อยลงหน่อยเถิด”
“เจ้าไม่ต้องยุ่ง!” เจียงเพ่ยมองเจียงลี่ตาขวาง และรีบเดินไปที่เรือนฉือซิน
หน้าเรือนฉือซิน กลิ่นยาสมุนไพรบัดนี้ลอยตลบอบอวลไปทั่วห้อง เมื่อเห็นคุณหนูทั้งหลายมากันแล้ว อาฝูก็ตะโกนรายงานออกไปว่า “เหล่าฮูหยิน คุณหนูสี่ คุณหนูห้า และคุณหนูหกมาถึงแล้วเจ้าค่ะ”
“ให้พวกนางเข้ามาเถิด”
สามพี่น้องหยุดลั่นกลองรบชั่วคราว ทยอยเดินเข้าไปข้างใน
ดวงตาข้างซ้ายของเฝิงเหล่าฮูหยินไม่สามารถมองเห็นได้แล้ว ตาอีกข้างที่เหลืออยู่จึงพยายามเพ่งไปที่พวกนางทั้งสามอย่างไม่ออมแรง เห็นเพียงเจียงเพ่ยที่ใส่ชุดสีขาวทั้งตัวกำลังเดินเข้ามา ดูจืดชืดขัดหูขัดตาอย่างยิ่ง
“ออกไป!” เฝิงเหล่าฮูหยินแผดเสียงตวาดลั่น ดวงตาที่สามารถมองเห็นได้เพียงข้างเดียวปวดแปลบราวกับถูกแทงด้วยเข็มก็มิปาน
เจียงเพ่ยเหลือบมองเจียงซื่อ กระหยิ่มยิ้มย่องในใจ
นางรู้ว่าเจียงซื่อแต่งชุดเสื้อผ้าสีสันสดใสเช่นนี้ มิแคล้วคงได้โชคร้ายแน่ๆ!