ซ่อนรักเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 1-1 กลิ่นน้ำตา
ปิ่นปักผมรูปทรงผีเสื้อที่สั่นไหวไปมา วิกผมคาเช[1]ที่ม้วนขึ้นไปเป็นทรงสูงประดับไปด้วยเครื่องประดับมากมายที่ตกแต่งด้วยพลอยเลื่อมทองหลายชนิด ไม่ว่าจะพลอยสีฟ้า สีขาว และสีแดง มันถูกปักอยู่เป็นหย่อมๆ ทั่วทั้งหัว เส้นผมสีดำขลับมีปิ่นมังกรทองตาแดงปักอยู่ ผ้าแพรอ่อนนุ่มสีแดงเนื้อดีโอบล้อมอยู่รอบตัว บนผ้าแพรสีแดงผืนนั้นปักลวดลายดอกไม้และผีเสื้อด้วยด้ายทอง และทั้งหมดนี้มีผ้าสีขาวบางๆ ที่สามารถมองทะลุเห็นด้านในคลุมอยู่อีกชั้นหนึ่ง
ใบหน้าขาวผ่อง ดวงตาสีเข้ม ใบหน้างามที่ประกอบด้วยริมฝีปากสีแดงชาดโดดเด่นนั้นมีน้ำตาไหลออกมาไม่หยุดจนทำให้ผ้าแพรแดงและผ้าสีขาวบางๆ นั้นเปียกชุ่ม
เกี้ยวที่กำลังสั่นไหวอบอวนไปด้วยกลิ่นของน้ำตาแห่งความโศกเศร้า และกลิ่นหอมของเครื่องประทินโฉม
***
พระราชาจองส่ายหน้า พระมเหสีโยกำหมัดเล็กๆ นั่นไว้แน่นและพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
“นางจะต้องไปจริงๆ หรือเพคะ”
“องค์จักรพรรดิต้องการองค์หญิงที่สกุลมีความหมายว่า ‘ต้นไม้ที่ส่องไสว’”
“…ต้นไม้ที่ส่องไสว”
ต้นไม้ที่ส่องไสว ‘มกฮวา’
มกฮวา คือสกุลดั้งเดิมของราชวงศ์ฮวากุก เชื้อพระวงศ์ที่ไม่ได้สืบเชื้อสายโดยตรงไม่สามารถใช้คำว่า มก ที่หมายถึงต้นไม้ในนามสกุลของตนได้ ในราชวงศ์ฮวากุกนั้นเต็มไปด้วยเชื้อพระวงศ์ที่ยังเด็ก มีองค์ชายนับสิบคน แต่น่าเสียดายองค์หญิงที่พระมเหสีได้ให้กำเนิดมานั้นมีเพียงองค์เดียว
ราชวงศ์ฮวากุกนั้นได้มีการติดต่อกับมหาจักรวรรดิอยู่อย่างลับๆ มาเนิ่นนาน พระราชาจองได้ทุ่มเทเป็นอย่างมากเพื่อเสริมสร้างกำลังและเพื่อความสงบสุขของอาณาจักร และก่อนที่ความทุ่มเทนั้นจะเกิดผลก็ได้มีพระราชสาสน์จากมหาจักรวรรดิส่งมายังฮวากุกแผ่นดินเล็กๆ แห่งนี้ นี่คือโอกาส ทว่าก็ถือได้ว่าเป็นวิกฤติเช่นเดียวกัน เพราะมหาจักรวรรดิทรงปรารถนาจะได้ตัวองค์หญิงสกุลมกฮวาที่สืบเชื้อสายโดยตรง เส้นทางที่ควรเลือกเดินสำหรับแผ่นดินถูกกำหนดไว้แล้ว ทว่าปัญหาอยู่ที่ความอ่อนแอของจิตใจมนุษย์ สำหรับพวกเขานางคือองค์หญิงเพียงหนึ่งเดียวที่แสนล้ำค่า
“แต่…แต่ว่านางมิใช่องค์หญิงเพียงหนึ่งเดียวของพวกเราหรือเพคะ”
“โย เราเองก็ไม่อยากจะส่งนางไปเช่นกัน”
เสียงของพระราชาจองแหบสั่น ใบหน้าของพระมเหสีโยเต็มไปด้วยความตะลึงงัน สำหรับพระมเหสีโยแล้วพระราชาจองคือท้องฟ้า คือจักรวาล คือผู้ยิ่งใหญ่ที่ปกครองทุกสรรพสิ่ง ทว่าเขาคนนั้นในตอนนี้กำลังตกที่นั่งลำบาก กำลังมีความกลัวเหมือนกันกับตน
“หม่อมฉันโง่เขลา มิอาจคาดเดาพระทัยของพระองค์ได้หรอกเพ…”
พระมเหสีโยยังพูดไม่ทันจบ น้ำตาจากก้นลึกของหัวใจก็ได้พรั่งพรูออกมา นางล้มลงไปในอ้อมอกของพระราชาจอง มือที่ใช้ลูบไหล่ที่สั่นเครือของนางเต็มไปด้วยความเวทนา
“ถ้าส่งนางไป จะได้เจอนางอีกหรือไม่เพคะ”
“ขออภัยด้วย เราเองก็ไม่สามารถให้คำมั่นได้”
พระราชจางพูดอย่างอ้อมๆ หากส่งองค์หญิงไปที่มหาจักรวรรดิแล้วนั้น แน่นอนว่าการจะได้เจอกันอีกครั้งตอนยังมีชีวิตอยู่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ตนก็ไม่อาจบอกความจริงอันโหดร้ายนี้ให้กับนางได้รับรู้ และพระมเหสีโยเองก็รู้ความเป็นจริงในข้อนี้ดีอยู่แล้ว นางแค่ไม่อยากที่จะยอมรับมันจึงได้ถามแต่คำถามที่ไร้ความหมายเช่นนั้นออกไป
ท้องฟ้าขออภัย จักรวาลขออภัย ผู้ยิ่งใหญ่ที่ปกครองทุกสรรพสิ่งคนนี้กำลังกล่าวขออภัยที่ไม่อาจตอบคำถามของนางได้ น้ำตาเม็ดใหญ่ไหลลงมาจากดวงตาของพระมเหสีโย พระราชาจองถอนหายใจเฮือกใหญ่ รู้สึกเศร้าโศกยิ่งนักที่แม้แต่น้ำตาของมเหสีตนก็ไม่อาจเช็ดให้ได้
“โกหก”
เด็กสาวที่ดูอย่างไรอายุก็ไม่น่าจะเกิน 15 ปีพูดกับแม่นมของนางด้วยใบหน้าซีดเซียว
“โกหก เป็นเรื่องโกหกแน่ๆ แม่ล้อเราเล่นหรือ น่าขัน น่าขันเสียจริง แม่นม พอเถอะ….”
เด็กสาวที่พูดคำว่าน่าขันนั่น ในตอนนี้ใบหน้าของนางราวกับพร้อมที่จะระเบิดเสียงร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ แม่นมที่นั่งอยู่ตรงหน้านางพูดออกมาด้วยสีหน้าเศร้าหมองว่า
“องค์หญิงเพคะ องค์หญิงผู้น่าสงสาร…”
“อย่าพูดว่าน่าสงสาร และอย่ามองเราด้วยสีหน้าเวทนาเช่นนั้น!”
สิ่งใดกันที่ทำให้เด็กสาวผู้สงบเสงี่ยมมาตลอดถึงกับต้องขึ้นเสียงดังและวิ่งเขาไปในอ้อมกอดของแม่นม
“โกหก ท่านพ่อไม่มีทางส่งเราไป เสด็จแม่ไม่มีทางส่งเราไป เมืองอื่นหรือ เมืองอื่นอย่างนั้นหรือ…”
ร่างของเด็กสาวในอ้อมอกของแม่นมสั่นเครือ และระหว่างนั้นก็มีเสียงของขันทีดังออกมาจากนอกประตู
“ฝ่าบาททรงมีรับสั่งเรียกหาองค์หญิงอูรึมพ่ะย่ะค่ะ”
พ่อของตนเรียกหา แต่หน้าของเด็กสาวกลับซีดเผือดลง
สีหน้าองค์หญิงซีดลงทันทีหลังจากตามขันธีมาถึงพย็อนจอน ที่ซึ่งมิใช่ตำหนักที่ตนเคยไปพบปะกับพ่อของตนในยามปกติ แต่มันคือตำหนักทรงงานของท่าน บนบัลลังก์สูงนั้นมีพระราชาจองและพระมเหสีโยนั่งอยู่
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ทรงเรียกหม่อม…”
“อูรึม”
เด็กสาวยังไม่ทันเอ่ยทักทายตามมารยาทให้จบ พระมเหสีโยพลันวิ่งเข้ามาสวมกอดนางไว้
“พระมเหสี!”
พระราชาจองเรียกพระมเหสีด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม พระมเหสีโยกล่าวขอโทษและกลับขึ้นไปนั่งด้านข้างพระราชาจองเช่นเดิม ร่างเล็กของเด็กสาวเริ่มสั่นสะท้าน เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ตนได้ยินพ่อขึ้นเสียงดังราวกับเสียงฟ้าผ่า ทันทีที่นางไปนั่งในที่ของตน พระราชาจองก็ได้ยกหนังสือม้วนสีทองขึ้นมาแล้วพูดว่า
“องค์หญิงลำดับที่หนึ่งแห่งราชวงศ์ฮวากุก องค์หญิงมกฮวา อูรึม จงฟัง”
เด็กสาวรู้สึกกลัวจนไม่ได้รับรู้เลยว่าในน้ำเสียงอันเคร่งขรึมของพระราชาจองนั้นมีความสั่นเครือปนอยู่
“ตามพระราชสาสน์จากจักรวรรดิมกกุกที่ต้องการรับองค์หญิงสกุลมกฮวาไปเป็นพระชายาแห่งองค์รัชทายาทอันดับที่หนึ่ง องค์หญิงมกฮวา อูรึมได้ถูกรับเลือกให้เป็นเป็นคู่อภิเษกสมรม ดังนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจงรักษาตัวให้สะอาดและเตรียมตัวเดินทางไปยังจักรวรรดิมกกุก”
คำพูดของแม่นมนั้นเป็นความจริง
เด็กสาวตัวสั่นราวกับนกตัวน้อย นางคือองค์หญิงลำดับที่หนึ่งแห่งฮวากุก มกฮวา อูรึม
ราชวงศ์ฮวากุกเป็นราชวงศ์ที่ต่างจากราชวงศ์ทั่วๆ ไป ภายในเชื้อพระวงศ์ของฮวากุกนั้นทุกคนสนิทสนมกันเป็นอย่างมาก เมื่อองค์หญิงเพียงหนึ่งเดียวของราชวงศ์ต้องจากไปอยู่อาณาจักรอื่นจึงทำให้บรรยากาศภายในราชวงศ์นั้นซบเซาลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความโศกเศร้าของที่เป็นแม่อย่างโยที่ไม่อาจอธิบายได้ แม้แต่โจ๊กที่ต้องทานก่อนอาหารเช้านางก็ยังกินได้ไม่ถึงครึ่ง จนกระทั่งเลยเที่ยงวันมาแล้วนางก็ยังไม่แม้แต่จะกินน้ำสักหยด
“พระราชินี…”
ใบหน้าขององค์รัชทายาทมินกุงแข็งทื่อเมื่อได้ยินข่าวคราว แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ลูกชายแท้ๆ ของพระมเหสีโย แต่เขาก็ทำหน้าที่เป็นลูกชายที่ดีให้กับพระมเหสีโยผู้ที่มีลูกสาวเพียงคนเดียวมาตลอด
“พออูรึมไม่อยู่ พระราชวังช่างเงียบเหงาลงนัก”
องค์หญิงพึ่งนั่งเกี้ยวจากไปเมื่อวาน แต่ความรู้สึกเหมือนกับเวลาผ่านไปเป็นปี องค์หญิงอูรึมคือเด็กสาวที่ทุกคนในพระราชวังนี้ต่างมอบความรักให้
“อายุเพียงเท่านั้นแต่กลับต้องออกเรือนไปอยู่ต่างแดนคนเดียว นางจะเหงามากเท่าใดก็มิรู้”
“แม่นมขององค์หญิงก็ได้เดินทางไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“งั้นหรือ ค่อยโล่งอกไปที”
ขันทีที่นำข่าวคราวของพระมเหสีโยที่ไม่เสวยอาหารมาแจ้งได้ตอบองค์รัชทายาทมินกุงที่พูดอยู่คนเดียว ถึงแม้คำว่า ‘คนเดียว’ ที่มินกุงหมายถึงจะไม่ได้หมายความเช่นนั้น แต่ขันทีก็หวังเพียงแค่ว่าคำตอบของเขาจะช่วยปลอบโยนจิตใจของมินกุงได้
“เด็กน้อยบอบบางเช่นนั้น คงมิได้กำลังร้องไห้อยู่หรอกนะ”
สายตาของมินกุงมองลอดผ่านหน้าต่างไปยังท้องฟ้า
***
——
[1] วิกผมคาเช ทรงผมที่เป็นเปียใหญ่พันรอบศีรษะ