ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 65 ถึงจวนโหว
ตอนที่ 65 ถึงจวนโหว
“หากข้าเป็นผู้ชนะ ปรารถนาสิ่งใดก็บอกได้?” เจียงเพ่ยตาลุกวาวจนลืมเรื่องแพ้ไปเสียสนิท
พี่รองเป็นคนใส่ใจทุกอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง จะไล่น้องที่เชิญมากับมือกลับไปได้อย่างไร
จากการใคร่ครวญของเจียงเพ่ยแล้ว เรื่องนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ฉะนั้นจึงไม่ต้องสนใจว่าแพ้แล้วจะเป็นอย่างไร
“บอกมาได้เลย”
“ข้าอยากได้เครื่องประดับศีรษะทองคำฝังเม็ดทับทิมของพี่สี่!”
เจียงซื่อเห็นอาการของเจียงเพ่ยก็หลุดหัวเราะออกมาทันที
ที่แท้ก็แค่เด็กสาวคนหนึ่งเท่านั้น ในหัวไม่มีอะไรนอกจากเรื่องกินดื่มและเรื่องความสวยความงามอีกแล้ว
“นึกเสียดาย? พี่เพิ่งจะบอกว่าให้ข้าบอกได้เลยมิใช่หรือ…”
“ตกลง” เจียงซื่อพยักหน้าอย่างสบายใจ
เจียงเพ่ยเนื้อเต้นขึ้นมาทันที “อย่ากลับลำทีหลังแล้วกัน”
“ข้าไม่มีทางกลับลำ เจ้าล่ะ” เจียงซื่อถามพลางยิ้มกริ่ม
ถึงแม้จะเป็นน้องเล็ก อย่างไรเสียก็ควรจะถูกลงโทษโทษฐานที่พูดจาพล่อยๆ เสียบ้าง
ขนาดพี่ชายของนางอายุยังไม่ถึงสิบเจ็ดปีด้วยซ้ำ อารองและอาสะใภ้รองเคยใจอ่อนให้ที่ไหนกัน
ยิ่งไปกว่านั้นคือพี่รองก็เป็นผู้บริสุทธิ์ แต่กับเจียงเพ่ยเพราะนางปากเปราะเองแท้ๆ
“ข้าเองก็ไม่มีทางกลับลำแน่นอน” เจียงเพ่ยตอบอย่างไม่ลังเล
ทำไมต้องกลับลำด้วย นั่นคือเครื่องประดับศีรษะทองคำฝังเม็ดทับทิมเชียวนะ!
นางประจบสอพลอท่านแม่ใหญ่มาตั้งหลายปียังไม่เคยได้เครื่องประดับศีรษะงดงามเช่นนี้มาก่อน
เจียงเพ่ยยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นเต้นราวกับว่าได้เครื่องประดับศีรษะทองคำฝังเม็ดทับทิมนั้นมาครอบครองแล้ว
“น้องหก เจ้าอย่าพนันเลย…” เจียงลี่รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ถูกไม่ควรจึงพยายามโน้มน้าวอย่างอดไม่ได้
“พี่ไม่ต้องมายุ่ง!” เจียงเพ่ยกลอกตาใส่เจียงลี่
แม้ว่าพี่สาวขี้กังวลคนนี้จะโตกว่านาง แต่นางก็ไม่เคยเห็นหัวเลยสักครั้ง
“ถ้าเช่นนั้นก็เป็นอันตกลงตามนี้”
“หึๆ พี่สี่ก็เตรียมเครื่องประดับศีรษะนั้นไว้ให้พร้อมแล้วกัน ไม่ใช่ว่าถึงเวลาแล้วนึกเสียดายล่ะ” เจียงเพ่ยยื่นมือข้างหนึ่งออกมา
เจียงซื่อเบะปากก่อนจะยื่นมือข้างหนึ่งออกไปแปะมือเจียงเพ่ย
เสียงแปะมือดังขึ้นทำลายความอึดอัดภายในรถม้า
เจียงลี่ยกมุมม่านหน้าต่างขึ้นดูพลางเอ่ยแผ่วเบาว่า “ถึงจวนฉังซิงโหวแล้วนี่”
ไม่นานรถม้าก็จอดสนิท บรรดาสี่สาวพี่น้องก็พากันลงจากรถทีละคน
เจียงเชี่ยวอาศัยจังหวะนี้รั้งเจียงซื่อเอาไว้ และพูดเหน็บแนมว่า “ของเจ้ามีมากจนไม่มีที่วางแล้วงั้นหรือ”
“เปล่าหรอก ข้าเพียงแค่รู้สึกว่าบางคนก็ควรต้องล้างปากเสียบ้าง”
เจียงเชี่ยวคลายมือออก สายตาจับจ้องไปที่ใบหน้าด้านข้างที่สงบนิ่งของเจียงซื่อพลางคิดในใจว่า ยิ่งมองน้องสาวที่เด็กกว่านางเพียงไม่กี่เดือนผู้นี้ก็ยิ่งเหมือนไม่รู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ
“คุณหนูมาถึงกันแล้วหรือเจ้าคะ ซื่อจื่อฮูหยินสั่งให้บ่าวเป็นผู้ดูแลเจ้าค่ะ” ชิงอี สาวรับใช้นางหนึ่งยืนต้อนรับอยู่ที่หน้าประตูฉุยฮวา
เจียงเพ่ยที่เพิ่งจะแผลงฤทธิ์บนรถม้าเมื่อครู่รีบปรับท่าทีเรียบร้อย ก้มหน้าก้มตาอย่างสำรวมตามแบบฉบับบุตรสาวของตระกูลสูงศักดิ์ทันที
ชิงอีหันไปมองเจียงเพ่ยแวบหนึ่งด้วยความประหลาดใจ
ครั้นดูจากหน้าตาและท่าทางก็น่าจะเป็นน้องเล็กสุด แต่ทำไมมาเดินอยู่ข้างหน้าล่ะ
ตั้งแต่ลงจากรถม้ามา เจียงเพ่ยก็เริ่มวิตกกังวลเพราะเกรงว่าจะเผลอทำเรื่องขายหน้าจนชิงอีจับสังเกตอาการแปลกๆ นี้ได้ ชิงอีกวาดตามองไปข้างๆ จึงนึกขึ้นได้ทันใด
นางอยู่ใกล้ประตูรถม้าที่สุด หลังจากลงจากรถก็ตื่นกลัวจนลืมตัวกระมัง!
ใบหน้าของเจียงเพ่ยแดงระเรื่อขึ้นมาทันใด
คุณหนูห้าเจียงลี่จึงรีบคว้ามือของเจียงเพ่ยพลางเอ่ยขึ้นว่า “เกรงว่าพี่รองจะรอนาน น้องหกถึงได้ร้อนใจกว่าข้าเสียอีก”
เพียงประโยคเดียวก็ช่วยบรรเทาความพิพักพิพ่วนของเจียงเพ่ยไปจนหมดสิ้น
เจียงซื่อเหลือบมองไปที่เจียงลี่
น้องห้าเป็นคนพูดน้อยและสงบเสงี่ยมเจียมตัวมาตั้งแต่เล็ก ไม่ยักรู้มาก่อนเลยว่าจะเป็นคนมีไหวพริบดีเช่นนี้ น่าเสียดายที่ชาติที่แล้วไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของนาง นางแทบจะนึกไม่ออกเลยว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น
แผนผังของจวนตงผิงปั๋วและจวนฉังซิงโหวต่างกันไม่มาก เพียงแค่มีขนาดกว้างกว่า ห้องหับดูมีสง่าราศีมากกว่าซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่มีเพียงสวนดอกไม้เท่านั้นที่อลังการกว่าของจวนตงผิงปั๋ว
ในสวนดอกไม้ของจวนฉังซิงโหวมีภูเขาจำลองสูงประมาณสามชั้น บันไดทอดจากตีนเขาขึ้นไปยังศาลาด้านบน หากขึ้นไปนั่งในศาลาก็จะได้สัมผัสกับสายลมพัดเย็นสบาย ครั้นทอดสายตามองลองมาด้านล่างจะเห็นสวนที่เต็มไปด้วยดอกไม้บานสะพรั่ง
ภายในสวนรายล้อมไปด้วยพันธุ์ไม้สีเขียวชอุ่ม ส่วนที่โดดเด่นสะดุดตาคือบริเวณด้านฝั่งตะวันออกของมุมกำแพงเนื่องจากมีต้นโบตั๋นออกดอกบานสดสวย
บรรดาสี่พี่น้องเผลอมองไปยังพุ่มดอกโบตั๋นเหล่านั้น
ฤดูกาลนี้เป็นช่วงที่ดอกโบตั๋นจะบานเป็นช่วงสุดท้ายแล้ว แต่ดอกโบตั๋นที่พบได้ตามทั่วไปกลับไม่ดูสวยสดงดงามเช่นนี้ ฉะนั้นความงดงามของดอกโบตั๋นที่นี่จึงนับว่าหาได้ยากยิ่งนัก
เห็นได้ชัดว่าชิงอีภาคภูมิใจกับสวนดอกโบตั๋นเป็นอย่างมาก นางเดินนำเจียงซื่อและคนอื่นๆ พลางกล่าวแนะนำอย่างยิ้มแย้มว่า “คุณหนูทั้งหลายมาได้จังหวะพอดีเลยเจ้าค่ะ หากมาช้ากว่านี้หน่อยดอกโบตั๋นพวกนี้ก็คงจะหุบหมดแล้วเจ้าค่ะ”
ผ่านไปไม่นานชิงอีก็พาทั้งสี่คนเดินมาถึงเรือนของเจียงเชี่ยน
เมื่อเจียงเชี่ยนที่ยืนรออยู่ด้านนอกเรือนเห็นเจียงซื่อและคนอื่นๆ ก็ปรี่เข้ามาทักทายทันที “น้องๆ มาถึงกันแล้วหรือ”
สายตาของนางจับจ้องไปที่เจียงซื่ออยู่หลายครั้งหลายครา ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มอย่างมีความสุขราวกับได้ปลดเปลื้องความกังวลใจออกไปจนหมดสิ้น
“ให้พี่รองรอนานเสียแล้ว” เจียงเพ่ยเกาะแขนเจียงเชี่ยนด้วยท่าทีสนิทสนม
เจียงเชี่ยนเผลอขมวดคิ้วและรีบแกะมือนั้นออกทันที จากนั้นก็เดินนำน้องๆ เข้าไปในเรือน
เจียงเชี่ยนอาศัยอยู่ในเรือนซื่อจื่อ นอกจากห้องของทั้งคู่แล้วก็นับว่าที่นี่เป็นห้องที่กว้างขวางและโปร่งโล่งสบายที่สุด บรรยากาศภายในห้องถูกตบแต่งอย่างสวยงามและมีรสนิยม เห็นได้ชัดว่านายหญิงของเรือนนี้พิถีพิถันจัดแต่งห้องนี้อย่างดี
“พวกเจ้านั่งรถม้าโคลงเคลงมาตลอดทาง ดื่มชาก่อนเถิด อย่ามองว่าเรือนของพี่เป็นอื่นไกล คิดเสียว่าเป็นบ้านตัวเองแล้วกัน”
ความเป็นกันเองของเจียงเชี่ยนทำให้เจียงเพ่ยรู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น นางหันไปมองเจียงเชี่ยนด้วยดวงตาแดงก่ำเล็กน้อย “พี่รองซูบลงไปมากเลยเจ้าค่ะ”
เจียงเชี่ยนลดสายตาลงต่ำพร้อมกับใบหน้าอมทุกข์ เอ่ยตอบแผ่วเบาว่า “เพราะข้ากลุ้มใจเรื่องสุขภาพของท่านย่า บวกกับช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนขึ้น ข้าจึงไม่ค่อยอยากอาหารเท่าไหร่”
เจียงซื่อแอบส่ายหัว
เจียงเพ่ยยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจสีหน้าของเจียงเชี่ยน ต่อให้เจียงเชี่ยนมีเรื่องหนักใจเพียงใด นางก็ไม่ต้องการให้น้องสาวที่เกิดจากอนุภรรยาของบิดารับรู้เรื่องนี้
เจียงเพ่ยที่ถูกบอกปัดไปแบบนั้นก็สงบปากสงบลงคำทันที
ในบรรดาหญิงสาวทั้งหมด เจียงเพ่ยชอบพูดจาเรื่อยเปื่อยมากที่สุด ส่วนเจียงลี่เป็นคนสงบเสงี่ยม แต่ระหว่างเจียงซื่อและเจียงเชี่ยนเหมือนมีเรื่องบางอย่าง ครั้นเมื่อเจียงเพ่ยหยุดพูด บรรยากาศในห้องก็เริ่มกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที
เจียงเชี่ยนรู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาจะมาวางท่า นางต้องพยายามทำให้บรรยากาศดีขึ้น เจียงซื่อเอ่ยเสียงเบาว่า “พี่รองสั่งให้สาวรับใช้ออกไปก่อนได้หรือไม่ ข้ามีเรื่องจะพูด”
เจียงเชี่ยนรู้สึกแปลกใจ แต่ก็รีบสั่งให้บรรดาสาวรับใช้ออกไปทันที นางถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “น้องสี่อยากพูดอะไรหรือ”
เจียงซื่อเหลือบมองเจียงเพ่ยแวบหนึ่งก่อนเอ่ยโพล่งออกไปว่า “มาอยู่ที่จวนโหวคราวนี้ ข้าไม่ต้องการเสวนากับน้องหก พี่รองให้นางกลับไปเถิด”
คราวนี้เจียงเชี่ยนแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาอย่างชัดเจน รีบหันไปถามเจียงเพ่ยว่า “น้องสี่กับน้องหกมีเรื่องกระทบกระทั่งอะไรกันหรือ”
เจียงซื่อนี่ร้ายกาจเสียจริง คราวก่อนก็เล่นงานนาง มาคราวนี้ก็มีเรื่องกับน้องหก ต้องการทำให้พี่น้องแตกคอกันหรือถึงจะพอใจ
เจียงเพ่ยถึงกับตะลึงอ้าปากค้าง
นางเผลอคิดไปว่าเจียงซื่อคงจะใช้วาทศิลป์พูดให้พี่รองไล่นางกลับไป นึกไม่ถึงว่านางจะพูดออกมาโต้งๆ เช่นนี้!
แม่เจ้า เจียงซื่อเสียสติไปแล้วหรือไง หรือว่าพี่รองต่างหากที่จะเสียสติ
เจียงเชี่ยนลูบหน้าผากตัวเอง
เมื่อก่อนเคยคิดว่าน้องสี่เป็นพวกทะนงตน ไม่คิดมาก่อนว่านางจะเขลาได้ถึงเพียงนี้
“น้องสี่ หากมีเรื่องกระทบกระทั่งใดๆ ก็บอกพี่มาเถิด อย่างไรเสียก็พี่น้องบ้านเดียวกัน…”
เจียงซื่อวางแก้วชาลงบนโต๊ะ ลุกขึ้นพลางประกาศกร้าวว่า “ถ้าน้องหกไม่ไป ข้าไปเอง”
เมื่อเห็นว่าเจียงซื่อเดินออกไปอย่างไม่ลังเล เจียงเชี่ยนก็เริ่มอยู่ไม่สุขจึงรีบเอ่ยว่า “น้องสี่ช้าก่อน ข้าจะให้คนพาน้องหกกลับไปเอง”