ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 73 หลักฐาน
ตอนที่ 73 หลักฐาน
มันคือกระดุมหยกลายค้างคาว
ดูประณีตและล้ำค่ายิ่งนัก
เจียงซื่อมั่นใจว่ากระดุมเม็ดนี้ไม่ได้ถูกกระชากจากเสื้อบ่าวรับใช้ทั้งสองอย่างแน่นอน ฉะนั้นคำตอบก็ชัดเจนอยู่แล้วว่ามาจากเสื้อของฆาตกรโหดเหี้ยมที่ลงมือฆาตกรรมเด็กสาว ซึ่งก็คือฉังซิงโหวซื่อจื่อ!
อาภรณ์ที่ใช้เม็ดกระดุมทำจากหยกนั้นคงจะทำจากเนื้อผ้าชั้นดี ฉะนั้นการที่กระดุมหายไปหนึ่งเม็ดไม่อาจทำให้เจ้าของโยนชุดนั้นทิ้งได้ลง
หากเป็นเช่นนั้นเขาจะทำอย่างไรกับชุดนั้น
เป็นไปได้มากว่าชุดนั้นจะถูกนำไปเก็บไว้ในหีบ และรอจนกว่าจะมีกระดุมหยกเม็ดใหม่
แน่นอนว่านี่เป็นการคาดเดาตามหลักเหตุผลทั่วไป แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น เพราะหากชุดนั้นมีรอยฉีกขาดก็เป็นไปได้ว่าจะถูกนำไปทิ้ง
แต่เรื่องนั้นก็ไม่น่ากังวล เพราะแม้ว่าชุดนั้นจะถูกนำไปทิ้ง แต่กระดุมหยกที่เหลือก็ต้องถูกถอดเก็บไว้อย่างแน่นอน
หรือสามารถบอกได้ว่า กระดุมหยกลายค้างคาวเหล่านั้นคงจะถูกเก็บไว้ที่ห้องของฉังซิงโหวซื่อจื่ออย่างแน่นอน
และนี้จะกลายเป็นหลักฐานสำคัญที่จะชี้ว่าฉังซิงโหวซื่อจื่อคือฆาตกร!
เจียงซื่อเก็บความตื่นเต้นนั้นไว้พลางจัดให้มือข้างซ้ายของศพกลับไปอยู่ในท่ากำตามเดิม
นางรู้ว่าอีกไม่นานร่างของศพจะเริ่มแข็ง เมื่อถึงเวลานั้นการจะแกะมือข้างซ้ายของศพโดยไม่ต้องใช้แรงคงจะเป็นไปไม่ได้
ต้องเอากระดุมหยกลายค้างคาวที่สำคัญนี้ทิ้งไว้ในมือของศพเพื่อว่าจะได้เป็นหลักฐานชี้ตัวฆาตกร
หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย เจียงซื่อก็ดึงผ้าคลุมเตียงขึ้นมา ขณะที่ผ้าที่เต็มไปด้วยคราบเลือดกำลังเคลื่อนขึ้นมาคลุมใบหน้าซีดเผือดของเด็กสาว เจียงซื่อถอนหายใจแผ่วเบาพลางยื่นมือไปปิดตาเด็กสาว เอ่ยว่า “เจ้าวางใจได้ ข้าจะล้างแค้นแทนเจ้าเอง ถึงเวลานั้นเจ้าค่อยลืมตากว้างๆ ขึ้นมาดูว่าโลกนี้ยังมีความยุติธรรมอยู่”
แต่หากไม่มี เจ้าก็ไปร้องขอจากสวรรค์แล้วกัน!
เจียงซื่อชักมือกลับมา ตาทั้งสองข้างของเด็กสาวปิดสนิท
ในขณะนั้นเจียงซื่อก็รู้สึกแสบจมูกเหมือนมีเปลวเพลิงลุกโชนภายในใจ ความรู้สึกนั้นทำให้นางอยากร้องไห้ออกมา
ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลามาร้องไห้ฟูมฟาย
เจียงซื่อช่วยคลุมผ้าให้เด็กสาว หลังจากยืนขึ้นก็หันไปมองที่ร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นอีกครั้ง และเดินจากไปท่ามกลางแสงจันทร์
ผ่านไปไม่นาน บ่าวรับใช้หนุ่มทั้งสองก็จูงมือกันเดินกลับมา ทั้งคู่ค่อยๆ เข้าไปใกล้พุ่มดอกโบตั๋นมากขึ้นทีละก้าว
สาเหตุที่ทั้งคู่จับมือกันไม่ใช่เพราะมีความรู้สึกดีๆ ต่อกัน แต่เนื่องจากเหตุการณ์ขวัญกระเจิงเมื่อครู่ หลังจากสงบสติลงได้ก็รู้ตัวว่าต้องกลับมาสะสางงานให้เรียบร้อย แต่ครั้นจะเดินกลับมาก็ไม่มีใครยอมเดินนำหน้า จึงต้องกัดฟันจับมือเดินมาพร้อมกัน ถือว่าเป็นการร่วมทุกข์ร่วมสุข ไม่มีใครคนใดเสียเปรียบ
“พี่ พี่ลู่จื่อ พี่ว่าเมื่อกี้ข้าตาฝาดไปหรือเปล่า” อานจื่อเอ่ยถามเสียงสั่น ขายังคงสั่นไม่หยุด เผลอๆ สั่นมากกว่าเสียงที่เปล่งออกมาเสียอีก
ลู่จื่อที่ดูเหมือนว่าจะควบคุมสติได้ดีกว่าเอ่ยเสียงขรึม “ไม่เรียกตาฝาดแล้วให้เรียกอะไร โลกนี้ไม่มีผีหรอก!”
จะปล่อยศพที่ซื่อจื่อฆ่าตายทิ้งไว้ในสวนเช่นนี้ไม่ได้ หากเขาไม่พยายามหลอกล่ออานจื่อ แล้วอานจื่อกลัวจนไม่ยอมมา งานฝังศพจะไม่ตกที่เขาคนเดียวหรือ
“ตะ…แต่ข้าเห็นผีผู้หญิงจริงๆ นะ พี่ลู่จื่อไม่เห็นจริงๆ เหรอ” อานจื่อไม่อยากจะเชื่อ เขากลัวจนแทบก้าวเท้าไม่ออก
ลู่จื่อกลอกตาอย่างรำคาญใจ “ไม่เห็นโว้ย! ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อกี้เจ้าตะโกนว่าผีแล้วโกยแนบขนาดนั้น ข้าจะตกใจวิ่งตามมาทำไม”
แน่นอนว่าเขาเองก็เห็น แต่จะให้บอกอานจื่องั้นเหรอ ไม่มีทาง!
“งั้น…ข้าคงตาฝาดไปจริงๆ หรอ”
“ไม่ใช่ตาฝาดแล้วอะไรล่ะ เจ้าลองคิดดูนะ ถ้าโลกนี้มีผีมาตามเอาชีวิตจริง แล้วทำไมบรรดาผู้หญิงที่ถูกฝังใต้ดอกโบตั๋นถึงไม่ขยับเขยื้อนสักนิด เอาเถอะ รีบฝังให้เสร็จๆ จะได้รีบกลับไปนอน มัวชักช้าร่ำไรเดี๋ยวฟ้าก็สว่างกันพอดี”
อานจื่อพยักหน้าอย่างสองจิตสองใจ เกลี้ยกล่อมตัวเองให้เชื่อตามที่ลู่จื่อพูด
ทั้งสองเดินไปหน้าพุ่มดอกโบตั๋น เมื่อเห็นว่าศพหญิงสาวยังคงนอนแน่นิ่งอยู่ที่เดิมก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“รีบลงมือเถอะ” ลู่จื่อหยิบพลั่วที่โยนทิ้งไว้ก่อนวิ่งหนีไปขึ้นมาและถ่มน้ำลายใส่มือ
อานจื่อนั่งยองลงที่พื้น นิ้วสั่นระริกชี้ไปที่ร่างของหญิงสาวแต่ไม่มีถ้อยคำใดหยุดออกจากปาก
“ทำไม” ลู่จื่อเผลอกำพลั่วแน่น สายตามองไปยังทิศที่อานจื่อชี้นิ้วไป
“มือ มือ…” อานจื่อเสียงสั่น เขากลัวจับใจ
ทันใดลู่จื่อก็ได้กลิ่นปัสสาวะโชยมา
อานจื่อเห็นอะไร ถึงกับกลัวจนฉี่ราดเลยเหรอ
ท้องฟ้ามืดเกินไปทำให้ลู่จื่อมองเห็นไม่ชัด เขาจึงขยับเข้าไปใกล้ก้าวหนึ่ง พลางสอดส่องสายตาไปยังมือทั้งสองข้างของศพหญิงสาว
มือเรียวข้างหนึ่งที่ยื่นออกมาจากผ้าคลุมกำพลั่วเอาไว้!
เสียงลู่จื่อร้องครวญครางอยู่ในลำคอ เลือดร้อนพุ่งตรงไปที่หน้าผากของเขา
มาถึงคราวนี้คงไม่อาจหลอกตัวเองต่อไปได้อีกแล้ว พวกเขาเห็นผีจริงๆ!
ลู่จื่อเซถอยลงไป ก้นของเขาหย่อนนั่งอยู่บนตักของอานจื่อ
ท่าทีเสียอาการของลู่จื่อเป็นฟางเส้นสุดท้ายในความรู้สึกของอานจื่อ เขารีบผลักลู่จื่อออกไปให้พ้นทาง กระเด้งตัวขึ้นและสับเท้าวิ่งหนีไปทันที
ไม่เอาแล้ว ไม่เอาแล้ว ยอมโดนซื่อจื่อฆ่าตายยังดีกว่าถูกผีผู้หญิงตามเอาชีวิต
ผีมีจริง!
ลู่จื่อผู้น่าสงสารถูกอานจื่อผลักล้มหกคะเมนจนคางของเขาไปเกยอยู่บนเท้าของร่างศพ
ลู่จื่อ “…”
อานจื่อที่ออกตัววิ่งหนีไปได้ระยะหนึ่งรู้สึกว่าด้านหลังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ จึงหันกลับไปมอง
ผีผู้หญิงนั้นไม่ตามมา?
อานจื่อหยุดเท้า
“กลับมานี่เดี๋ยวนี้!” ลู่จื่อรวบรวมสติข่มเสียงเข้มตวาดออกไป
อานจื่อยังคงยื่นนิ่งไม่ขยับไปไหน ปล่อยให้ร่างกายรับรู้ถึงลมเย็นเยือกที่พัดมาโดนขาทั้งสองข้าง
“ไอเวร เจ้าจะฆ่าข้าให้ตายไปด้วยหรือไง” ลู่จื่อตะโกนด่ากราด “ไม่เห็นหรอว่าศพนี้มันไม่กระดุกกระดิก เจ้ายังไม่กลับมาช่วยกันขุดหลุมอีก!”
“พี่ลู่จื่อ หรือว่าผีนั่นรอให้ข้าเดินกลับไปก่อนแล้วค่อยจัดการกับพวกเราทีเดียว!” เท้าของอานจื่อยึดติดอยู่ที่พื้นราวกับมีรากงอกมาเหนี่ยวรั้งไว้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหน
ลู่จื่อในขณะนั้นยอมเทหมดหน้าตัก
ไม่มีใครน่าสงสารเท่าเขาอีกแล้ว หน้าคะมำคางเกยอยู่บนเท้าของศพ ซ้ำยังไปนั่งทับฉี่คนอื่นเต็มๆ สู้ให้ผีมาบีบคอเขาให้ตายไปตอนนี้เลยยังดีเสียกว่า!
ลู่จื่อรวบรวมความกล้าเฮือกสุดท้ายพยุงตัวเองขึ้นมา หยิบพลั่วและลงมือขุดดิน
อานจื่อที่ตัวสั่นเทิ้มยืนมองลู่จื่ออยู่ไม่ไกล ขาของเขาเตรียมพร้อมสำหรับวิ่งหนีได้ทุกเมื่อ แต่เมื่อเห็นว่าศพหญิงสาวไม่กระดุกกระดิกแม้แต่น้อย เขาก็เริ่มสงบสติลง
“เจ้าจะยืนบื้อเป็นสากจนฟ้าสว่างเลยไหม” ลู่จื่อแผดเสียงคำราม
อานจื่อต่อสู้กับตัวเองสักพัก และค่อยๆ ขยับตัวเข้าไปช้าๆ
ทั้งคู่ช่วยกันขุดหลุม เนื่องจากมีประสบการณ์ทำให้ความเร็วในการขุดหลุดนั้นเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ไม่นานหลุมก็ถูกขุดไว้เรียบร้อย
แต่เนื่องจากก่อนหน้านี้มีผีผู้หญิงปรากฏอยู่ตรงหน้า ทั้งคู่จึงไม่มีใครยอมหันหน้าไปมองร่างนั้นอีก พวกเขาดันร่างศพลงไปในหลุมอย่างกล้าๆ กลัวๆ รีบกลบดินและเอาตัวเองออกจากพื้นที่สยองขวัญนั้นโดยเร็วที่สุด
ทันทีที่กลับถึงห้อง บ่าวรับใช้หนุ่มทั้งสองก็รีบซุกตัวลงบนที่นอนทั้งที่ยังไม่ได้ล้างไม้ล้างมือ เสียงหายใจหอบดังไปทั่วห้อง
โดยส่วนใหญ่แล้ว หลังจากผ่านเหตุการณ์สยองขวัญมา กาลเวลาจะบ่มเพาะประสบการณ์เหล่านั้นให้กลายเป็นฝันร้ายที่ไม่อาจลบเลือน
“พี่ลู่จื่อ พี่จะบอกเรื่องนี้กับซื่อจื่อไหม”
“บอกอะไร บอกว่าพวกเราเห็นผีน่ะเหรอ เจ้าคิดว่าซื่อจื่อจะเชื่อ? ถ้าไปบอกแบบนั้น ซื่อจื่อคงคิดว่าพวกเราวางแผนจะทำอะไร ถึงเวลานั้นก็เตรียมตัวไปอยู่เป็นเพื่อนผีสาวนั่นได้เลย”
“งั้นก็ไม่ต้องบอก ไม่บอก”
หลังจากบ่าวรับใช้หนุ่มทั้งสองตกลงกันได้ ต่างก็เหม่อมองไปบนฟ้าเหนือคานห้องจนกระทั่งฟ้าสว่าง
อีกด้านหนึ่ง เจียงซื่อค่อยๆ เดินผ่านสวนมืดนั้นไป ในขณะที่กำลังจะเดินไปที่หน้าต้นไม้ต้นหนึ่ง จู่ๆ ก็มีเงาดำพุ่งตรงเข้ามา