ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 55 ผลประกาศที่กำลังจะมาถึง
ตอนที่ 55 ผลประกาศที่กำลังจะมาถึง
คำพูดเพียงประโยคเดียวของเจียงซื่อรั้งตัวพ่อบ้านเอาไว้ได้ จากนั้นนางจึงเดินเข้าไปในจวน
พ่อบ้านรีบแจ้งคนเฝ้าประตูให้จัดเตรียมสำรับน้ำชาให้หญิงผู้นั้นและรีบเดินตามเจียงซื่อเข้าไป
เจียงจั้นวางมือข้างหนึ่งลงบนไหล่ของพ่อบ้านแล้วเอ่ยถามว่า “รีบร้อนเช่นนี้จะไปไหนหรือ”
ตั้งแต่ไหนแต่ไร พ่อบ้านไม่ได้ชายตามองคุณชายรองที่ดูไร้อนาคตคนนี้อยู่แล้ว แตกต่างจากเจียงซื่อ เพราะเมื่อช่วงสองสามวันก่อนนางได้แผลงฤทธิ์สั่งสอนป้าหลิวอดีตแม่ครัวประจำจวนไปเรียบร้อย ทำให้ตอนนี้เขาต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ “นายท่านรองสั่งให้นำตัวหลิวเซียนกูออกไป แต่เมื่อครู่ คุณหนูสี่เพิ่งบอกให้นางอยู่ต่อ ข้าจึงต้องนำเรื่องนี้ไปรายงานนายท่านรองขอรับ”
เจียงจั้นถลึงตาใส่พ่อบ้านพลางกำชับว่า “จะพูดสิ่งใดก็ระมัดระวังหน่อยแล้วกัน!”
เจียงซื่อเดินเข้ามาในจวนได้ไม่นานก็พบหลิวเซียนกูถูกบ่าวรับใช้พาเดินมา ลูกศิษย์ที่เดินตามมาด้านหลังถือห่อผ้าติดมือมาด้วย
“เซียนกูจะออกไปข้างนอกหรือ”
“คุณหนูสี่ ข้าจะไปจากจวนแล้วเจ้าค่ะ” ยามอยู่ต่อหน้าผู้คน หลิวเซียนกูจะพยายามรักษาท่าทีให้ห่างเหิน
เจียงซื่อขมวดคิ้ว “หากข้าจำไม่ผิด ท่านย่าสั่งให้ท่านอาสะใภ้รองต้อนรับท่านเป็นเวลาสามวัน วันนี้เพิ่งจะเข้าวันที่สองเอง เหตุไฉนท่านถึงจะไปเสียแล้วล่ะ”
“มีบางอย่างที่คุณหนูสี่ยังไม่ทราบ เซียนกูท่านนี้มีคดีติดตัว จวนของเราจะกล้าให้อยู่ต่อได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ นายท่านรองสั่งไว้แล้วว่า…”
“ข้าคุยกับหลิวเซียนกู เหตุใดเซียวมาหม่าจึงเป็นคนตอบล่ะ”
เซียวมาหม่าใบหน้าร้อนผ่าว แย้งขึ้นว่า “นี่เป็นคำสั่งของนายท่านรองเจ้าค่ะ”
เจียงซื่อมองมาหม่าด้วยสายตาเย็นชา “เซียวมาหม่ากำลังจะบอกว่าเรื่องในจวนนี้ ท่านอารองของข้าเป็นคนตัดสินใจงั้นหรือ”
“คือว่า…” เซียวมาหม่าทำหน้าเหยเกและเงียบไป พลางนึกเย้ยหยันในใจ
ใครจะไม่รู้ว่าถ้าจวนปั๋วตกอยู่ในมือคุณชายรองแล้ว จวนปั๋วก็ไม่อาจเรียกว่าจวนปั๋วได้อีกต่อไป คุณชายใหญ่ไม่เคยประสบความสำเร็จสิ่งใดเลย อีกหน่อยก็คงเป็นนายท่านรองที่จะเป็นผู้ปูทางให้ไม่ผิดแน่
เมื่อถึงตอนนั้น ตระกูลเจียงก็คงกลายเป็นสวรรค์ของเรือนรองอย่างแน่นอน
“เหอะๆ หากข้าไม่มีอำนาจตัดสินใจ หรือว่าซื่อเอ๋อร์อยากเป็นคนตัดสินใจแทนข้าล่ะ” น้ำเสียงราบเรียบดังขึ้น นายท่านรองเจียงเดินมาหยุดข้างหน้าเจียงซื่อ
พ่อบ้านที่ยืนอยู่ด้านหลังนายท่านรองเจียง ทำให้พอจะทราบได้ว่า เขาคงใช้จังหวะที่เจียงซื่อกำลังสนทนากับหลิวเซียนกูรีบไปรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นให้กับนายท่านทราบ
เจียงซื่อน้อมทักนายท่านรองเจียงพลางเอ่ยขึ้น “ท่านอารองกล่าวเช่นนั้น คงเป็นการปรักปรำหลานมากเกินไป หลานหมายความว่าเรื่องดวงตาของท่านย่าเป็นเรื่องสำคัญ จึงควรให้ท่านย่าเป็นผู้ตัดสินใจเจ้าค่ะ”
ใบหน้าของนายท่านรองเจียงไม่ได้แสดงความรู้สึกใดออกมา “ที่ให้หลิวเซียนกูออกไปจากจวนปั๋ว ท่านย่าของเจ้าก็เห็นด้วย”
เจียงซื่อเผยสีหน้าลำบากใจพลางเอ่ย “ท่านย่าเห็นด้วยงั้นหรือเจ้าคะ ถ้าเช่นนั้น หลานคงบุ่มบ่ามไปเอง เมื่อเห็นว่าหลิวเซียนกูรีบร้อนจะไปให้ได้ ข้าจึงรั้งนางไว้ก่อนน่ะเจ้าค่ะ”
“ถ้าเจ้าไม่รู้เรื่องแต่แรกก็มิเป็นไรหรอก คราวหน้าคราวหลังเจ้าใช้เวลาอยู่กับลี่เอ๋อร์บ่อยๆ เถิด อย่ามาวุ่นวายเรื่องของผู้ใหญ่เลย” นายท่านรองเจียงชำเลืองมองไปที่เซียวมาหม่ากล่าวว่า “ยังไม่รีบพาตัวนางออกไปอีก!”
เจียงซื่อก้าวไปขวางทางเซียวมาหม่าไว้พร้อมกับกล่าวว่า “ยังนำตัวหลิวเซียนกูไปเวลานี้ไม่ได้”
“ซื่อเอ๋อร์ อย่าเอาแต่ใจเช่นนี้สิ!”
เจียงซื่อทำทีหัวเราะพลางเอ่ยว่า “หลานไม่กล้าเอาแต่ใจต่อหน้าท่านอารองหรอกเจ้าค่ะ ที่จริงแล้วข้าเพิ่งประกาศต่อหน้าฝูงชนจะให้หลิวเซียนกูอยู่ที่นี่อีกหนึ่งวัน รอจนถึงวันพรุ่งนี้จึงจะให้นางออกไปได้ แต่หากปล่อยนางไปตอนนี้ พวกเขาจะไม่มองว่าจวนปั๋วของเรากลับกลอกไปมาหรอกหรือเจ้าคะ”
ใบหน้าของนายท่านรองเจียงดูเคร่งขรึมกว่าเก่า
เจียงซื่อทำทีเป็นมองไม่เห็นและกล่าวต่อว่า “อีกอย่าง มีสตรีนางหนึ่งมาร้องขอความช่วยเหลืออยู่ที่หน้าจวน ชาวบ้านอาจมองเป็นว่าจวนปั๋วเป็นพวกรังแกคนที่อ่อนแอกว่า หากปล่อยไปเช่นนี้คงมีเรื่องวุ่นๆ ตามมาอีกเป็นแน่”
“พูดได้ดี!” เจียงอันเฉิงสาวเท้าก้าวใหญ่เดินมา “น้องรอง ในเมื่อซื่อเอ๋อร์รั้งคนให้นางอยู่ต่อแล้ว ก็ให้อยู่ต่ออีกสักวันเถิด”
นายท่านรองเจียงหน้าดำคล้ำเครียดกล่าวว่า “พี่ใหญ่ เมื่อตอนอยู่ที่เรือนฉือซิน ท่านเพิ่งเห็นด้วยกับการที่จะให้หลิวเซียนกูออกไป”
“ตอนนั้นคือตอนนั้น ตอนนี้คือตอนนี้ ข้าคิดว่าที่ซื่อเอ๋อร์พูดนั้นก็มีเหตุผล”
“พี่ใหญ่!” นายท่านรองเจียงชะงักงันนิ่งอึ้งไป
เอ่ยวาจาไม่ไว้หน้าเช่นนี้ออกมาได้อย่างไรกัน
เจียงอันเฉิงกล่าวออกไปอย่างหมดความอดทน “เรื่องเล็กเพียงเท่านี้เอง ซื่อเอ๋อร์อุตส่าห์ลั่นออกไปแล้ว หรือเจ้าอยากทำให้นางเสียหน้าต่อหน้าชาวบ้านล่ะ การเป็นคุณหนูนั้นสู้การเป็นคุณชายไม่ได้หรอกนะ แล้วอีกอย่างหนึ่ง การเชิญหลิวเซียนกูมาที่จวนก็เป็นความคิดของพวกเจ้าเอง วันนี้จะให้นางออกไปก็เป็นความคิดของพวกเจ้าอีกเช่นกัน นี่พวกเจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่”
ปากของนายท่านรองเจียงกระตุกอย่างแรง
ความคิดเลอะเทอะที่จะไปเชิญแม่หมอ มันใช่ความคิดของข้าที่ไหนกัน เป็นความคิดของภรรยาที่ไม่ได้เรื่องต่างหากเล่า!
“เอาเถอะ ให้นางอยู่ต่อไปเถอะ พรุ่งนี้เมื่อไหร่เจ้าใคร่จะพาตัวนางไปไหนก็ตามใจ ข้าจะไปบอกท่านแม่เอง”
“ท่านพ่อ ข้าจะไปกับท่านด้วย” เจียงซื่อยิ้มแย้มพลางวิ่งตามไป
เจียงจั้นกะพริบตาให้เจียงซื่อพลางกระซิบว่า “เจ้าควรขอบคุณพี่รองที่ส่งม้ามาช่วยพลทหารอย่างเจ้าได้ทันกาลมิใช่หรือ”
“ไว้ข้าทำเหอเปาให้พี่รองหนึ่งอันก็แล้วกันเจ้าค่ะ” เจียงซื่ออารมณ์ดีอย่างออกนอกหน้า
นายท่านรองเจียงจ้องมองพ่อลูกที่เดินตามกันเข้าไปในเรือนฉือซินอย่างร่าเริงด้วยสายตาเย็นชา เขาสั่งให้เซียวมาหม่าพาตัวหลิวเซียนกูกลับไปที่เรือนรับรอง แล้วตัวเขาก็รีบตามไปทีหลัง
“นี่คือยาเม็ดรักษาดวงตาที่บรรพบุรุษของข้าน้อยสืบทอดกันมาหลายรุ่น เหล่าฮูหยินรับประทานเช้าเย็นครั้งละเม็ดติดต่อกันเจ็ดวัน ดวงตาของท่านก็จะดีขึ้นอย่างแน่นอนขอรับ” ในเรือนฉือซิน บุรุษวัยกลางคนมีเคราแพะบนใบหน้าหยิบไหกระเบื้องเคลือบสีขาวใบเล็กกว่าฝ่ามือออกมาพร้อมเอ่ยสรรพคุณ
อาฝูรับไหใบเล็กนั้นพร้อมพยักหน้า
“เหล่าฮูหยิน ท่านสามารถวางใจได้ หมอจางผู้นี้เป็นหมอรักษาโรคตาชื่อดังในแถบนี้ หากลูกรู้เร็วกว่านี้ก็คงรีบเชิญมาแต่แรกแล้วเจ้าค่ะ คงไม่ปล่อยให้แม่หมอนั่นมาหลอกลวงพวกเราอย่างแน่นอน” เซียวซื่อผู้เอ้อร์ไท่ไท่แสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความละอายใจ
เฝิงเหล่าฮูหยินพยักหน้าอย่างไม่สบอารมณ์
เรื่องที่น้ำมนตร์ของหลิวเซียนกูเคยทำคนตายมาแล้วจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่นั้น อย่างไรเสีย ก็ไม่ควรดื่มน้ำมนตร์นั้นเข้าไปอีกแน่ ส่วนหมอที่เชี่ยวชาญเรื่องการรักษาดวงตาจะเป็นอย่างไร ก็คงต้องลองดูสักหน่อย
“อาฝู เจ้าไปเทน้ำมาหน่อย เหล่าฮูหยินจะได้ทานยา” เซียวซื่อสั่งสาวรับใช้
“ช้าก่อน” เจียงซื่อเดินเข้ามา
เซียวซื่อขมวดคิ้วทันทีที่เห็นเจียงซื่อ
ในเวลาเช่นนี้ เด็กจอมก่อเรื่องนี่จะมาก่อเรื่องอันใดอีก
ขอเพียงเหล่าฮูหยินกินยาเม็ดรักษาดวงตานี่เข้าไป เรื่องของหลิวเซียนกูก็เป็นอันจบลงทันที
หากดวงตาของเหล่าฮูหยินดีขึ้น ก็จะบอกได้ว่าเป็นผลมาจากยาเม็ดรักษาดวงตา แต่หากอาการไม่ดีขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างใด เพราะการรักษาดวงตาที่มองไม่เห็นให้กลับมามองเห็นได้อีกครั้ง ถือเป็นเรื่องที่ยากมาก
เจียงซื่อเดินไปหยุดอยู่หน้าเฝิงเหล่าฮูหยินกล่าวว่า “ท่านย่า ข้าเกรงว่าท่านย่ายังไม่ควรทานยาเม็ดนี่เจ้าค่ะ”
“เพราะเหตุใดกัน” หลังจากเฝิงเหล่าฮูหยินเสียดวงตาไปแล้วข้างหนึ่ง นิสัยหุนหันพลันแล่นของเหล่าฮูหยินก็เปลี่ยนเป็นสงบเงียบใจเย็นมากขึ้น
“หลิวเซียนกูบอกไว้ว่า ดวงตาของท่านย่าจะดีขึ้นในสามวัน หากท่านกินยาเม็ดนี้เข้าไปแล้วฤทธิ์ยาตีกัน หลานเกรงว่าดีไม่ดีอาจส่งผลเสียต่อการฟื้นตัวของดวงตาท่านย่าก็เป็นได้”
“ซื่อเอ๋อร์ หลิวเซียนกูเป็นพวกลวงโลก ไม่ควรปล่อยให้สิ่งที่นางพูดเพียงประโยคเดียวมาขัดขวางการรักษาดวงตาของเหล่าฮูหยินนะ”
เจียงซื่อพลันหัวเราะขึ้นทันที “ท่านอาสะใภ้รอง ท่านเป็นคนเชิญหลิวเซียนกูมาเองมิใช่หรือเจ้าคะ”
เซียวซื่อชะงักไปชั่วครู่และตอบอย่างเก้อเขินว่า “ตอนนั้นข้าเพียงได้ยินแต่กิตติศัพท์ของหลิวเซียนกูเท่านั้น ข้าไม่รู้มาก่อนว่านางเคยรักษาคนจนตาย”
“ถ้าเช่นนั้น ท่านอาสะใภ้รองกล้ารับประกันว่าหมอจางผู้นี้ไม่มีประวัติด่างพร้อยอย่างนั้นสิ”
“มีที่ไหนกัน ในเมื่อคุณหนูพูดเช่นนี้แล้ว งั้นข้าน้อยขอตัวลา!”
“หมอจาง ช้าก่อน” เซียวซื่อรีบรั้งตัวเอาไว้ หันไปพูดด้วยใบหน้าเรียบเฉยว่า “คุณหนูสี่ หมอจางผู้นี้เป็นหมอเลื่องชื่อลือนาม…”
เจียงซื่อโต้ตอบอย่างไร้ความเกรงใจว่า “หลิวเซียนกูก็เป็นแม่หมอเลื่องชื่อลือนามเช่นเดียวกัน”
“หยุดเดี๋ยวนี้ ถ้าพวกเจ้าจะทะเลาะกันก็ออกไปให้หมด!”
เจียงซื่อรีบปรับท่าทีเป็นเด็กสาวเรียบร้อยดังเดิม “ท่านย่า ทั้งหลิวเซียนกูและหมอจางต่างเป็นคนที่ท่านอาสะใภ้รองเชิญมาทั้งสิ้น แม้ว่าตอนนี้หลิวเซียนกูจะถูกคนมาตามตัว แต่หลานกลับคิดว่าผู้ที่มีชื่อเสียงลือนาม ไม่ว่าจะเป็นหลิวเซียนกูหรือหมอจาง ก็ล้วนแต่เป็นผู้มีความสามารถมากกว่าคนทั่วไปเป็นแน่ ทางที่ดี ท่านย่าควรรออีกสักวัน หากวิชาของหลิวเซียนกูไม่เห็นผลจริง ถึงเวลานั้น ท่านจะทานยาของหมอจางก็ยังไม่สายเกินไป”
เฝิงเหล่าฮูหยินเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงพยักหน้า
เพียงแค่อีกวันเดียวเท่านั้น นางรอได้
เซียวซื่อบ่นปากขมุบขมิบอย่างหงุดหงิดรำคาญใจ
เจียงซื่อรู้จักพูดจาเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ถึงขั้นพูดโน้มน้าวจนเหล่าฮูหยินคล้อยตามได้! ยังดีที่นางให้พี่สะใภ้ใหญ่ไปสืบมาแล้วว่า ที่แท้ หลิวเซียนกูเป็นเพียงแม่หมอลวงโลก ต่อให้รออีกวัน นางก็ไม่เชื่อว่าจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น
ในวันที่สอง ทันทีที่เรื่องหลิวเซียนกูรักษาคนจนตายได้แพร่กระจายออกไปแล้วนั้น ตามโต๊ะพนันใหญ่ๆ ได้เพิ่มเดิมพันว่าตาของเหล่าฮูหยินจะรักษาหายดีเป็นอัตราต่อรองหนึ่งต่อสิบทันที
อาเฟยครุ่นคิดอย่างหนักพลางหยิบพวงเหรียญทองแดงออกมาสองสามพวง เขาลงเดิมพันฝั่งที่ตาของเฝิงเหล่าฮูหยินจะรักษาไม่หาย
นี่คือเงินทุนที่เก็บสะสมไว้ตบแต่งภรรยา ซึ่งใช้เวลาเก็บหอมรอบริบมาหลายปี แม้ว่าการนำมาวางเดิมพันเช่นนี้จะได้เงินกลับมาไม่มากนัก แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้หญิงนั่นนำเงินไปใช้จนขาดทุนย่อยยับ
ยามที่ดวงอาทิตย์กำลังจะตกดิน มีสายตานับไม่ถ้วนเฝ้าจับจ้องรออยู่ที่หน้าประตูจวนตงผิงปั๋วอย่างใจจดใจจ่อ
ฟ้าจะมืดแล้ว เหมาะแก่เวลาที่ต้องประกาศผลแล้วมิใช่หรือ