ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 71 ปัญหาใหม่
ตอนที่ 71 ปัญหาใหม่
ดวงจันทร์ลอยเด่นอยู่กลางนภา แสงจันทราส่องสะท้อนสีขาวนวล
กลีบดอกโบตั๋นเกาะกลุ่มซ้อนเป็นชั้นราวกับหญิงสาวบริสุทธิ์ที่แต่งองค์ครบเครื่องในช่วงกลางวัน แต่ชั่วยามนี้กลับนอนสลบไสลภายใต้เรือนร่างไร้อาภรณ์
เจียงซื่อสูดจมูกเบาๆ พลางทำหน้าเบ้เหยเกทันที
เจียงซื่อไม่รอช้า นางเดินไปหยิบพลั่วที่ข้างกำแพงซึ่งไม่รู้ว่าคนสวนจอมเกียจคร้านแอบโยนทิ้งเอาไว้ตรงนี้มานานแค่ไหนแล้ว จากนั้นนางก็ค่อยๆ เดินวนรอบพุ่มดอกโบตั๋นนั้น
นางพยายามหาว่าจุดไหนมีกลิ่นเหม็นเน่าโชยออกมามากที่สุด
และไม่นานเจียงซื่อก็หยุดเท้า พลางนั่งยองลงจ้องดูพื้นที่บริเวณนั้นโดยอาศัยแสงจากดวงจันทร์
ดินบริเวณนั้นดูนุ่มกว่าบริเวณอื่น ซึ่งดูเหมือนว่าเพิ่งถูกนำมากลบตรงนี้ได้ไม่นาน
เจียงซื่อกำพลั่วในมือแน่น
แม้จะรู้อยู่ลึกๆ ว่าใต้พุ่มดอกโบตั๋นนี้มีอะไร แต่ครั้นจะบอกว่าไม่รู้สึกกลัวก็เป็นการพูดโกหก
แต่อย่างไรก็ต้องเห็นด้วยตาตัวเองก่อนนางถึงจะวางใจได้
เจียงซื่อใช้พลั่วขุดลงไป และใช้มืออีกข้างโกยดินขึ้นมา
เนื่องจากไม่ได้จุดไฟจึงต้องอาศัยแสงจากดวงจันทร์ในการแยกแยะสีของดิน เจียงซื่อกัดฟันพลางใช้พลั่วตักดินครั้งแล้วครั้งเล่า กลิ่นเหม็นที่พุ่งเข้ามาที่จมูกรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
กองดินทั้งสองด้านเทินสูงขึ้น ครั้นใช้พลั่วขุดลงไปอีกครั้งก็รู้สึกได้ว่าปลายพลั่วสัมผัสเข้ากับอะไรบางอย่าง
ใจของนางเต้นรัวจึงรีบก้มลงไปมองสิ่งที่อยู่ในหลุม
ในหลุมดินสีเข้มมีเงาของอะไรบางอย่าง แต่นางยังดูไม่ออกว่าสิ่งนั้นคืออะไร
เจียงซื่อพยายามควบคุมสติ เพ่งมองสิ่งนั้นอีกครั้ง และในที่สุดนางก็รู้ว่ามันคืออะไร
มันคือมือข้างหนึ่ง!
เจียงซื่อตกใจพลันก้าวถอยไป ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนมีฟ้าผ่าลงที่กลางอก
นางมั่นใจว่าสิ่งนั้นเป็นมือของมนุษย์ สิ่งที่ถูกฝังอยู่ใต้แปลงดอกโบตั๋นที่บานสวยสะดุดตาไม่ใช่ซากหมาแมว แต่เป็นร่างของมนุษย์!
แต่แค่นั้นยังไม่เพียงพอ
นี่คือสวนดอกไม้ของจวนฉังซิงโหว ต่อให้มีคนเจอซากศพนี้ แต่จวนฉังซิงโหวต้องหาแพะมารับบาปแทนเป็นแน่
แล้วใครจะบอกได้ว่าเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายใต้แปลงดอกโบตั๋นนี้ถูกฉังซิงโหวซื่อจื่อฆ่าตาย
ตราบใดที่จวนฉังซิงโหวยืนยันว่าเป็นฝีมือของข้ารับใช้ในจวน อีกทั้งยังมีวิธีอีกร้อยแปดพันเก้าให้ฉังซิงโหวซื่อจื่อพ้นผิด ถึงเวลานั้นอย่างมากจวนฉังซิงโหวก็คงถูกตำหนิที่ดูแลคนของจวนไม่ดีพอเท่านั้น
ฉะนั้นตอนนี้จะยังแหวกหญ้าให้งูตื่นไม่ได้!
ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัวของเจียงซื่อ นางพยายามข่มกลั้นความสะอิดสะเอียนนั้นแล้วใช้พลั่วกลบดินลงไปเหมือนเดิม
ดวงจันทร์ที่สว่างไสวเคลื่อนตัวไปซ่อนอยู่หลังก้อนเมฆทำให้บรรยากาศโดยรอบมืดครึ้มยิ่งกว่าเก่า
ทันทีที่ดินบนพลั่วกองสุดท้ายถูกเทกลบลงไป จู่ๆ เจียงซื่อก็ตัวแข็งทื่อขึ้นทันที
นางได้กลิ่นเลือดสดๆ!
แม้ว่าในขณะนั้นจะไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดๆ แต่ก็ไม่มีกลิ่นใดสามารถเล็ดลอดไปจากจมูกของนางได้
และยิ่งไปกว่านั้นคือกลิ่นฉุนคาวเลือดนั้นดูเหมือนจะค่อยๆ ชัดขึ้นเรื่อยๆ เสียด้วย ราวกับว่ามันขยับเข้ามาใกล้นางทีละนิดๆ
เจียงซื่อที่กำพลั่วในมือแน่นรีบย่อตัวลงทันที นางพยายามทำตัวลีบเล็กหลบหลังพุ่มดอกโบตั๋นอย่างสุดความสามารถ พลางสอดส่องสายตาลอดกิ่งไม้ไปยังทิศที่กลิ่นนั้นโชยมา
แล้วนางก็เบิกตากว้างขึ้นทันใด
มีคนมา!
มีคนสองคนกำลังช่วยกันหามบางสิ่งมุ่งหน้ามาทางที่นางซ่อนตัวอยู่
ทันใดนั้นเองดวงจันทร์ก็ค่อยๆ ลอยเคลื่อนออกมาจากกลุ่มเมฆนั้นทำให้เจียงซื่อสามารถมองเห็นได้ว่าเด็กหนุ่มสองคนนั้นแต่งกายเหมือนกับบ่าวรับใช้ในจวน
พวกเขากำลังหาม…
เจียงซื่อจ้องเขม็งไปที่วัตถุที่ถูกวางราบระหว่างเด็กหนุ่มทั้งสอง จากกลิ่นฉุนคาวเลือดที่พุ่งตรงไปทุกโสตประสาทรับกลิ่นของนางทำให้นางมั่นใจได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร
ในผ้าปูนั้นคือศพคนแน่ๆ!
ในช่วงเวลาเช่นนี้ สถานที่แห่งนี้ รวมทั้งกลิ่นคาวเลือดลักษณะนี้ นางไม่มีทางไร้เดียงสาถึงขั้นคิดว่าสิ่งที่อยู่ในห่อผ้าคือคนเป็นๆ
พวกเขากำลังเอาศพมาฝังงั้นหรือ
เจียงซื่อดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว พลางจ้องตาไม่กะพริบไปที่บ่าวรับใช้ทั้งสองที่เดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ แม้จะตกตะลึงไปชั่วขณะแต่ก็ไม่ได้เผยท่าทีลนลานออกมา
ปกติแล้วแค่เด็กหนุ่มรับใช้สองคน หากเกิดเรื่องคับขันจริงๆ นางน่าจะรับมือได้
แต่แน่นอนว่านางในสภาพนี้ไม่ควรถูกจับได้จะเป็นการดีที่สุด
บ่าวรับใช้ทั้งสองเข้ามาใกล้ขึ้น เจียงซื่อพยายามรวบรวมสติ หัวใจที่เต้นรัวเมื่อครู่ก็เริ่มกลับสู่สภาวะปกติ
ในอันตรายมักมีโอกาสซ่อนอยู่ จริงอยู่ที่การปรากฏตัวของทั้งสองจะทำให้นางตกอยู่ในอันตราย แต่มันก็ทำให้นางได้รู้อะไรมากขึ้น
บ่าวรับใช้ทั้งสองหยุดยืนห่างจากพุ่มดอกโบตั๋นออกไปไม่ไกล พวกเขาวางศพลงที่พื้น หนึ่งในนั้นเอ่ยเสียงเบาว่า “ลงมือเถอะ รีบทำให้เสร็จจะได้รีบกลับ”
อีกคนพึมพำขึ้นว่า “ข้าคิดว่าเด็กสาวนี่จะอยู่ได้นานกว่านี้ ใครจะไปคิดว่ามาวันนี้จะถูกซื่อจื่อทรมานจนตาย ช่างโชคร้ายเสียจริง วันนี้ข้าอุตส่าห์รีบเข้านอนแท้ๆ…”
เจียงซื่อลอบมองบ่าวรับใช้ทั้งสองผ่านซอกกิ่งไม้เล็กๆ ทั้งคู่สวมผ้าคลุมปิดหน้าเอาไว้จึงไม่เห็นว่ายามพูดพวกเขามีสีหน้าตึงเครียดอย่างไร
มีลมเย็นเยียบพุ่งขึ้นมาจากขั้วหัวใจของเจียงซื่อ
เท้าของบ่าวรับใช้ทั้งสองมีผ้าคลุมห่อหุ้มอยู่เพื่อจะช่วยลดเสียงยามเคลื่อนไหว อาการของทั้งคู่ดูไม่ตื่นกลัว นั่นหมายความว่าทั้งสองคงคุ้นเคยกับการออกมาฝังศพกลางดึกเช่นนี้อยู่แล้ว
และความคุ้นเคยนี้สะท้อนว่ามีศพอีกตั้งไม่รู้เท่าไหร่ที่ถูกฝังเอาไว้
“บ่นให้มันน้อยๆ หน่อย ซื่อจื่อออกไปช่วงกลางดึกและกลับมาพร้อมกับสีหน้าไม่สบอารมณ์อย่างมาก คงมีเรื่องอะไรไม่สบายใจจึงได้เรียกนางเข้าไป ถ้าจะโทษก็โทษที่นางอายุสั้นถึงต้องมาตายเอาวันนี้”
“พี่ลู่จื่อ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าทำไมข้าถึงรู้สึกตะขิดตะขวงใจเช่นนี้ พี่ว่าพวกเราทำเรื่องแบบนี้มากๆ เข้าจะต้องชดใช้กรรมรึเปล่า”
เจียงซื่อที่หลบอยู่หลังพุ่มไม้กัดริมฝีปากพลางยิ้มเยาะ
ข้ารับประกันว่าพวกเจ้าจะต้องชดใช้กรรมนั้นแน่!
ตอนนี้ไม่ต้องเดาก็รู้ได้ว่าหลังจากออกจากห้องไป ฉังซิงโหวซื่อจื่อเอาความอัดอั้นเหล่านั้นไประบายลงที่เด็กสาวที่นอนตายอยู่ตรงนั้น
“ชดใช้กรรม? เจ้าเชื่ออะไรพวกนี้ด้วยเหรอ ตลอดสองปีที่ผ่านมาพวกเราฝังศพตามคำสั่งซื่อจื่อแม้จะไม่ถึงสิบ แต่อย่างน้อยก็ต้องมีสักแปดหรือเก้า เจ้าเคยเห็นวิญญาณผีตัวไหนตามมาเอาชีวิตไหมล่ะ” บ่าวรับใช้อีกคนพูดเชิงไม่เห็นด้วย “อีกอย่าง คนที่ลงมือฆ่าก็คือซื่อจื่อ พวกเราแค่ช่วยฝังศพให้พวกนางได้ตายอย่างสงบเท่านั้น จะว่าไปแล้วพวกเรากำลังทำความดีต่างหาก ทำไมต้องมาชดใช้กรรมด้วย”
มีอีกประโยคหนึ่งที่บ่าวคนนั้นไม่ได้พูดออกมาคือ ถ้าจะต้องชดใช้กรรมจริงๆ คนที่ต้องรับผิดชอบก็คือซื่อจื่อ
ยิ่งเจียงซื่อได้ฟังสีหน้าของนางก็ยิ่งแย่ลง
การที่นางตัดสินใจจัดการลงมือเดรัจฉานตัวนี้แต่แรกเป็นความคิดที่ถูกต้องแล้ว มิฉะนั้นก็ไม่รู้ว่าจะมีสตรีอีกกี่นางที่ต้องประสบกับเคราะห์ร้ายเช่นนี้
“ว่าไปแล้วก็จริง เอาเถอะ ทำงานต่อเถอะ” บ่าวรับใช้ที่แสดงความกังวลก่อนหน้านี้เดินมุ่งหน้ามาทางเจียงซื่อ
เจียงซื่อหมุนกำไลทองอย่างเบามือ ในหัวรีบประมวลผลว่าจะใช้ยาอะไรมาจัดการกับเด็กหนุ่มทั้งสอง
ทันใดนั้นเด็กหนุ่มที่ชื่อลู่จื่อก็ตะโกนขึ้นว่า “ไปตรงอื่น ที่ตรงนี้เพิ่งฝังไปก่อนหน้านี้ไม่นาน จริงสิ ได้ยินมาว่าเด็กสาวคนนั้นน่ะบ้านนางขายเต้าหู้ล่ะ”
บ่าวรับใช้อีกคนถอนหายใจ “จริงๆ แล้วเด็กนั่นก็น่าสงสารอยู่หรอก ข้าเคยเห็นนางตามแม่นางไปขายเต้าหู้…”
ลู่จื่อแสร้งหัวเราะ “หากนางไม่ไปเตะตาซื่อจื่อเข้าก็คงไม่ต้องมาอยู่ตรงนี้ แต่เอ๊ะอานจื่อ วันนี้เจ้าเป็นอะไรของเจ้า อ่อนไหวเป็นบ้าเลย”
“เอ่อก็ จื่ออิงดีกับข้าแล้วน่ะสิ”
“หึ ได้ลิ้มรสหญิงสาวมาล่ะสิ เจ้าถึงดูใจอ่อนขนาดนี้ แต่หากเจ้ายังมัวอ้อยอิ่งอยู่ ฟ้าก็จะสว่างแล้วนะ”
“ทำงาน ทำงาน”
ทั้งสองวางศพในห่อผ้าไว้ที่พื้น และเดินไปมุมหนึ่งของกำแพง
“เฮ้ย พลั่วหายไปไหนอันหนึ่ง”