ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 53 เรื่องสนุกที่หน้าประตู
ตอนที่ 53 เรื่องสนุกที่หน้าประตู
แม้เจียงซื่อจะรู้ดีว่านางไม่ใช่คนที่ฉลาดที่สุด แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่นางรู้สึกสมองตื้อขนาดนี้มาก่อน
เรื่องราวกลับตาลปัตรกลายมาเป็นว่าบุรุษผู้นี้จะขายตัวชำระหนี้ ไม่ใช่ว่าเมื่อครู่นี้เรากำลังพูดถึงเรื่องตอบแทนบุญคุณกันหรอกหรือ
สีหน้ายุ่งเหยิงของหญิงสาวทำให้อวี้จิ่นยิ้มมุมปาก แต่ยังคงวางมาดจริงจังเอ่ยขึ้นว่า “ความจริงข้าก็ละอายใจอยู่เหมือนกัน รูปร่างของข้าก็มิได้สูงใหญ่ มีเพียงพละกำลังที่พอจะช่วยคุณหนูเจียงทำธุระเล็กๆ น้อยๆ คุณหนูเจียงก็จดค่าจ้างลงในบัญชีได้ตามสะดวก หากค่าจ้างครบพันตำลึงเมื่อไหร่ หนี้คราวนี้ก็ถือเป็นอันจบกัน”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ อวี้จิ่นก็เริ่มพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง “ขอคุณหนูเจียง อย่าเพียงเพราะเห็นแก่หน้าน้องเจียงเอ้อร์เลยให้ค่าแรงเยอะ เพราะหากเป็นเช่นนั้น เจตนาในการตอบแทนบุญคุณของข้าคงสูญเปล่า และนั่นคงทำให้ข้ารู้สึกผิดมากกว่าเดิม”
ดวงตาคู่งามของเจียงซื่อจ้องมองไปยังบุรุษตรงหน้า
ขายตัวชำระหนี้ แท้จริงแล้วไม่ใช่การขายตัวอย่างที่เห็นในหอโคมเขียว แต่เป็นการใช้แรงทำธุระเล็กๆ น้อยๆ ซ้ำยังขอค่าจ้างขั้นต่ำตามราคาในท้องตลาดอีกด้วย นี่เขาคงไม่ได้วางแผนเกาะติดอยู่กับนางไปตลอดชีวิตหรอกนะ
ชายหนุ่มรูปงามหลอกนางว่าเขาไม่มีเงิน ทั้งยังดึงดันว่าจะยอมเป็นข้ารับใช้ ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่น่าไว้ใจ
ในตอนนั้นชายผู้นี้ก็หลอกล่อให้นางหลงกลเช่นนี้
คนไร้ยางอาย!
“ชายหญิงแตกต่าง ข้าไม่ได้ต้องการคนคอยรับใช้เจ้าค่ะ” เจียงซื่อพูดด้วยท่าทีเย็นชา
“แต่เด็กหนุ่มที่ออกมาจากโรงน้ำชาเทียนเซียงก็คอยวิ่งทำธุระให้คุณหนูเจียงมิใช่หรือ” น้ำเสียงอวี้จิ่นแฝงไปด้วยความคับข้องใจ
เด็กหนุ่ม?
เจียงซื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงนึกขึ้นได้ นางถามอย่างรำคาญใจว่า “หรือว่าคุณชายอวี๋สะกดรอยตามข้า”
จะว่าไปแล้ว นางเองก็รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญเกินไป เพราะจู่ๆ อาเฟยที่กำลังเดินออกมาจากโรงน้ำชาก็ถูกเอ้อร์หนิวกัดเข้าที่ก้น
ขณะที่นึกคิด สายตาของนางลดลงไปมองเอ้อร์หนิวที่อยู่ที่พื้น ความสับสนภายในใจพรั่งพรูไม่หยุด
สองครั้งแล้วที่นางเห็นเอ้อร์หนิวกัดก้นคนอื่น นางไม่รู้มาก่อนเลยว่าเอ้อร์หนิวจะมีนิสัยแปลกประหลาดเช่นนี้
เมื่อชาติก่อน เอ้อร์หนิวมักจะชอบเลียฝ่ามือของนาง เจียงซื่อกระตุกมุมปากพลางนึกคิด
นิสัยไม่ดีเช่นนี้ คงต้องดัดนิสัยกันหน่อยเสียแล้ว!
แม้ว่าเอ้อร์หนิวจะไม่รู้ว่าเจียงซื่อกำลังคิดสิ่งใดอยู่ แต่มันสัมผัสได้ถึงความไม่สบอารมณ์ของนายหญิง มันจึงครางหงิงๆ พลางส่ายหางไปมา
อวี้จิ่นลูบหัวสุนัขขนปุกปุย หัวเราะขึ้นพลางกล่าวว่า “คุณหนูเจียงอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ข้าเพียงพาเอ้อร์หนิวไปเดินเล่น แต่ว่าเอ้อร์หนิว…”
อวี้จิ่นลังเลครู่หนึ่งว่าควรพูดประโยคหลังออกไปหรือไม่
เมื่อเอ่ยถึงเอ้อร์หนิว เจียงซื่อจึงอดไม่ได้ที่จะถามต่อว่า “เอ้อร์หนิวทำไมหรือเจ้าคะ”
เมื่อเจียงซื่อถาม อวี้จิ่นจึงตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “เพราะเอ้อร์หนิวได้กลิ่นคุณหนูเจียงจากตัวเด็กหนุ่มผู้นั้น มันจึงไม่ยอมปล่อยผู้นั้นไป”
น่าโมโหเสียจริง เอาอะไรมาพูดว่าบนตัวเด็กหนุ่มนั่นมีกลิ่นของนาง!
สัญชาตญาณของอวี้จิ่นบอกเขาว่าจากการแต่งกายของเด็กหนุ่มนั่นคงเป็นแค่อันธพาลข้างถนนเสียมากกว่า เจียงซื่อคงจะรู้จักเขาเพียงแค่ผิวเผิน หรืออย่างมากก็แค่เรียกมาใช้ทำธุระเท่านั้น
แต่ก็ยังน่าโมโหอยู่ดี เอาอย่างไรดีล่ะ
องค์ชายเจ็ดที่กำลังงุ่นง่านถึงขั้นสุด พยายามฝืนยิ้มกลบเกลื่อนเพื่อไม่ให้สตรีตรงหน้าจับสังเกตได้
“ท่านพูดอะไรของท่าน” แก้มของเจียงซื่อร้อนผ่าว อดไม่ได้ที่จะเตะเข้าไปที่ขาของชายหนุ่ม
โฮ่งงงๆ คราวนี้เอ้อร์หนิวเห่าขึ้นเป็นเชิงเห็นด้วยกับเจ้าของ
อวี้จิ่นยิ้มเจื่อนกล่าว่า “ข้าเดาว่าเด็กหนุ่มนั้นคงกำลังไปทำธุระให้คุณหนูเจียง เพราะเห็นว่าท่านเพิ่งพบกันในโรงน้ำชาเทียนเซียง”
“แล้วอย่างไรเล่า” เจียงซื่อชำเลืองมองไปที่ชายหนุ่มตรงหน้า
อวี้จิ่นปั้นหน้าจริงจังเอ่ยว่า “ข้าคิดว่าถ้าเทียบกันแล้ว ข้าคงรู้งานมากกว่าเด็กหนุ่มนั่น อีกอย่างถ้าคุณหนูเจียงใช้งานคนอื่นก็ต้องจ่ายค่าแรง ผิดกับข้า ที่ยอมขายตัวชำระหนี้อยู่แล้ว คุณหนูไม่ต้องควักเงินสักตำลึง”
เจียงซื่อหัวเราะอย่างเย็นชาเอ่ยว่า “แต่ข้าคิดว่าการเรียกใช้เด็กหนุ่มนั่นก็คล่องไม้คล่องมือดี หนำซ้ำคุณชายอวี๋เป็นถึงสหายของพี่รอง หากข้าใช้ท่านราวกับเป็นบ่าวคนหนึ่ง พี่ชายข้าคงคัดค้านเป็นคนแรก”
นางก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว ปรับสีหน้านิ่งเรียบพลางเอ่ย “คุณชายอวี๋อย่ากล่าวอะไรที่เป็นไปไม่ได้เลย ส่วนเรื่องเงินพันตำลึง ท่านมีเมื่อไหร่ก็ค่อยใช้คืน แต่หากไม่มีก็ช่างเถิด ข้ากับท่านก็มิได้รู้จักมักจี่กันถึงขั้นนั้น ชายหญิงแตกต่าง หากมีโอกาสพบกันคราวหน้า ควรรักษาระยะห่างไว้ก็เป็นการดีเจ้าค่ะ”
“คุณหนูเจียงพูดมาก็มีเหตุผล” อวี้จิ่นก้มมองต่ำ ขนตายาวและหนาทำให้เกิดเงาใต้ดวงตา มันฉายแววเศร้าสร้อยเกินคณานับ
คนที่หน้าตาหล่อเหลาก็มักจะได้เปรียบกว่าเสมอ เมื่อเห็นท่าทีเศร้าสร้อยของชายหนุ่ม อาหมานที่นิ่งเงียบอยู่เสียนานก็อดเห็นใจไม่ได้
คุณหนูก็ใจจืดใจดำเสียเหลือเกิน
อวี้จิ่นผุดยิ้มขึ้นรีบเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะรีบไปหาเงิน ถ้ามีเงินเมื่อไหร่จะรีบเอามาใช้คืนทันที”
ชายหนุ่มพูดขึ้นโดยไม่รอให้เจียงซื่อตอบตกลง อวี้จิ่นยกมือคารวะบอกลาและหันไปลูบหัวเอ้อร์หนิว “เอ้อร์หนิว ไปกันเถอะ”
มีของดีให้รีบตักตวง มีโอกาสคราวหน้าไว้ค่อยมาใหม่ นี่คือกฎเหล็ก
อวี้จิ่นพาสุนัขตัวใหญ่เดินจากไปอย่างไม่รอช้า ปล่อยให้เจียงซื่อยืนอึ้งอยู่นานกว่าจะตั้งสติได้
ดูเหมือนจะตกหลุมพรางของคนสารเลวนี่อีกแล้ว ถ้ามีเงินเมื่อไหร่จะรีบเอามาใช้คืนทันทีหมายความว่าอย่างไรกันนะ
“คุณหนู ไปกันเถิดเจ้าค่ะ”
“หืม”
“พวกเรายังไม่ไปกันอีกหรือเจ้าคะ”
ดูเหมือนคุณหนูจะยังอาลัยอาวรณ์
“ไปเถอะ”
ทั้งนายหญิงและสาวรับใช้เดินไปได้ไม่นานก็มาถึงที่หน้าประตูใหญ่จวนตงผิงปั๋ว โดยปกติหน้าจวนไม่ได้ครึกครื้น แต่ในเวลานี้กลับถูกห้อมล้อมไปด้วยผู้คนมากมาย
“คุณหนู หรือว่าที่จวนจะเกิดเรื่องเจ้าคะ”
เจียงซื่อหยุดเดิน
นางเป็นคนที่ผลักดันให้เรื่องขัดแย้งระหว่างหลิวเซียนกูและอาสะใภ้รองแพร่กระจายสู่สาธารณชนอย่างลับๆ เอง ซึ่งแน่นอนว่าอาสะใภ้รองก็ไม่อาจนิ่งนอนใจอยู่ได้แน่
อีกไม่นานปัญหาของหลิวเซียนกูก็จะต้องถูกขุดขึ้นมาอย่างแน่นอน
“น้องสี่ เจ้าอยู่นี่นี่เอง” เจียงจั้นรีบสาวเท้าเดินมาพร้อมกับใบหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องเอ่ยว่า “หน้ากากของแม่หมอลวงโลกนั่นถูกกระชากแล้วล่ะ”
เจียงซื่อขมวดคิ้วและเอ่ยถามออกไปอย่างอดไม่ได้ว่า “พี่รองอยากเห็นหลิวเซียนกูพังพินาศงั้นหรือ”
“แน่สิ ถึงข้ากับพี่เชี่ยนจะเข้ากันไม่ค่อยได้ แต่อย่างไรแล้วพวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน แม่หมอนั่นมาพูดปาวๆ ว่าพี่เชี่ยนถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง จนพี่เชี่ยนต้องอับอายขายหน้า ถ้าข้ายังเห็นดีเห็นงาม ข้าก็พิลึกเต็มที”
เมื่อคิดๆ ดูแล้ว ก็มีเรื่องน่ากลัวอยู่หนึ่งอย่าง เพราะอย่างไรเสีย พี่เชี่ยนก็แต่งงานออกไปแล้ว ทั้งยังเป็นคนโปรดของท่านย่า ต่อให้เจอเรื่องเช่นนี้ก็คงพอทนได้ ถ้าตอนนั้นแม่หมอชี้มาที่น้องสี่แทนล่ะจะทำอย่างไร
น้องสี่ไม่มีมารดาคอยปกป้อง หนำซ้ำยังถูกถอนหมั้น ถึงเวลานั้น เกรงว่าจะทนอยู่ที่จวนปั๋วต่อไปไม่ไหว
เจียงซื่อลอบมองพี่ชายอยู่เงียบๆ
“ทำไมล่ะ ข้าพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า” เจียงจั้นขยี้จมูก เขาเอ่ยถามขึ้นเพราะสังเกตเห็นความผิดปกติของเจียงซื่อ
“ไม่เจ้าค่ะ พี่รองพูดถูกอย่างยิ่ง” เจียงซื่อค่อยๆ เดินเข้าไปหยิบใบไม้ออกจากไหล่ของเจียงจั้น
แม้ว่าพี่ชายของนางจะไม่มีพรสวรรค์โดดเด่นและไม่มีความละเอียดอ่อน แต่หัวใจที่ไร้เดียงสานี้คงหาใครเทียบไม่ได้จริงๆ
เจียงจั้นหัวเราะขึ้นพลางดึงเจียงซื่อให้เดินตามไป “ไป พี่จะพาไปดูอะไรสนุกๆ”
เจียงซื่อถูกเจียงจั้นลากมายังใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าประตูจวนตงผิงปั๋ว
“นั่น เห็นผู้หญิงสวมเสื้อคลุมสีฟ้าตรงนั้นหรือไม่ หลังจากที่ลูกของนางกินน้ำมนต์ของหลิวเซียนกูเข้าไปก็ท้องร่วงจนตาย…” เจียงจั้นพูดพลางยื่นบางอย่างใส่มือเจียงซื่อ
เจียงซื่อก้มลงมอง มันคือกล่องขนมนั่วหมี่ฮวา[1]
“น้องสี่ลองชิมดูสิ ขนมนั่วหมี่ฮวาของลุงจางขาเป๋ที่ขายอยู่หน้าถนนนี้หอมอร่อยที่สุดแล้ว”
เจียงซื่อยกกล่องขนมขึ้นมาดูพร้อมกับระเบิดหัวเราะออกมา
ดูเรื่องชาวบ้านไปพร้อมกับกินขนมนั่วหมี่ฮวาไปด้วย นี่คือสิ่งที่คนเมืองหลวงพลาดไม่ได้โดยแท้
บริเวณขั้นบันไดหินหน้าจวนตงผิงปั๋ว พ่อบ้านกำลังยกมือคำนับหญิงสาวในชุดคลุมสีฟ้าพลางบอกว่า “จวนของเราเชิญหลิวเซียนกูมาทำพิธีเท่านั้น ไม่รู้มาก่อนว่าหลิวเซียนกูจะเคยรักษาคนจนตาย อาซ้อท่านนี้ท่านใจเย็นก่อน หากหลิวเซียนกูทำร้ายลูกของท่าน จวนของเราก็มิอาจปกป้องคนผิดได้เช่นกัน…”
[1] นั่วหมี่ฮวา คือขนมหวานชนิดหนึ่งที่มีความนิยมกินนในมณฑลยูนนาน ขนมชนิดนี้จะทำในเทศกาล โดยเฉพาะวันปีใหม่หรือวันตรุษจีนเท่านั้น