ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 80 ไปพบอวี้ชี
ตอนที่ 80 ไปพบอวี้ชี
เจียงซื่อกับเจียงเชี่ยวลำบากไม่น้อยกว่าจะกลับมาถึงจวนตงผิงปั๋ว และกำลังจะไปเรือนฉือซินเพื่ออธิบายเหตุผลว่าทำไมถึงกลับมาเร็วนักด้วยตนเอง
ซานไท่ไท่กัวซื่อพอได้ยินว่าบุตรสาวแพ้ผื่นคันด้วยความเป็นแม่ก็รู้สึกสาร จึงจูงมือเจียงเชี่ยวเดินออกไปปากพลางพร่ำบ่นเบาๆ
เจียงชื่อยังคงยืนอยู่ทางเดินหินมองสองแม่ลูกรักใคร่เดินจากไปอย่างช้าๆ ด้วยความรู้สึกอิจฉาขึ้นมาในใจ
นางไม่มีมารดา และไม่รู้ว่าความรู้สึกของการถูกผู้เป็นแม่พร่ำบ่นนี่เป็นอย่างไร
เวลานี้ทันใดนั้นเจียงเชี่ยวก็หันหน้ากลับมา เจียงซื่อจึงโบกมือให้
เจียงซื่อเม้มปากแน่นสนิทนิ่งไปครู่หนึ่ง
อิจฉาก็ส่วนอิจฉา แต่นางไม่มีเวลามาให้คิดมากอีกแล้ว
เจียงซื่อยังไม่ทันได้กลับไปที่เรือนไห่ถัง ก็ตรงไปยังห้องหนังสือของเจียงอันเฉิงเลย
เจียงอันเฉิงกับนายท่านสามร่วมด้วยช่วยกันดูแลกิจการของจวนปั๋ว ในเวลาปกติแล้วนายท่านสามจะเป็นผู้วิ่งดูแลงานอยู่ด้านนอก แต่เจียงอันเฉิงจะอยู่ในจวนเสียมากกว่าครึ่ง
เวลานี้เขากำลังจะงีบหลับอยู่ในห้องหนังสือ แต่พอเจียงซื่อมาถึงก็ตื่นขึ้นมาทันที
“ลูกรบกวนท่านพ่อหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่เลยลูก เมื่อครู่นี้พ่อเพิ่งจะเหนื่อยล้าจากการอ่านหนังสืออยู่พอดี”
เจียงซื่อเหลือบมองที่ตราประทับที่ติดอยู่บนแก้มซ้ายของเจียงอันเฉิงและพูดอย่างจริงจัง “ท่านพ่อจะอ่านหนังสือก็ต้องรักษาสุขภาพด้วยนะเจ้าคะ มากเกินไปจะทำให้ดวงตาเสียสุขภาพเอาได้”
เจียงอันเฉียงใช้กำปั้นปิดปากกระแอมเบาๆ “สำหรับพ่อแล้วทำงานกับการดูแลตนเองเป็นสิ่งเดียวกันอยู่แล้ว ซื่อเอ๋อร์ไปจวนฉังซิงโหวไม่ใช่หรือลูก ทำไมวันนี้จึงกลับมาเสียแล้วล่ะ”
“พี่สามไม่ค่อยสบายเจ้าค่ะ ลูกเลยกลับมาเป็นเพื่อนก่อน”
เจียงอันเฉิงจึงได้ถามเรื่องราวของเจียงเชี่ยวอีก พอได้ยินว่าไม่เป็นอะไรมากก็เบาวางใจ ในใจก็แอบดีใจอยู่ไม่น้อยว่าบุตรสาวของเขาช่างกตัญญูพอกลับมาก็รู้ความมมาถามไถ่ผู้เป็นพ่อ ไม่เหมือนเจ้าเจียงจั้นนั่นวันๆ เอาแต่ไปเที่ยวเล่นข้างนอกบ้าน
“ท่านพ่อเจ้าคะ ลูกมีเรื่องอยากจะสอบถามหน่อยเจ้าค่ะ”
ลายปักบนถุงเงินของศพหญิงสาวคนนั้นมีสัญลักษณ์คำอวยพรเขียนว่า ‘วัดหลิงอู้’ นางไม่เคยได้ยินชื่อวัดหลิงอู้นี้จากที่ใดมากก่อน อาเฟยก็ยังไม่กลับมาทั้งยังไม่มีใครที่ไว้ใจให้ไปสืบหาได้ คิดไปคิดมาไม่สู้ให้นางมาสืบความจากท่านพ่อไม่ดีกว่าหรอกหรือ
“ซื่อเอ๋อร์มีอะไรจะถามหรือ”
“ท่านพ่อเคยได้ยินชื่อวัดหลิงอู้ไหมเจ้าคะ”
“วัดหลิงอู้?” เจียงอันเฉิงขมวดคิ้วขึ้น ครู่หนึ่งก็ส่ายหน้า “พ่อไม่มีความเชื่ออะไรด้านนี้อยู่แล้ว สำหรับเรื่องนี้พ่อไม่แน่ใจเท่าใดนัก ซื่อเอ๋อร์มาถามเรื่องนี้ต้องการจะไปไหว้พระหรือ”
เจียงซื่อผิดหวังเล็กน้อยแต่ก็เก็บเอาไว้ในใจ
หากว่าท่านพ่อรู้จักก็คงจะโชคดีไม่น้อย
“ตอนระหว่างทางกลับจวนได้ยินแม่นางน้อยคนหนึ่งพูดว่าที่วัดหลิงอู้ศักดิ์สิทธิ์มากเจ้าค่ะ หากไปกราบไหว้ก็จะสำเร็จสมปรารถณา ลูกสงสัยเลยสอบถามดูเจ้าค่ะ”
เจียงอันเฉิงยิ้มขึ้น “ท่านอาสามของเจ้าออกไปข้างนอกบ่อย ไว้เขากลับมาพ่อจะถามให้นะ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะรู้ก็ได้ หากว่าเขาไม่รู้พ่อจะให้คนออกไปลองสอบถามดู”
เขาไม่ได้สนใจว่าจะศักดิ์สิทธิ์ขนาดไหน ขอให้บุตรสาวของเขาดีใจก็พอแล้ว
“หากท่านพ่อจะให้คนไปสอบถามดู อย่าให้ผู้ใดรู้เยอะเชียวนะเจ้าคะ”
เจียงอันเฉิงตะลึงไปชั่วขณะและก็หัวเราะขึ้นมา “ซื่อเอ๋อร์วางใจได้ พ่อจะให้คนออกไปถามอย่างเงียบๆ นะ”
บุตรสาวของเขาขี้อายเช่นนี้หรือว่าจะไปขอพรเรื่องความรักกันนะ
พอเห็นเจียงอันเฉิงยิ้มแบบนี้เจียงซื่อก็รู้แล้วว่าเขาเข้าใจผิด แต่กลับไม่อธิบายแก้ไข
นางต้องการเปิดโปงความลับของจวนฉังซิงโหว แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่อยากดึงจวนปั๋วเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครว่างหรือรู้เรื่องราวเพื่อช่วยนางได้ นางเองก็เป็นหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือนจะทำอะไรก็ไม่สะดวก
“อย่างนั้นลูกไม่รบกวนเวลาอ่านหนังสือของท่านพ่อต่อแล้วเจ้าค่ะ” เจียงซื่อยอบกายเคารพและออกจากห้องหนังสือกลับไปเรือนไห่ถัง
อาหมานและอาเฉี่ยวพอเห็นเจียงซื่อกลับมาก็พากันมาต้อนรับอย่างตื่นเต้นดีใจ
“บ่าวกำลังเป็นห่วงคุณหนูอยู่เลยเจ้าค่ะว่าไปอยู่ที่จวนโหวคนเดียวแล้วจะไม่ชิน” อาหมานอ้าปากทักทายเจียงซื่อพลางเอ่ยอย่างปวดใจ “คุณหนูผอมไปแล้ว”
ปากอาเฉี่ยวกระตุก
แค่วันเดียวเองนะ
“พอแล้วๆ ไปเอาน้ำหวานมาให้ข้าแก้วหนึ่งที”
การเดินทางติดขัดตลอดทางระหว่างกลับจากจวนฉังซิงโหว เจียงซื่อเองยังไม่อยากเข้าไปในเรือนเลยทันที จึงไปนั่งพักอยู่ที่ชิงช้าใต้ต้นไม้แทน
อาเฉี่ยวรีบกลับเข้าไปในเรือนยกน้ำหวานมาให้ เจียงซื่อจึงค่อยๆ ยกจิบ
“น้องสี่ ได้ยินว่าเจ้ากลับมาแล้ว” เจียงจั้นวิ่งเข้ามาหาอย่างดีใจ
เนื่องจากเป็นหน้าร้อนเจียงจั้นผู้ที่วิ่งเข้ามาจึงทำให้ใบหน้าแดง หน้าผากเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ทำให้เขาดูมีเสน่ห์ ดูไม่สกปรกเลยแม้แต่น้อย แต่กลับทำให้ดูเหมือนกระฉับกระเฉงขึ้นมามากกว่า
ความกระฉับกระเฉงแบบนี้ดูเหมือนว่าจะสามารถสลายหมอกควันในใจของผู้คนได้
เจียงซื่ออดยิ้มไม่ได้ “พี่รองเพิ่งกลับมาจากข้างนอกหรือเจ้าคะ อาเฉี่ยวไปยกน้ำหวานมาให้คุณชายรองสักแก้วสิ”
เจียงจั้นก้าวยาวเข้ามา และไกวชิงช้าให้เบาๆ พลางนั่งลงที่เก้าอี้หินด้านข้างดวงตาสีดำเจิดจรัสเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “ข้ามีข่าวดีจะบอกให้เจ้าฟัง”
“อ้อ เรื่องอะไรเจ้าคะ”
“เจ้าคนแซ่จี้มันถูกสุนัขกัดตอนนั่งม้านำขบวนไปรับเจ้าสาวน่ะ”
เขาไม่ค่อยชอบเจ้าเอ้อร์หนิวสักเท่าไหร่นัก แต่ไม่คิดว่าเจ้าเอ้อร์หนิวมันจะมีความคิดเช่นเดียวกับเขา
ไม่ถูกสิ คนกับสุนัขความคิดตรงกันต่างหาก
ก็ไม่ถูกอีก…
เจียงจั้นตีกับความคิดตนเองจึงเลิกคิดเสียเลยดีกว่า อย่างไรเดี๋ยวค่อยหาซื้อเนื้อไปให้เจ้าเอ้อร์หนิวสักสองจินก็แล้วหัน
“เจ้าไม่ดีใจหรอกหรือ” พอเห็นสีหน้าไร้ความรู้สึกของเจียงซื่อ เจียงจั้นก็อดแปลกใจไม่ได้
เจียงซื่อคิดไปคิดมาก็ยิ้มขึ้นมาทันที
จะว่าไปตามความคิดในใจก็มีแอบสะใจอยู่บ้าง
แม้ว่านางจะยอมรับได้ว่าไม่ผิดที่จี้ฉงอี้จะไม่ชอบตัวเอง แต่จวนตงผิงปั๋วไม่ได้ตัดสินใจเรื่องแต่งงานครั้งนี้
ตอนแรกเป็นจวนอันกั๋วกงต่างหากที่เริ่มเรื่องงานแต่งกับจวนตงผิงปั๋วก่อน ตอนนั้นบิดาของนางยังคงโลเลสองจิตสองใจ สุดท้ายอันกั๋วกงก็ตบอกรับประกันว่าบุตรสาวของเขาแต่งเข้าไปแล้วจะไม่มีอะไรเสียหายแน่นอน
เมื่อชาติที่แล้วคนรักของจี้ฉงอี้เสียชีวิต ทั้งยังขอนางแต่งเข้าจวนอย่างเย็นชา พอหลังจากนั้นก็ละเลยไม่สนใจนางอีกเลย
นางรับรู้ได้ถึงแม้จี้ฉงอี้จะไม่ได้โทษบิดามารดา แต่เขากลับเอาความโกรธเคืองที่คนรักตายมาลงที่นางทั้งหมด ราวกับว่าถ้าไม่ต้องแต่งงานกับนางก็จะทำให้เขายกเกี้ยวไปรับคนรักของเขาแต่งเข้าเรือนได้อย่างไรอย่างนั้น
หรืออาจจะเป็นเพราะหลังจากสูญเสียคนรักไป มีเพียงการโกรธแค้นนางเท่านั้นถึงจะมีชีวิตอยู่ต่อได้
แต่ว่าการที่ได้รับความรู้สึกเย็นชาเช่นนั้นมันสามารถทำร้ายบีบบังคับหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่งจนแทบจะเป็นบ้าได้
แม้ว่าในตอนนั้นจะมีประสบการณ์มาบ้างแล้ว นางเองก็อดจะคิดไม่ได้ หากว่าจะอยู่กันอย่างเย็นชาเช่นนั้นทำไมไม่บวชพระไปให้เสียจบๆ ไปเลย อันกั๋วกงมีบุตรชายเป็นทายาทถึงสามคน ไม่มีความจำเป็นต้องให้จี้ฉงอี้คนเดียวที่จะเป็นผู้สืบทอด
ไม่ว่าจะประท้วงให้ตายอย่างไร หรือว่าสองสามีภรรยาอันกั๋วกงจะบีบบังคับให้คนทำเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
หลังจากที่ขอนางแต่งเข้าเรือน คุณชายสามก็จะมีคำตอบให้บิดามารดา มีคำตอบให้กับชื่อเสียงของจวนอันกั๋วกง มีเพียงนางคนเดียวเท่านั้นที่เป็นเครื่องสังเวยในความรักของพวกเขาทั้งคู่
พอเห็นเจียงซื่อยิ้มออกมาแล้ว เจียงจั้นก็ยิ้มดีใจไปด้วยพลางดื่มน้ำหวานที่อาหมานยื่นมาให้ และลุกขึ้นไปไกวชิงช้าข้างนางต่อ
“น้องสี่”
“เจ้าคะ?”
“เจ้าคนแซ่จี้มันเป็นพวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ อนาคตเจ้าจะต้องเจอคนที่ดีกว่าแน่นอน” พอเจียงจั้นกล่าวถึงตรงนี้ก็นึกสงสัย “ว่าแต่น้องสี่ชอบคนแบบไหนกันหรือ พี่รองมีเพื่อนเยอะแยะมากมายแนะนำให้เจ้าได้นะ”
เจียงซื่อยิ้มและพูดไปว่า “ดีได้แบบพี่รองข้าก็พอใจแล้วเจ้าค่ะ”
ถ้าเป็นเพื่อนแบบนั้นของพี่ชายล่ะก็ช่างเถอะ
เจียงจั้นตกตะลึงจนใบหน้าแดงแจ๋ทั้งหน้าและรีบหาข้ออ้างเดินจากไป
เจียงซื่อนึกไม่ถึงว่าเจียงจั้นจะหน้าบางเช่นนี้ ยิ้มขบขันและลุกยืนขึ้นจากชิงช้า กลับเข้าไปในเรือนเปลี่ยนเสื้อและพาอาหมานออกไปข้างนอก
ในเมื่ออวี้ชีสื่อสารผ่านเจ้าเอ้อร์หนิวมาหานาง อย่างนั้นนางก็ไปสอบถามให้ชัดเจนไปเลยจะดีกว่า