ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 70 ตามหาความจริงในสวน
ตอนที่ 70 ตามหาความจริงในสวน
เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่เจียงเชี่ยวพยายามอยู่นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ นางที่ลุกขึ้นนั่งไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา มีเพียงเสียงหายใจหอบถี่รัวราวกับว่าจะหมดลมอยู่รอมร่อ
เจียงซื่อนึกพรั่นใจ
มาถึงตอนนี้นางก็แน่ใจได้แล้วว่า เจียงเชี่ยวรู้สึกตัวตั้งนานแล้ว!
เจียงเชี่ยวในสภาพนี้ยืนยันได้ว่านางรู้อยู่แล้วว่าฉังซิงโหวซื่อจื่อจะเข้ามา
เจียงซื่อรีบหลับตาทันควันและฟังเสียงสะอึกสะอื้นอยู่เงียบๆ
นางรำพึงในใจ เจียงเชี่ยวคงตกใจน่าดู
ความจริงก็ต้องนับว่าเจียงเชี่ยวรับมือได้ดีมากแล้ว ดึกดื่นป่านนี้มีผู้ชายบุกรุกเข้ามาในห้องส่วนตัว หากเป็นสตรีนางอื่นก็คงจะกรีดร้องออกมาอย่างช่วยไม่ได้
เสียงร้องสะอึกสะอื้นแผ่วเบา หากเจียงซื่อไม่ได้ตื่นอยู่ก็อาจไม่ได้ยินเสียงนั้น
ผ่านไปครู่หนึ่งเสียงร้องไห้นั้นก็หยุดลง เจียงซื่อรับรู้ได้ว่าเจียงเชี่ยวพลิกตัวหันมาพลางจ้องมองมาที่นาง
ในชั่วอึดใจนั้น เจียงซื่อลังเลว่าควรทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นแกล้งหลับต่อไปหรือควรเปิดใจกับเจียงเชี่ยว
ในขณะที่เจียงซื่อยังเลือกไม่ได้ เจียงเชี่ยวก็เอ่ยเสียงเบาขึ้นว่า “น้องสี่ ฉังซิงโหวซื่อจื่อหมายตาเจ้าอย่างที่ข้าคิดไว้จริงด้วย!”
เมื่อได้ยินประโยคนั้น เจียงซื่อก็ลืมตาขึ้นทันที
เจียงเชี่ยวสะดุ้งพลันจ้องมองไปที่เจียงซื่อ
เจียงซื่อรีบลุกขึ้นนั่ง
สักพักเจียงเชี่ยวที่เพิ่งรวบรวมสติได้ก็กระซิบถามว่า “น้องสี่ ทำไมจู่ๆ ถึงตื่นขึ้นมาล่ะ”
แสงจันทร์สลัวที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างทำให้เจียงซื่อมองเห็นใบหน้าซีดเผือดของหญิงสาวในระยะประชิดได้อย่างชัดเจน
เจียงเชี่ยวยกมือขึ้นโดยไม่รู้ตัวเนื่องจากยังคงตกใจไม่หาย
ในมือเจียงเชี่ยวที่สั่นระริกกำลังกำปิ่นทองเอาไว้แน่น เห็นได้ชัดว่ายังคงผวาเรื่องฉังซิงโหวซื่อจื่อไม่หาย
แม้ว่าจะกลัวจับใจ แต่เจียงเชี่ยวก็พยายามข่มกลั้นอาการสั่นเทาของร่างกายเอาไว้ เพราะเกรงว่าจะทำให้เจียงซื่อหวาดกลัวไปด้วย
“พี่สาม ข้าตื่นนานแล้ว” เจียงซื่อที่แม้ยังคงว้าวุ่นแต่ก็ไม่คิดจะปล่อยให้เจียงเชี่ยวต้องเดาเองอีกต่อไป
นางไม่อาจทำทุกสิ่งได้ด้วยตัวเอง แต่อย่างน้อยที่พอจะทำได้คือแสดงความจริงใจออกมา
เมื่อได้ยินเจียงซื่อตอบดังนั้น เจียงเชี่ยวก็คลายปิ่นทองในมือ พลางคว้าตัวเจียงซื่อเข้ามากอดฉับพลัน ทั้งตัวสั่นเทิ้มเฉกเช่นใบไม้แห้งที่ถูกลมในฤดูใบไม้ร่วงพัดจนร่วงหลุดจากกิ่ง “น้องสี่ ฉังซิงโหวซื่อจื่อเป็นพวกสัตว์เดรัจฉาน!”
เจียงซื่อไม่ได้ตอบเพียงแต่ถามกลับว่า “พี่สามรู้เรื่องนี้มานานแล้วหรือ”
เจียงเชี่ยวปล่อยมือจากเจียงซื่อ ปาดน้ำตาและพยักหน้าตอบว่า “ข้าเองก็ไม่แน่ใจนัก แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ ทีแรกตอนที่พวกเรากำลังกินอาหารอยู่ในห้องบุปผา ฉังซิงโหวซื่อจื่อก็เดินเข้ามาเพราะพี่รองลืมให้คนไปแจ้งว่าพวกเรามาถึงแล้ว ตอนนั้นข้าก็รู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล พี่รองเป็นคนอย่างไรต่างก็รู้ดี น้องทั้งสี่มาที่จวนทั้งที ไม่น่าจะสะเพร่าเช่นนี้”
เจียงซื่อตกใจเล็กน้อย
ไม่คิดมาก่อนว่าพี่สามจะสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลในตอนนั้นได้ ช่างต่างจากพี่สามที่เห็นในยามปกติโดยสิ้นเชิง
ตั้งแต่ชาติก่อนจนถึงตอนนี้ เจียงเชี่ยวก็ยังเป็นพวกปากร้ายแต่ใจดี หรือจะให้พูดรวมๆ แล้วนางเป็นพวกไม่มีพิษมีภัย
ความจริงแล้วนางเองก็ยังรู้จักเจียงเชี่ยวไม่ดีพอ
“อีกครั้งก็ตอนที่อยู่ในสวนดอกไม้ แม้ว่าอาจดูเหมือนว่าฉังซิงโหวซื่อจื่อจะบังเอิญเดินมาเจอพวกเรา เขาเพียงแต่เอ่ยทักทายเท่านั้น ไม่ได้เฉียดเข้ามาใกล้เลยแม้แต่น้อย ดูรักษามารยาทผิดปกติ…” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เจียงเชี่ยวก็หัวเราะออกมาอย่างเย้ยหยันว่า “ดอกโบตั๋นของจวนฉังซิงโหวดึงดูดสายตาผู้คนปานนั้น หากเขารักษามารยาทจริง เจ้าของจวนโหวจะไม่ทราบเลยหรือว่าแขกคงกำลังชมบุปผาอยู่เป็นแน่ แต่เขาก็ยังมาปรากฏตัวในสวน ตอนนั้นข้าเลยมั่นใจว่าเขาจงใจ…”
“ที่พี่สามดึงดันจะนอนกับข้าให้ได้ก็เพื่อจะปกป้องข้า?” เจียงซื่อถามเสียงเบา
เจียงเชี่ยวหน้าแดง พลางตอบอย่างกระดากอายว่า “น้องสี่เกิดมาหน้าตาสะสวย ข้าคิดว่าถ้าฉังซิงโหวซื่อจื่อที่คิดไม่ดีกับเจ้าเห็นว่าพวกเราอยู่ด้วยกันก็จะยอมปล่อยผ่านไป แต่ใครจะรู้ว่าเดรัจฉานก็ยังคงเป็นเดรัจฉานอยู่วันยังค่ำ เขาถึงกล้า…”
เมื่อพูดถึงท่อนนี้ เจียงเชี่ยวก็ทนพูดต่อไปไม่ไหว ความกลัวทำให้ตัวของนางสั่นเล็กน้อย
“น้องสี่ พรุ่งนี้พวกเรากลับจวนกันเถอะ!” เจียงเชี่ยวคว้ามือเจียงซื่อมากุม
เจียงซื่อถอนหายใจ “พี่รองคงพยายามทำทุกวิถีทางรั้งให้ข้าอยู่ต่อ”
“นางจะห้ามให้คนไม่ไปได้จริงหรือ” เจียงเชี่ยวพูดจบก็ชะงักไปราวกับคิดบางอย่างขึ้นมาได้ สีหน้าของเจียงเชี่ยวแปลเปลี่ยนฉับพลัน ริมฝีปากเริ่มสั่นระรัว “น้อง…น้องสี่ พี่รองนาง…”
จะเป็นอย่างที่นางคิดหรือเปล่านะ หากเป็นจริงก็น่ากลัวและต่ำช้าสิ้นดี
เจียงเชี่ยวไม่กล้าคิดต่อ เอามือของตัวเองมากุมไว้บนหัวใจที่สั่นอย่างบ้าคลั่ง
เจียงซื่อยังคงสงบนิ่งราวกับสายน้ำ “พี่รองส่งเทียบเชิญมาให้ข้าด้วยความบริสุทธิ์ใจ”
เจียงเชี่ยวผงะอีกครั้ง มองเจียงซื่ออย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง “น้องสี่ เจ้ารู้มาตั้งนานแล้วงั้นหรือ”
เมื่อเห็นเจียงซื่อพยักหน้าช้าๆ เจียงเชี่ยวจึงยกมือขึ้นปรามพลางเอ่ยอย่างท้อใจว่า “นี่เจ้าโง่หรือเปล่า รู้ทั้งรู้ยังจะมาที่นี่อีก นี่มันหาเรื่องใส่ตัวชัดๆ”
เจียงซื่อก้มหน้าไร้เสียงตอบ
นางไม่มีอะไรจะแก้ตัว
ในสายตาคนอื่นคงเป็นการหาเรื่องใส่ตัว แต่สำหรับนางแล้ว การเข้าถ้ำเสือคราวนี้นางจะพลาดไม่ได้
สิ่งที่ฉังซิงโหวซื่อจื่อเป็นกังวลในตอนนี้คือนางยังไม่ได้ออกเรือน เขาถึงได้ทนรอต่อไป แต่ถ้าหลังจากนี้ล่ะ จะไปฝากความหวังว่าอีกฝ่ายจะใจดีและยอมปล่อยนางไปงั้นหรือ
แทนที่จะคอยรอความช่วยเหลือ สู้นางเลือกลงมือถลอกหนังสัตว์ร้ายตัวนั้นก่อนยังดีเสียกว่า
“ไม่เข้าใจเลยว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่” เจียงเชี่ยวจิ้มนิ้วลงบนหน้าผากของเจียงซื่อพลางเอ่ยอย่างงุ่นง่าน
“พี่สามไม่ต้องกังวล เพราะข้ารู้ดีว่าพวกโจรจะผ่านไปนับพันวันก็ยังเป็นโจรได้ แต่จะให้เราป้องกันโจรทั้งพันวันนั้นเป็นไปไม่ได้หรอก ข้าจึงต้องรีบลงมือหาความจริงให้ได้เสียก่อน”
“แต่คนที่จะเสียเปรียบก็คือเจ้า!”
เจียงซื่อยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “พี่รองเป็นคนเชิญพวกเรามาเอง อย่างน้อยตอนนี้นางคงไม่กล้าทำให้ข้าเสียหายหรอกกระมัง”
“เช่นนั้นเจ้าวางแผนจะทำอะไร คืนนี้ไอ้เดรัจฉานตัวนั้นยังกล้าโผล่เข้ามาในห้อง คืนพรุ่งนี้คงกล้าทำมากกว่านี้ ถึงเวลานั้นต่อให้มันทำอะไร เจ้าคงได้เพียงกล้ำกลืนฝืนทน หรือเจ้าคิดจะกรีดร้องออกมา?” เจียงเชี่ยวบีบมือเจียงซื่อ “น้องสี่ พรุ่งนี้พวกเราจะไปจากที่นี่ ตกลงไหม”
เจียงซื่อพลันส่ายหัว “ไม่ได้”
เจียงเชี่ยนและสามีไม่ได้ใส่ใจเจียงเชี่ยวอยู่แล้ว หากวันรุ่งขึ้นเจียงเชี่ยวเอะอะร้องจะกลับจวนให้ได้ พวกเขาก็คงสงสัยว่าเจียงเชี่ยวต้องบังเอิญรู้อะไรมาแน่ๆ เนื่องจากคืนนี้ที่ฉังซิงโหวมาปรากฏตัว พวกนางอยู่ด้วยกัน
หากเป็นเช่นนั้น เจียงเชี่ยวก็เสี่ยงถูกฆ่าปิดปากน่ะสิ
นางเอาตัวรอดได้ แต่สำหรับเจียงเชี่ยวที่แม้จะเป็นคนละเอียดรอบคอบ แต่ก็เป็นเพียงหญิงสาวแสนบอบบางเท่านั้น การที่นางตัดสินใจก้าวเข้ามาในจวนฉังซิงโหวนั้นเพราะคิดว่าจะสามารถแก้ไขความยุ่งยากทั้งหมดได้ โดยไม่รู้เลยว่ายังมีเรื่องเลวร้ายรออยู่อีกมาก
“แล้วเจ้าคิดจะทำอะไร” เจียงเชี่ยวร้อนใจ
“พี่สาม ให้เวลาข้าหน่อยนะ ข้าต้องกำจัดเขาให้ได้”
“เจ้าอย่าคิดจะทำอะไรโง่ๆ นะ!”
เจียงซื่อเผยยิ้มอย่างสุขุม “พี่สามวางใจได้ ข้าไม่ทำเรื่องเกี่ยวแฝกมุงป่าหรอกนะ ดึกมาแล้ว นอนกันเถอะ”
หนังตาของเจียงเชี่ยวเริ่มหนักอึ้ง นางเอ่ยตอบงึมงำและไม่นานก็หลับไป
เจียงซื่อจ้องมองเจียงเชี่ยวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลงจากเตียงเดินอ้อมไปใส่รองเท้าปัก จากนั้นก็เดินออกไปจากห้อง
เจียงซื่อย่องเท้าแผ่วเบาผ่านสาวรับใช้ที่นอนอยู่นอกห้อง ฝุ่นผงที่นางใช้นิ้วดีดปลิวลอยหายไปกับความมืด
ประตูเย่ว์ต้งจากเรือนซื่อจื่อสามารถเดินทะลุไปถึงด้านหลังสวนดอกไม้ได้ เจียงซื่อค่อยๆ ย่องเท้าเดินไปจนมาถึงหน้าแปลงดอกโบตั๋นที่อยู่กลางสวนดอกไม้