ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 49 สุนัขผู้อื่น
ตอนที่ 49 สุนัขผู้อื่น
เกิดความโกลาหลขึ้นบนท้องถนน
เจียงซื่อรีบเดินไปที่หน้าต่างและมองลงไป
ดูเหมือนว่าจะมีอันธพาลหลายคนกำลังล้อมเอ้อร์หนิวอยู่ พวกเขาขยับเข้าใกล้มันอย่างระมัดระวัง ในมือของแต่ละคนยังถือท่อนไม้หนาไว้คนละท่อน
และไม่ไกลจากจุดที่กลุ่มคนพวกนี้อยู่เท่าไหร่นัก บุรุษสองคนยืนอยู่ข้างกัน คนหนึ่งสวมเสื้อคลุมซึ่งทำขึ้นจากผ้าไหมจิ่นชั้นดีกำลังถือพัดโบกไปมา ส่วนอีกคนสวมชุดจื๋อตัวสีขาวดุจพระจันทร์
เจียงซื่อรู้จักสองคนนี้
คนที่สวมเสื้อคลุมผ้าไหมจิ่นคือชุยอี้ บุตรชายขององค์หญิงใหญ่หรงหยางกับท่านแม่ทัพชุยซวี่ ก่อนหน้านี้ไม่นานเพิ่งถูกเอ้อร์หนิวกัดที่กลางตลาด ส่วนอีกคนหนึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน ก็คือหยางเซิ่งไฉหลานชายของรองเสนาบดีประจำกรมพิธีการนั่นเอง
ดวงตาของเจียงซื่อหรี่ลงอย่างอันตรายเมื่อสายตาไปหยุดที่ใบหน้าของหยางเซิ่งไฉ
บุรุษผู้นี้ดูแล้วอายุไม่มากไปกว่าพี่ชายของนางเท่าไหร่ แต่กลับไม่มีมารยาท ท่าทีกลับกลอกเจ้าเล่ห์ และที่สำคัญเขาคือฆาตรกรที่ฆ่าพี่ชายของนาง!
เกี่ยวกับการตายของพี่รอง นางรู้รายละเอียดเพียงผิวเผินเท่านั้น รู้เพียงแค่ว่ามันเกี่ยวข้องกับหยางเซิ่งไฉ แต่รายละเอียดเป็นอย่างไรนางเองก็มิอาจทราบได้
อย่างไรก็ตามนั้นไว้ค่อยไปขุดคุ้ยกันในภายหลัง
“คุณหนู สุนัขตัวนั้นกำลังจะถูกพวกเขาตีตายแล้ว จะให้บ่าวลงไปช่วยมันหรือไม่” อาหมานโพล่งออกไปด้วยสีหน้าเป็นกังวลมาก
เจียงซื่อมองลงไปด้านล่าง เม้มริมฝีปากลงแน่น “รอดูสถานการณ์ไปก่อนเถอะ”
เท่าที่นางรู้จักเอ้อร์หนิว อันธพาลเหล่านั้นไม่น่าเป็นคู่ต่อสู้ของเอ้อร์หนิวได้
“คุณหนูเจ้าคะ บ่าวเห็นสุนัขตัวนั้นถูกล้อมไว้แบบนี้แล้วรู้สึกไม่สบายใจเลย” อาหมานเกาะขอบหน้าต่างแน่น ออกแรงบีบไปโดยไม่รู้ตัว
“มันชื่อเอ้อร์หนิว”
อาหมานมองไปที่เจียงซื่อ
เจียงซื่ออมยิ้ม “สุนัขตัวนั้นมีชื่อ และมันก็ชื่อว่าเอ้อร์หนิว”
“คุณหนูรู้ได้อย่างไรเจ้าคะ” อาหมานสงสัย
เจียงซื่อลมหายใจสะดุด นางกระแอมแก้เก้อเบาๆ “ข้าเคยได้ยินเจ้าของมันเรียกในวันนั้น”
อาหมานกลอกตา นึกถึงใบหน้าของชายหนุ่มที่หล่อเหลากว่าเจียงจั้นหลายส่วนก็โพล่งออกมาว่า “ที่แท้ก็คือเจ้าคนบ้าตัณหาหน้าตาดีคนนั้น!”
ใบหน้าของเจียงซื่อร้อนวาบ แต่แล้วมันก็เปลี่ยนเป็นมืดครึ้มอย่างรวดเร็ว “คำเรียกนี้มันอะไรกัน!”
เป็นไปได้ไหมว่าเพราะเขาหน้าตาดี ความเป็นคนบ้ามากตัณหาก็เลยสามารถยกโทษให้ได้?
อาหมานกะพริบตาปริบๆ ตอบอย่างไร้เดียงสามากว่า “บ่าวคิดว่าคำเรียกนี้เหมาะสมตรงตัวมากแล้วเจ้าค่ะ”
“เอาล่ะ พวกเราเลิกพูดถึงเรื่องนี้กันเถอะ!” เจียงซื่อส่งเสียงออกมาเบาๆ ความสนใจถูกดึงกลับไปยังความอึกทึกครึกโครมเบื้องล่างอีกครั้ง
อันธพาลคนหนึ่งแผดเสียงคำราม จากนั้นเขาก็ยกไม้ขึ้นแล้วหวดไปที่เอ้อร์หนิวอย่างแรง
เอ้อร์หนิวกระโดดหลบอย่างยืดหยุ่น ปากที่เต็มไปด้วยเขี้ยวคมของมันตวัดกลับมางับเข้าที่ข้อมือของชายคนนั้นอย่างสุดแรง
เสียงร้องโหยหวนของชายคนนั้นดังก้องไปทั่ว ท่อนไม้ในมือถูกปล่อยทิ้งลงพื้น
เมื่อคนอื่นๆ ได้เห็น พวกเขาก็รีบตะลุมบอนเข้าไป
เอ้อร์หนิวฝังเขี้ยวลงที่มือของชายคนนั้นไม่ยอมปล่อย ขาหลังทั้งสองข้างเตะเข้าใส่ใบหน้าของชายอีกคนที่กำลังเข้ามาใกล้ หลังจากปล่อยปากที่กัดชายคนแรกออก มันก็กระโดดไปมาระหว่างอันธพาลสองสามคนอย่างคล่องแคล่ว
ฝูงชนที่เฝ้าดูกลุ่มชายฉกรรจ์ถูกสุนัขตัวหนึ่งจัดการจนร่วงลงไปทีละคนๆ ปฏิกิริยาตอบสนองของพวกเขาก็ยากจะบรรยายนัก
มองดูอันธพาลหลายคนล้มลงกับพื้น กุมบาดแผลที่มีเลือดไหลและกรีดร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผู้คนก็อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นขยี้ตา
นี่มันสุนัขเทพชัดๆ!
เจ้าสุนัขตัวใหญ่เงยหน้าขึ้นเห่า มันเยื้องย่างเข้าหาชุยอี้และหยางเซิ่งไฉทีละก้าวๆ ระหว่างทางก็เหยียบหน้าอันธพาลที่นอนอยู่บนพื้นโดยไม่ก้มลงมองสักนิด
จิตใจของผู้ชมทั้งหมดตกอยู่ในความสูญเสียทันที
สุนัขของผู้ใดกัน ไม่เพียงแต่เทพ แถมยังอหังการมากอีกด้วย!
“คุณหนู บ่าวคิดว่าเมื่อสักครู่นี้เอ้อร์หนิวเรียกหาคุณหนูนะเจ้าคะ”
เจียงซื่อไม่ตอบ ดวงตาของนางไล่ตามร่างของสุนัขตัวใหญ่ไป
เมื่อสักครู่นี้นางคล้ายกับจะได้ยินเสียงร้องที่มีความหมายในเชิงปลอบประโลมจากเอ้อร์หนิว
เอ้อร์หนิวกลัวว่านางจะกังวลหรือ
“อย่าเข้ามา อย่าเข้ามา…” เมื่อเผชิญหน้ากับเอ้อร์หนิวที่เดินเยื้องย่างเข้ามาหา เห็นได้ชัดว่าชุยอี้ได้ถูกเงาขนาดใหญ่ทาบทับลงไปในจิตใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาก้าวถอยหลังทีละก้าวๆ ด้วยใบหน้าซีดเผือด
“ชุยอี้ คนของเจ้านี่มันอย่างไรกัน ไม่ได้เรื่องเลย คนหลายคนรุมสุนัขตัวเดียวก็ยังไม่มีปัญญาเอาชนะมันได้” หยางเซิ่งไฉลูบกรามและหัวเราะเยาะ
“ชุยเฉิง ชุยกง พวกเจ้าตายกันหมดแล้วหรืออย่างไร ยังไม่รีบไสหัวออกมาอีก!” ชุยอี้ตะโกนสั่งดังลั่น
ร่างของคนสองคนมาปรากฏตัวต่อหน้าชุยอี้เกือบพร้อมกัน
ชุยอี้โบกพัดเบาๆ สีหน้าผ่อนคลายมากขึ้นกว่าเดิม
โชคดีจริงๆ ที่เขามองการณ์ไกล หลังจากประสบกับเหตุการณ์ถูกสุนัขกัดในครั้งนั้น เขาก็รู้ได้ทันทีว่าพวกบ่าวติดตามพวกนี้มันไม่น่าเชื่อถือ จึงไปขอร้องให้บิดาหาองครักษ์ที่มีฝีมือสองสามคน ซึ่งเป็นทหารเก่าใต้อาณัติของบิดาที่ปลดประจำการแล้วมาคอยติดตามเขา
ทหารผ่านศึกสองคนนี้ผ่านการสู้รบและสังหารมาทุกรูปแบบแล้ว พวกเขาสามารถฆ่าคนโดยไม่กะพริบตาด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับจัดการสุนัขง่อยตัวหนึ่ง
เจียงซื่อซึ่งเฝ้าดูงิ้วบทนี้อยู่ตลอดเวลาสีหน้ามืดครึ้มทันควัน
นางได้กลิ่นการต่อสู้ที่โชกโชนลอยมาจากร่างของชายสองคนนี้
“คุณหนู พวกเราควรลงไปไหมเจ้าคะ บ่าวสัมผัสได้ว่าสองคนนี้ไม่ธรรมดาเลย” เมื่อเห็นคนสองคนที่โผล่หน้าเข้ามาใหม่ จู่ๆ อาหมานก็รู้สึกตึงเครียดขึ้นมา
“ไม่ พวกเราลงไปตอนนี้ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ ยืนสังเกตการณ์อยู่ตรงนี้แหละ จะทำให้ง่ายต่อการรับมือมากกว่า” เจียงซื่อครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพูดออกไป ขจัดความคิดหุนหันพลันแล่นของตัวเอง
นางได้เรียนรู้กลอุบายหลายอย่างนี้มาจากอวี้ชีในชาติที่แล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับคนธรรมดา ใช้กลยุทธ์จู่โจมอย่างฉับพลันยังพอทำเนา แต่ก็เห็นได้ชัดว่ายังไม่เพียงพอทั้งหมด สำหรับอาหมาน วรยุทธน้อยนิดของนางนี้ต่อหน้าขิงแก่มากประสบการณ์อย่างชายวัยกลางคนสองคนข้างกายชุยอี้ในเวลานี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับหมัดบุปผาขาผ้าปักลาย[1] เกรงว่าคงเป็นได้เพียงลูกไม้กระจ้อยในสายตาของพวกเขาเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าเอ้อร์หนิวเองก็อ่อนไหวต่อกลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากร่างของชายวัยกลางคนสองคนนั้นเช่นกัน ขนของมันตั้งชันขึ้น จากนั้นมันก็อ้าปากกว้างและคำรามออกไปด้วยเสียงต่ำ
สองคนหนึ่งสุนัขประจันหน้าเข้าหากันอย่างรวดเร็ว
เหล่าผู้ชมที่อยู่รอบๆ พากันกลั้นหายใจเมื่อเห็นความดุร้ายของสงครามขนาดเล็กระหว่างสองมนุษย์และหนึ่งสุนัขตรงหน้า
มีคนหนึ่งถูกเอ้อร์หนิวกัดเข้าที่ขาจนเนื้อหลุด เลือดสีแดงสดไหลหยดลงพื้น ขณะที่เอ้อร์หนิวเองก็ไม่ได้สงบปราศจากความกดดันเหมือนอย่างในตอนแรกที่สู้กับกลุ่มอันธพาลไม่ได้เรื่องสามสี่คนนั่น มันอ้าปากหายใจเข้าอย่างเหนื่อยหอบ เรี่ยวแรงหดหายไปไม่น้อยทีเดียว
ขาข้างที่พิการของมันเป็นจุดอ่อนของเจ้าสุนัขตัวใหญ่ และบัดนี้มันก็กลายเป็นตัวถ่วงทำให้การเคลื่อนไหวช้าลง
เอ้อร์หนิวกำลังวิกฤต!
“คุณหนู ดูเหมือนเอ้อร์หนิวเริ่มเสียเปรียบแล้วนะเจ้าคะ” สถานการณ์ที่ชั้นล่างเริ่มรุนแรงขึ้นทุกขณะ อาหมานนั่งไม่ติดที่อีกต่อไป
เจียงซื่อยัดถ้วยน้ำชาใบหนึ่งใส่มือของอาหมาน “ถือให้ดี และเมื่อเจ้าเห็นว่าเอ้อร์หนิวทนไม่ไหวเมื่อไหร่ ก็ให้ขว้างใส่คนที่สวมเสื้อคลุมผ้าไหมจิ่นนั่นได้เลย”
เจียงซื่อหมายถึงชุยอี้
เดิมทีในสองคนนั้นนางค่อนข้างเกลียดหยางเซิ่งไฉมากกว่า แต่ชายวัยกลางคนสองคนนี้เป็นคนของชุยอี้ ดังนั้นพวกเขาย่อมต้องให้ความสนใจกับความปลอดภัยของชุยอี้มากกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย
“ไอ้เดรัจฉาน ดูสิว่าอีกหน่อยเจ้าจะยังกล้ามาหยิ่งยโสต่อหน้าข้าอีกหรือเปล่า!” คงเป็นเพราะชุยอี้เก็บกดกับความอัปยศที่ได้รับจากการถูกสุนัขขาพิการตัวหนึ่งไล่กัดมานานแล้ว ในระหว่างที่หลายคนกำลังต่อสู้กัน จู่ๆ เขาก็เล็งปลายกริชสีเงินที่มีประกายคมกริบไปทางเอ้อร์หนิว
“ฆ่ามัน วันนี้ข้าจะกินเนื้อสุนัข!” ชุยอี้ตะโกนสั่งอย่างฮึกเหิม
ไอ้เดรัจฉานนี่มันสมควรถูกจับถลกหนังด้วยมีดไปตั้งนานแล้ว ไอ้แก่สองคนนั่นก็มัวนิ่งบื้ออยู่ได้!
ตามกฎหมายต้าโจว สามัญชนไม่ได้รับอนุญาตให้พกอาวุธมีคมติดตัวไปไหนต่อไหน แต่ชนชั้นพิเศษอย่างชุยอี้ ดูเหมือนเขาจะไม่ได้ถูกจำกัดไว้อย่างชัดเจน
ภายใต้แสงของพระอาทิตย์ที่ส่องลงมา กริชสว่างสะท้อนแสงเย็นเยียบ ฝูงชนโดยรอบอดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลังหนีด
อาหมานไม่ลังเลอีกต่อไป ขว้างถ้วยน้ำชาออกไปเต็มแรง
ถ้วยน้ำชาสีฟ้าพุ่งขึ้นไปในอากาศก่อนโค้งจะตกลงมาตามแรงดึงดูด กระแทกเข้าที่หน้าผากของชุยอี้อย่างจัง
ชุยอี้แหกปากร้องดังลั่นและหงายหลังล้มตึงไป
ทั้งสองคนที่กำลังสู้ติดพันอยู่กับเอ้อร์หนิวหยุดกึก รีบเบี่ยงทิศทางแล้ววิ่งเข้าไปหาชุยอี้
แต่โดยไม่คาด เงาร่างสีดำเหลืองที่ไม่มีสัญญาณบ่งบอกถึงการยอมแพ้จะเร็วกว่าพวกเขาก้าวหนึ่ง มันเข้าไปถึงตัวของชุยอี้ก่อนใคร
สุนัขตัวใหญ่ที่มีขนาดเท่าครึ่งตัวคนตะปบอุ้งเท้าไปที่หน้าผากที่มีเลือดไหลของชุยอี้เต็มแรง ก่อนจะพลิกตัวลงมาแล้วยืนกระดิกหางอย่างสบายๆ ยืนรอทั้งสองคนวิ่งเข้ามาใกล้
ชุยอี้ตกใจมากจนไม่รู้สึกเจ็บที่หน้าผากอีกแล้ว เขาตะโกนออกไปอย่างตะกุกตะกักว่า “ระ รีบช่วยข้า เร็วเข้า…”
“เดรัจฉาน รีบถอยไปซะ!” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งตะโกนบอก
เอ้อร์หนิวเหลือบมองเขาเบาๆ
ชายคนนั้นชะงักไป
นี่เขาตาฝาดไปเองหรือเปล่า
เหตุใดถึงได้รู้สึกว่ามันกำลังส่งสายตาดูถูกข้าอยู่เลยล่ะ
ไม่หรอกกระมัง ข้าคงจะตาฝาดไปเอง
จากนั้นเขาก็เห็นสุนัขตัวใหญ่ยกอุ้งเท้าขึ้น ค่อยๆ กดไปที่คอของชุยอี้
จู่ๆ ผู้ชมทั่วทั้งบริเวณก็เงียบเสียงลง
สุนัขตัวนี้จะต้องสำเร็จการบำเพ็ญเพียรแล้วแน่ๆ!
[1] หมัดบุปผาขาผ้าปักลาย อุปมาถึงเพลงมวยที่สวยแต่กระบวนท่า แต่ใช้งานจริงไม่ได้