ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 50 เจ้าหน้าที่ทางการมาถึง
ตอนที่ 50 เจ้าหน้าที่ทางการมาถึง
“เจ้า เจ้าอย่าหุนหันพลันแล่น อย่าหุนหันพลันแล่น!” ชุยอี้ซึ่งถูกสุนัขตัวใหญ่กดลงกับพื้นกลัวจนไม่กล้าขยับตัว เขาพูดด้วยอาการตัวสั่น
สุนัขตัวนี้น่ากลัวกว่ามนุษย์หลายเท่านัก มนุษย์ยังสามารถพูดข่มขู่และหลอกล่อได้ แต่เราไม่สามารถใช้เหตุผลกับสุนัขได้เลย หากมันเกิดคึกขึ้นมาแล้วขย้ำคอเขาจริงๆ ช่วงวัยหนุ่มอันแสนรุ่งโรจน์ของเขาคงได้จบสิ้นลงตรงนี้แล้วแน่!
ชุยอี้เริ่มรู้สึกกลัวมากขึ้นทุกขณะเมื่อคิดถึงลมหายใจร้อนๆ ของสุนัขตัวใหญ่ที่พ่นลงมาบนใบหน้าเขา บางครั้งก็มีน้ำลายไหลหยดออกมาสองสามหยด
บรู๊ววว คุณชายผู้ซึ่งถูกเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมมาตั้งแต่เด็กไม่อาจทนรับความกดดันเช่นนี้ได้อีกต่อไป เขาปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาในที่สุด เสียงสะอื้นไห้ดังออกมาให้ได้ยินเบาๆ
ฉากตึงเครียดและน่าตื่นเต้นในตอนแรก กลายเป็นความกระอักกระอ่วนและน่าอับอายด้วยเสียงร้องไห้ของเขาในเวลาต่อมา
ผู้เห็นเหตุการณ์หลายคนต่างพากันคิดในใจว่า สมัยก่อนตอนที่เจ้าหนูหน้าขาวนี่รังแกผู้คนเขาเคยเย่อหยิ่งและจองหองถึงเพียงนั้น แต่ตอนนี้ภายใต้อุ้งเท้าของสุนัขตัวหนึ่งกลับปอดแหกและขี้ขลาด มิสู้ให้เจ้าสุนัขตัวใหญ่นี่จัดการเขาให้รู้แล้วรู้รอด ถือเสียว่าเป็นการขจัดภัยร้ายให้มวลชน
แม้แต่ในสายตาของชายวัยกลางคนทั้งสองก็ยังซุกซ่อนความดูถูกไว้ไม่มิด
ไอ้ตัวไร้ค่านี่น่ะหรือที่พวกเขามอบความจงรักภักดีให้!
แต่ไม่ว่าพวกเขาจะคิดอย่างไร ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับชุยอี้ใต้จมูกของพวกเขา พวกเขาก็ไม่สามารถปัดความรับผิดชอบได้ หนึ่งในนั้นจึงแอบดึงหน้าไม้ขนาดเล็กออกมาอย่างเงียบๆ
สิ่งที่อยู่ในมือเขาตอนนี้เป็นของต้องห้าม หากถูกคนพบเห็นเข้า จะว่าเรื่องเล็กก็เรื่องเล็ก จะว่าเรื่องใหญ่ก็เรื่องใหญ่ ขึ้นอยู่กับว่าจะถูกจับตาดูหรือไม่
“แย่แล้ว” เจียงซื่อยืนอยู่ที่ชั้นสอง ด้วยเหตุที่วิสัยทัศน์กว้างกว่าเหล่าผู้ชมที่เข้ามารุมล้อมอยู่โดยรอบมาก เพียงชำเลืองมองครั้งหนึ่ง นางก็เห็นลูกศรหน้าไม้ที่ซ่อนอยู่ระหว่างแขนเสื้อของชายผู้นั้นชัดเจน
อาวุธระยะไกลดังกล่าวเป็นภัยคุกคามต่อเอ้อร์หนิวอย่างมาก
เจียงซื่อไม่สามารถนิ่งเฉยได้อีกต่อไป นางหมุนตัวกลับและเดินลงไปยังชั้นล่าง แต่แล้วน้ำเสียงที่คุ้นเคยของใครบางคนก็ดังส่งมา “พวกเจ้าคิดจะทำอะไรกับสุนัขของข้า”
น้ำเสียงนี้กระจ่างและคมชัดยิ่งนัก ราวกับสายน้ำที่ไหลผ่านภูเขาสูงไร้ซึ่งมลทินและสิ่งสกปรกแปดเปื้อน และในทันทีทันใดมันก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนโดยรอบไปจนหมด ชุยอี้เองก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อค้นหาแหล่งที่มาของเสียงเช่นกัน
เอ้อร์หนิวกดอุ้งเท้าข้างหนึ่งที่ทาบอยู่บนใบหน้าของชุยอี้ลงไป พลางเห่าใส่ผู้ที่มาใหม่อย่างใกล้สนิทสนม
อวี้ชีก้าวอาดๆ เข้ามา ดวงตาของเขาเย็นชามาก “พวกเจ้าคิดจะทำอะไรกับสุนัขของข้า!”
ชุยอี้ใต้อุ้งเท้าของสุนัขแทบจะถูกฝังรวมไปกับพื้นแล้ว เขากัดฟันและตวาดออกไปว่า “เจ้าแหกตาดูให้ดี แล้วดูว่าใครกันแน่ที่กำลังทำอะไรกับใคร!”
โฮ่ง! เอ้อร์หนิวเห่าขู่ชุยอี้ไปครั้งหนึ่ง
ชุยอี้กลัวมากจนไม่กล้าขยับอีก ได้แต่ถลึงตาใส่สหายที่มาด้วยกันอย่างหยางเซิ่งไฉ พยายามส่งสายตาบอกให้เขาช่วยพูดให้
อารมณ์ของหยางเซิ่งไฉยามนี้ก็ละเอียดอ่อนไม่แพ้กัน
ช่างเป็นอะไรที่ยากจะบรรยายนัก
สุนัขตัวนี้ดุมาก เรื่องนี้เขาได้พิสูจน์เห็นด้วยตาตัวเองแล้ว แต่ทำไมเจ้าของสุนัขอย่างบุรุษผู้นี้ถึงได้เหมือนกับลูกแกะตัวน้อยเช่นนี้เล่า
สุนัขของผู้อื่น…
หยางเซิ่งไฉมองไปที่เจ้าของสุนัขด้วยสายตาริษยาน้อยๆ แต่เมื่อดวงตาของเขาได้เห็นใบหน้าอีกฝ่ายอย่างชัดเจน มันก็ทอแสงแวววาวเป็นประกายระริบระยับ
ชายผู้นี้หล่อเหลามาก!
“นี่คือสุนัขของเจ้าหรือ” เดิมทีเขาควรจะถามไปด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง แต่ตอนนี้น้ำเสียงของเขากลับอ่อนลงเล็กน้อยโดยไม่ได้ตั้งใจ
ชุยอี้ซึ่งถูกอุ้งเท้าของสุนัขกดหัวไว้แทบอยากจะกระโดดขึ้นไปเตะหน้าหยางเซิ่งไฉสักป้าบ
ไอ้สารเลวนี่ เห็นคนหน้าตาดีเป็นไม่ได้เลยโรคเก่ากำเริบทุกที!
“เจ้า…รีบบอกให้สุนัขของเจ้าถอยออกไปเร็วเข้า” ชุยอี้รู้ได้เลยว่าคงจะหวังพึ่งสหายของตัวเองไม่ได้อีกต่อไป ยิ่งไม่กล้าไปยั่วยุโทสะของเจ้าสุนัขปีศาจนี่ จึงหันไปพูดกับเจ้าของมันแทน เสียงตะโกนของเขาอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
อวี้ชีเดินขึ้นไปหาชุยอี้ มองเขาจากมุมที่สูงกว่าอย่างดูถูก
จากมุมมองของชุยอี้ เวลานี้เขาสามารถมองเห็นความเย็นชาและความเฉยเมยในดวงตาที่ราวกับหยกมั่วอวี้[1] ของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน
ทันใดนั้นคุณชายผู้สูงศักดิ์ซึ่งเกิดมาบนกองเงินกองทอง ถูกปรนเปรอด้วยสมบัติพัสถานนับไม่ถ้วน ก็เกิดความรู้สึกอัปยศอย่างถึงที่สุด
รอข้าก่อนเถอะ วิกฤตตรงหน้าคลี่คลายลงเมื่อไหร่ข้ากับเจ้าจะได้เห็นดีกัน!
“ขอโทษสุนัขของข้าซะ”
“อะไรนะ” ชุยอี้คิดว่าเขาหูฝาดไป
หยางเซิ่งไฉที่เพิ่งฟื้นจากอาการตกตะลึงด้านข้างรีบเข้ามาช่วยพูดคลี่คลายว่า “สหาย เจ้าคงเข้าใจอะไรผิดไปแล้วกระมัง เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเจ้าไม่ได้ดูแลเดรัจฉานน้อยตัวนี้ของเจ้าให้ดีจนมันวิ่งพล่านออกมาทำร้ายผู้คน และตอนนี้สหายของข้าก็ยังคงถูกมันกดอยู่กับพื้นอยู่เลย เจ้าจะให้สหายข้าขอโทษมันจริงรึ”
อวี้ชีมองไปที่หยางเซิ่งไฉด้วยความประหลาดใจ “หน้าที่สั่งสอนเจ้าเป็นของบิดาเจ้าไม่ใช่หรือ เกี่ยวอะไรกับข้า”
“สั่งสอนข้า? คำพูดนี้ของเจ้าเหตุไฉนถึงได้ฟังดูพิลึก…”
แต่ยังไม่ทันพูดจบ ผู้ชมที่หัวไวบางคนก็ร้องอ้อออกมาและพ่นเสียงหัวเราะดังพรืดอย่างห้ามไม่อยู่
เมื่อเสียงหัวเราะดังขึ้นเรื่อยๆ หยางเซิ่งไฉก็เข้าใจมันในที่สุด
ไอ้สวะนี่มันด่าเขาว่าเดรัจฉาน!
“บัดซบ เจ้ากล้าดูถูกข้า!” หยางเซิ่งไฉหน้าแดงก่ำ โกรธจนควันแทบออกหู
หยางเซิ่งไฉคือใคร ปู่ของเขาเป็นถึงรองเสนาบดีกรมพิธีการคนปัจจุบัน พี่สาวของเขาคือพระชายาในไท่จื่อ เขาเป็นถึงคุณชายผู้สูงศักดิ์แห่งเมืองหลวง แต่ตอนนี้เขากลับถูกเยาะเย้ยว่าเป็นสัตว์เดรัจฉานข้างถนน!
ถ้าข้าทนเรื่องนี้ได้ อีกหน่อยคงไม่มีสิ่งใดไม่สามารถทนได้แล้ว!
หยางเซิ่งไฉดึงแส้เหล็กที่พันอยู่รอบเอวออกมาแล้วฟาดไปที่อวี้ชีเต็มแรง
เมื่อเอ้อร์หนิวเห็นว่าเจ้านายของมันถูกโจมตี มันก็ก้มหัวลงและเห่าใส่ชุยอี้อย่างต่อเนื่อง ก่อนจะเลียไปที่ใบหน้าของชุยอี้หลายที
หน้าผากของชุยอี้เปลี่ยนเป็นสีดำสนิท ตอนนี้คนที่เขาเกลียดที่สุดไม่ใช่อวี้ชีและเจ้าสุนัขปีศาจนี่อีกต่อไปแล้ว แต่เป็นหยางเซิ่งไฉ
ไอ้สวะหน้าโง่นั่นมันกำลังจะทำให้เขาตาย!
ทันทีที่แส้เหล็กถูกดึงออกมา มันก็วิ่งเข้าไปทักทายอวี้ชีอย่างบ้าคลั่ง
อวี้ชียิ้มพรายและคว้าแส้ยาวไว้ด้วยมือของเขา
“ปล่อยมือเดี๋ยวนี้!” หยางเซิ่งไฉตะโกนอย่างโกรธจัด
“นี่พวกเจ้ากำลังทำอะไรกันอยู่” ในที่สุดเจ้าหน้าที่ทหารกลุ่มหนึ่งที่เอ้อระเหยลอยชายอยู่นานก็มาถึง
บรรดาผู้ชมที่กำลังรอดูเรื่องตื่นเต้นอยู่ถูกแยกออกเป็นสองฝั่งโดยอัตโนมัติ พวกเขาพร้อมใจกันมองไปทางอวี้ชีด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ
ชายหนุ่มที่หล่อเหลาเช่นนี้ น่าเสียดายจริงๆ หากต้องถูกเจ้าหน้าที่ของทางการจับเข้าคุก
หยางเซิ่งไฉเริ่มกลับมามีความมั่นใจอีกครั้ง ตะโกนสั่งไปอย่างโกรธเคืองว่า “กองบัญชาการปัญจทิศรักษานครรู้จักแต่กิน ทำงานไม่เป็นแล้วใช่หรือไม่ ปล่อยให้สุนัขดุร้ายออกมาวิ่งเพ่นพ่านตามท้องถนนไม่พอ ยังปล่อยให้พวกอันธพาลก่อเรื่องอีก นี่คือวิธีจัดการความปลอดภัยในเมืองหลวงของพวกเจ้าหรือ”
หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยชักดาบออกมาและชี้ไปทางอวี้ชี ตะโกนสั่งเขา “ปล่อยมือ!”
อวี้ชียิ้มหยันใส่หยางเซิ่งไฉ เพิ่มแรงในมือของเขาขึ้นอีกส่วน
หยางเซิ่งไฉโกรธจนแทบลุกไหม้
ไอ้คนชั้นต่ำนี่ต่อหน้าเจ้าหน้าที่มันยังกล้ายั่วยุข้าอีก!
เขากระตุกแส้กลับโดยไม่รู้ตัว แต่ไม่คิดว่าในขณะนั้นอีกฝ่ายจะยอมคลายมือ
หยางเซิ่งไฉถูกแรงเฉื่อยเหวี่ยงไปทางด้านหลัง เขาเซถอยหลังไปสองสามก้าว และชนเก่ากับทหารเก่าที่กำลังถือหน้าไม้เล็กไว้อยู่อย่างพอดิบพอดี
ทหารเก่าวัยกลางคนแอบร้องตะโกนในใจว่าท่าไม่ดีแล้ว แต่ยังไม่ทันรอให้เขาได้เก็บหน้าไม้กลับไป พายุหมุนสีดำเหลืองขนาดย่อมก็พุ่งเข้ามากัดข้อมือเขา
ทหารเก่าสะบัดมือหนีด้วยความเจ็บปวด และในวินาทีนั้นเองที่หน้าไม้เล็กก็หล่นลงไป
เอ้อร์หนิวคาบหน้าไม้ขนาดเล็กวิ่งกลับมาหาอวี้ชีด้วยฝีเท้าเร็วรี่ เมื่อเห็นว่าเจ้านายของตัวเองเหลือบมองหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยเบาๆ มันก็เข้าใจความหมายของผู้เป็นนายในทันที คาบหน้าไม้ขนาดเล็กเดินไปวางไว้ที่ข้างเท้าของหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยผู้นั้น
หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยเบิกตาโพลง ตกใจจนแทบสติหลุด
ลักลอบพกลูกศรหน้าไม้ นี่ไม่ใช่โทษเล็กๆ เลย!
“มัวยืนนิ่งทำอะไรอยู่อีก ยังไม่รีบเข้าไปจับกุมคนและสุนัขนี่ให้ข้า เร็วเข้า!” ชุยอี้ลุกขึ้นและตะโกนออกไป
หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยมุมปากกระตุก มองไปที่ลูกศรหน้าไม้บนพื้นอย่างลำบากใจ
ท่ามกลางสายตาของผู้คนจำนวนมากที่จับจ้องเขาอยู่ หากเขาคิดจะเล่นพรรคเล่นพวกในตอนนี้ หาใช่เรื่องที่สามารถทำได้ง่ายดายไม่
ชุยอี้มองตามสายตาของหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัย กล่าวอย่างไม่ยี่หระว่า “นี่เป็นอาวุธที่องครักษ์ของข้าใช้เพื่อปกป้องข้า มันน่ามองตรงไหน ทำไมเจ้าไม่รีบจับกุมคนอีก”
“นั่นสิ ทำไมท่านเจ้าหน้าที่ถึงยังไม่จับกุมคนอีกเล่า” อวี้ชีจ้องไปที่ลูกศรหน้าไม้บนพื้น “กฎหมายต้าโจวระบุไว้ชัดเจนแล้วว่าไม่อนุญาตให้ขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งหลายพกลูกศรหน้าไม้เป็นการส่วนตัวไม่ใช่หรือ”
หน้าผากของหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยหลั่งเหงื่อเย็นเยียบลงมาหยดหนึ่ง
หากว่านี่คือกริชหรือสิ่งของอื่นๆ ยังพอพูดแก้ขัดไปได้ แต่นี่มันคือลูกศรหน้าไม้!
ภายใต้สายตาของฝูงชน หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยลอบส่งสายตาให้ชุยอี้เบาๆ เป็นเชิงปลอบใจเขา “คุณชายชุย ข้าขออภัยด้วย เกรงว่าข้าคงต้องพาทั้งสองคนนี้ออกไป”
พูดจบเขาก็หันไปหาอวี้ชีและพูดอย่างเย็นชาว่า “สุนัขตัวนี้ก่ออาชญากรรมทำร้ายพลเมือง พาตัวชายคนนี้ไปกับข้าด้วย ส่วนสุนัขของเขาจะต้องถูกฆ่าตายที่นี่!”
[1] หยกมั่วอวี้ หมายถึงหยกอ่อนสีดำ