ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 720 สองจิตสองใจ
จิ่งหมิงฮ่องเต้อยากคิดอีกที ฮองเฮารู้ดีจึงไม่ตรัสอะไรออกมาอีก
หากทำเกินงามจะไม่เหมาะสมเอา
ถึงแม้นางจะพูดออกไปอย่างนิ่มนวล แต่ก็นับว่าเป็นการแสดงออกอย่างชัดเจน ฝ่าบาทไม่มีทางที่จะไม่เข้าใจ อีกอย่างหากพูดต่อไปอาจจะต้องเปิดเผยความในใจออกไปแล้ว แต่ช่วงที่ฝ่าบาทยังตัดสินใจไม่ได้การเปิดเผยไม่ใช่วิธีที่ฉลาดมากนัก
ฮองเฮาตัดสินใจที่จะรอดู
การรับองค์ชายมาอุปถัมภ์เป็นบุตรเรื่องใหญ่ขนาดนี้ หากฝ่าบาทตัดสินใจได้ก็ต้องบอกนางอยู่แล้ว ถ้าหากฝ่าบาทเลือกเยี่ยนอ๋องแน่นอนว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก แต่ถ้าหากว่าเลือกเซียงอ๋อง…ถึงเวลานางคงทำได้เพียงต่อต้าน
ครั้งนี้ฮองเฮาเป็นคนที่เดินออกไปจากตำหนักหย่างซินด้วยความรู้สึกกังวลอย่างพูดไม่ออกบอกไม่ถูก
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยืนอยู่ที่มุมหนึ่ง ท่าทางหมดอาลัยตายอยาก
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร จิ่งหมิงฮ่องเต้ตรัส “พานไห่ ออกไปเดินเล่นกับข้าหน่อย”
พานไห่ขานตอบ รีบเดินตามไป
แสงแดดภายนอกตำหนักกำลังดี ทว่ากลับไม่สามารถทำให้จิ่งหมิงฮ่องเต้สบายใจลงได้เลย
จิ่งหมิงฮ่องเต้เดินเข้ามาลึกถึงวังหลังโดยไม่รู้ตัว เจอเข้ากับฝูชิงและองค์หญิงสิบสี่ที่ออกมาจากเรือนฉือซิน
“ถวายบังคมเพคะเสด็จพ่อ” องค์หญิงทั้งสองแสดงความเคารพจิ่งหมิงฮ่องเต้
จิ่งหมิงฮ่องเต้ตรัสด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ลุกขึ้นเถอะ”
เขามองลูกสาวทั้งสองด้วยสายตาอันอบอุ่น
หลังจากผ่านเทศกาลซั่งหยวนมาไม่กี่วัน ไม่ว่าจะเป็นองค์หญิงฝูชิงหรือองค์หญิงสิบสี่ล้วนซูบผอมลงไปอย่างเห็นได้ชัด
ช่างแตกต่างจากบุตรสาวตอนไม่แต่งหน้าที่เขาเคยเจอในอดีต ด้วยประสบการณ์อันน่าสงสารที่จิ่งหมิงฮ่องเต้สะสมมาหลายสิบปีจึงดูออกว่าวันนี้องค์หญิงฝูชิงใช้ชาดทาแก้มให้แดง
การทาชาดนั้น เห็นได้ชัดว่าทาเพื่อปกปิดใบหน้าที่ซีดเซียว
จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกปวดใจเล็กน้อย
ลูกสาวคนนี้มีแต่ปัญหาเข้ามาจริงๆ ประคบประหงมราวกับเป็นอัญมณีในมือ แต่ก็ไม่วายถูกคนลอบทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เขาบกพร่องในหน้าที่เอง ไม่ว่าจะในตำแหน่งฮ่องเต้ หรือว่าบิดาก็ตาม
ความนิ่งเงียบของจิ่งหมิงฮ่องเต้ทำองค์หญิงสิบสี่กระวนกระวายใจเล็กน้อย ทว่านางมีนิสัยรอบคอบจนเคยชินจึงไม่กล้าพูดอะไรออกมามาก
องค์หญิงฝูชิงกลับปลุกความมีชีวิตชีวาขึ้นมาพลางยิ้มแฉ่ง “เสด็จพ่อเดินเล่นอยู่หรือ ให้ลูกเดินไปกับท่านไหมเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกผิดมากยิ่งขึ้น
ฝูชิงเจ้าลูกคนนี้ อกสั่นขวัญหายอยู่แท้ แต่กลับไม่แสดงท่าทีให้ผู้ใหญ่กังวลเลย
นิสัยแบบนี้ ถ้าไม่มีผู้ใดคอยปกป้อง…จิ่งหมิงฮ่องเต้นึกถึงคำที่ฮองเฮาพูดไว้โดยไม่รู้ตัว
จิ่งหมิงฮ่องเต้ส่ายพระเศียรทันที ยิ้มตรัสออกไป “ไม่ต้องหรอก พวกเจ้ารีบกลับไปพักผ่อนเถิด”
องค์หญิงฝูชิงกับองค์หญิงสิบสี่สบตากัน ย่อเข่าลงเล็กน้อย “ลูกขอทูลลาเพคะ”
มองแผ่นหลังของลูกสาวทั้งสองเดินจากไป จิ่งหมิงฮ่องเต้ถอนหายใจตัดพ้อพร้อมกับดึงสายตากลับ ไม่มีอารมณ์เดินเตร่อีกต่อไป
เมื่อกลับมาถึงตำหนักหย่างซิน ไออุ่นภายในตำหนักโชยพัดมา ทว่ากลับทำให้จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกไม่สบายเล็กน้อย
น่าจะดับท่อและกระถางไฟให้หมด อากาศร้อนจนน่าหงุดหงิดเสียจริง
เมื่อนั่งลง ดื่มชาร้อนที่พานไห่ยกมาให้ จู่ๆ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ตรัสออกไป “พานไห่…”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองไปที่เขา ดูเหมือนไม่ได้ใส่ใจ “เจ้าว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดระหว่างแม่กับลูก”
“หืม” พานไห่เหม่อลอย
สองวันนี้พานไห่เห็นความผิดปกติของฝ่าบาทอยู่ในสายตามาโดยตลอด ทำให้เขาคิดเพียงต้องประพฤติตัวดีๆ
จิ่งหมิงฮ่องเต้ทำหน้าซื่อ “เจ้าคิดอย่างไรก็พูดออกมาตามตรง”
เรื่องใหญ่ขนาดนี้ เขาคงไม่ตัดสินใจเพียงเพราะคำพูดไม่กี่คำของข้าหลวงหรอก เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ไม่เสียหายหากจะฟังดู
พานไห่รู้สึกลำบากใจ ทว่าในเมื่อฝ่าบาทตรัสถามก็ไม่กล้าไม่ตอบ จึงไตร่ตรองแล้วเอ่ยขึ้น “กระหม่อมอ่านตำรามาไม่เยอะ ไม่เข้าใจหลักการอะไรมาก ทำได้เพียงพูดสุ่มสี่สุ่มห้า…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ลืมตาขึ้นมองเขา ในใจได้แต่คิดว่าพูดมากเสียจริง แล้วตรัสออกไปด้วยเสียงไม่สบอารมณ์ “ว่ามา”
“กระหม่อมนึกถึงเพียงแต่ความเมตตาที่แม่มีต่อลูกและความกตัญญูกตเวทีที่ลูกมีต่อแม่พ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้รอครู่หนึ่ง เห็นว่าพานไห่ไม่พูดอะไรออกมาอีก ขมวดคิ้วขึ้นโดยไม่รู้ตัว “แค่นี้รึ”
พานไห่ยิ้มออกมาหน้าตาใสซื่อ “ไม่มีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองไม่ละสายตา ราวกับมีความเจ็บปวดเฉือนผ่านร่างของขันทีแก่ไป
พานไห่รู้สึกได้ถึงเจตนาร้ายที่มาจากฮ่องเต้
เขาก็แค่พูดให้มันกระชับได้ใจความ เหตุใดฝ่าบาทถึงเป็นเช่นนี้…
กษัตริย์ผู้สง่างามใช้วิธีนิ่งเงียบเพื่อเยาะเย้ยขันทีแก่อย่างเขา ทำกันลงคอได้อย่างไร!
ตอนนี้พานกงกงผู้ควบคุมฝ่ายตรวจสอบรักษาความมั่นคงมีความเป็นไปได้มากว่าจะยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดน้ำตา
จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ทำร้ายความรู้สึกคนสนิทอย่างเงียบๆ แล้วโบกมืดปัดพลางตรัสออกไป “กลับไปเถอะ ข้าอยากคิดอะไรเงียบๆ”
ไม่นานภายในตำหนักก็เหลือเพียงจิ่งหมิงฮ่องเต้คนเดียว
เขาจ้องมองระลอกน้ำชาที่อยู่ตรงหน้าอย่างใจลอย
ความเมตตาของแม่และความกตัญญูของลูก เป็นความคิดที่เรียบง่ายยิ่งนัก
ฮองเฮาถูกใจเจ้าเจ็ด หากให้เจ้าเจ็ดเป็นโอรสในฮองเฮาน่าจะสามารถทำได้
เจ้าเจ็ดกับเจ้าแปด อันที่จริงจะให้ใครเป็นโอรสในฮองเฮานั้นไม่ต่างกันมาก ทุกคนล้วนน่าปิติยินดีด้วยกันทั้งนั้น ไฉนจะไม่เห็นดีด้วยเล่า
หลักๆ ที่จิ่งหมิงฮ่องเต้ลังเลก็คือถ้าหากให้องค์ชายท่านใดท่านหนึ่งเป็นโอรสในฮงเฮา องค์ชายท่านนั้นก็จะมีคุณสมบัติในการเป็นองค์รัชทายาท ทว่าเดิมองค์ชายเจ็ดและองค์ชายแปดไม่ได้อยู่ในขอบข่ายการพิจารณาอยู่แล้ว
สำหรับจิ่งหมิงฮ่องเต้ ฮองเฮาถูกใจก็พอ ส่วนความคิดของคนรอบข้างนั้นช่างเถอะ แม้กระทั่งความชอบของตัวเองก็ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญยังคงเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติขององค์รัชทายาท
เมื่อครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ยิ่งไม่พิจารณาถึงฉีอ๋องพวกนั้น
อย่าคิดว่าตอนนี้เหล่าขุนนางยังไม่เริ่มร้องเรียน เขารู้อยู่แก่ใจ ผู้ที่มีเสียงของเหล่าขุนนางมากที่สุดคือองค์ชายสี่ฉีอ๋อง รองลงมาคือองค์ชายหกสู่อ๋อง ถ้าหากว่าให้พวกเขาคนใดคนหนึ่งมาเป็นโอรสในฮองเฮา บอกได้เลยว่าตำแหน่งองค์รัชทายาทก็จะเป็นที่กำหนดแน่นอนแล้วโดยปริยาย
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยังไม่อยากรีบแต่งตั้งตำแหน่งไท่จื่อ
บทเรียนจากการคืนตำแหน่งไท่จื่อที่ผ่านมา การตัดสินอย่างรีบร้อนเป็นสิ่งที่แย่มากที่สุด เขาจะไม่มีทางให้เหล่าขุนนางจูงจมูกเขาเดินอีกครั้ง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เลือกองค์ชายที่ไม่มีรากฐานมาเป็นโอรสในฮองเฮา น่าจะทำให้เหล่าขุนนางที่ร้อนใจทำอะไรช้าลงได้บ้าง
ซึ่งนี่เป็นเหตุผลหลักที่จิ่งหมิงฮ่องเต้พยักหน้าโดยไม่ลังเลนานมากหลังจากได้ยินฮองเฮาเสนอว่าอยากได้ลูกชายสักคน
เจ้าเจ็ดหรือว่าเจ้าแปดดีนะ
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยกน้ำชาขึ้นมาดื่ม ภาพฮองเฮา องค์หญิงฝูชิง เสียนเฟยและอีกหลายๆ คนแวบขึ้นมาในหัว แม้กระทั่งพานไห่ก็มี ตาชั่งในใจเอนเอียงมาทางอวี้จิ่นเงียบๆ สุดท้ายก็ยังจนปัญญาที่ต้องตัดสินใจ
ฮ่องเต้ที่ใจลอยอยู่นานอ้าปากถุยใบชาที่เคี้ยวจนแหลกออกมา
ขมยิ่งนัก!
อวี้จิ่นและเซียงอ๋องเดินออกไปจากวังในเวลาเดียวกัน
เซียงอ๋องเดินอออกไปด้วยความสงสัย เหลือบมองอวี้จิ่น เห็นเขาท่าทางผ่อนคลายสบายใจ จึงถามออกไปอย่างอดไม่ได้ “พี่เจ็ด พี่ว่าที่เสด็จพ่อเรียกพวกเราเข้าวังไปหมายความว่าอย่างไร”
อวี้จิ่นตอบสั้นๆ ได้ใจความ “ไม่รู้”
เซียงอ๋องนิ่งไป มองซ้ายแลขวาเห็นว่าไม่มีผู้ใด จึงเอ่ยกระซิบเบาๆ “พี่ไม่อยากรู้หรือ”
“ไม่อยากรู้หรอก” อวี้จิ่นตอบพร้อมกับยิ้มหวาน
เขารู้อยู่แล้ว ยังจะอยากรู้อะไรอีก
เซียงอ๋องไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ได้แต่เม้มริมฝีปาก เอามือประสานกำปั้นที่หน้าอก “พี่เจ็ด ข้าขอตัวลาก่อน”
อวี้จิ่นยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว ไม่แน่เสด็จพ่อคงอยากจะเลือกพระสนมให้น้องแปด”
เซียงอ๋องตะลึง กระวนกระวายออกมาโดยไม่รู้ตัว
เลือกพระสนมงั้นรึ เรื่องวุ่นวายที่เขาแต่งงานกับชุยหมิงเย่ว์ยังไม่หายไปเลย เขาไม่อยากเลือกพระสนม!
หลังจากกระวนกระวาย เซียงอ๋องก็เจอรอยรั่ว “ไม่ใช่สิ ถ้าเพื่อให้เลือกพระสนมแล้วจะเรียกพี่เจ็ดทำไมกัน”
อวี้จิ่นเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา “ในบรรดาพี่น้องเจ้ากับข้าไม่ต่างกันมาก และข้ากับพี่สะใภ้เจ็ดของเจ้าก็เป็นคู่สามีภรรยาที่รักใคร่กลมเกลียว รักกันเป็นอย่างมาก เสด็จพ่อคงจะอยากให้ข้าเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับน้องแปดกระมัง”
เซียงอ๋อง “…” จริงหรือนี่