ซ่อนรักเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 32-2 บุปผาสีคราม
ด้วยว่ากโยซึลล้มป่วยไข้อยู่นาน จึงทำให้นางต้องอยู่แต่ในตำหนักดงบีอยู่พักใหญ่ และเนื่องจากเคยล้มป่วยมาถึงสองครั้งแล้ว จึงทำให้นางมีชื่อเสียงกระฉ่อนว่าเป็นคนร่างกายอ่อนแอ ภาพลักษณ์เช่นนี้ไม่เหมาะกับนางเลย เพราะกโยซึลเคยทำเป็นคนแก่นแก้วเมื่อตอนอาศัยอยู่ที่อาณาจักรฮวากุก อย่างไรก็ตามหมอหลวงก็ได้เฝ้าดูอาการของนางอย่างใกล้ชิด นางจึงต้องอยู่แต่ในห้องของตน นางได้รับอนุญาตให้ออกไปเดินเล่นเพียงครึ่งชั่วยาม (หนึ่งชั่วโมง) ที่สวนด้านหลังตำหนักเพียงเท่านั้น
หลังจากที่กโยซึลตื่นขึ้น สิ่งแรกที่นางทำคือนั่งลงที่โต๊ะและเขียนจดหมายถึงบีพาอัน
นานแล้วที่ไม่ได้เขียนจดหมายถึงพระองค์ ทรงไม่สงสัยเลยหรือเพคะว่าเพราะเหตุใด เป็นเพราะที่ผ่านมาหม่อมฉันได้ล้มป่วยเพคะ
หลังจากเขียนไปได้ถึงตรงนี้ กโยซึลก็วางพู่กันลง นางมักจะเขียนจดหมายที่ไร้การตอบกลับนี้ โดยระบุรายละเอียดทุกอย่างเกี่ยวกับกิจวัตรประจำวันของตน เช่น การเดินเล่น งานอดิเรก การนั่งรับแสงแดดที่หน้าต่าง เป็นต้น แม้จะเป็นสิ่งที่คุ้นเคย ทว่ามันกลับกลายเป็นเรื่องที่ยากในวันนี้ไปเสียแล้ว ขณะที่
กโยซึลพยายามจะเขียนข้อความลงบนกระดาษเปล่าเพื่อส่งถึงบีพาอัน นางก็นึกไปถึงกระดาษแผ่นเล็กที่มักจะถูกเสียบไว้ที่ช่องหน้าต่างในทุกเช้า หลังจากวันนั้นที่รูแฮมาหาแล้วกลับไป ก็มีดอกไม้พร้อมแผ่นกระดาษเปล่าเสียบอยู่บนขอบหน้าต่างทุกวัน กระดาษว่างเปล่าใบนั้นดูเหมือนจะสะท้อนให้เห็นถึงความปรารถนาอย่างจริงใจของเขาที่มีต่อนาง ซึ่งเขาไม่สามารถแสดงออกกับนางได้ด้วยตัวเอง นางเปิดลิ้นชักเล็กของโต๊ะเขียนหนังสือ ในนั้นมีดอกไม้ดอกเล็กจำนวนมากที่มีเชือกสีขาวผูกไว้ เมื่อนางมองเข้าไปในลิ้นชักนางรู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นเด็กที่ทำความผิด และในขณะเดียวกันก็เหมือนกับตนกำลังปิดซ่อนความรู้สึกที่มีค่าและจริงใจที่มีต่อรูแฮ
“ทั้งหมดนี่มันอะไรกัน”
เมื่อได้มองดูดอกไม้ในลิ้นชักและจดหมายที่ยังเขียนไม่เสร็จ นางก็ถอนหายใจ กโยซึลปิดลิ้นชักแล้วหันหน้าหนีไป ปลายสายตาจ้องมองไปที่จุดด้านในสุดของห้อง ซึ่งก็คือผนังใกล้เตียงนอน ชุดอภิเษกของบีพาอันซึ่งปักลายผีเสื้อสีครามถูกแขวนอยู่บนนั้น นางขยับเข้าไปใกล้มันช้าๆ มันถูกแขวนอยู่บนผนังทำให้นางต้องเงยหน้าขึ้นเพื่อดูปกคอของชุดนั้น ผ้าผืนใหญ่และกว้างมีขนาดใหญ่กว่าร่างเล็กของนาง กโยซึลลูบมันเบาๆ ด้วยฝ่ามือของนาง ผ้าแพรช่างสวยและอ่อนนุ่ม นางสัมผัสและลูบมันแบบนั้นหลายต่อหลายครั้งเพื่อแทนตัวของบีพาอันที่นางไม่อาจได้พบเจอ
“ทรงรูปร่างสง่างามถึงเพียงนี้เลยหรือ”
เมื่อมองไปที่ชุดอภิเษกตัวใหญ่ กโยซึลก็จินตนาการถึงรูปร่างของบีพาอัน นางจับแขนเสื้อตัวใหญ่เปิดออกแล้วนำมาโอบรอบตัวเองไว้ เมื่อนางดึงแขนเสื้อขึ้นมาบนหน้าอก กโยซึลก็อิงแอบไปที่มันราวกับว่าถูกโอบกอดไว้ด้วยแขนเสื้อตัวนั้น ชุดอภิเษกตัวใหญ่โอบกอดนางไว้อย่างเปลี่ยวเหงา ในขณะที่นางไม่เคยได้สัมผัสอ้อมกอดของบีพาอัน กโยซึลก็ยังสามารถสัมผัสมันได้จากชุดของเขา กโยซึลผู้ซึ่งถูกโอบกอดด้วยเสื้อผ้าอันไร้ไออุ่นของร่างกายค่อยๆ เอ่ยขึ้นอย่างช้า ๆ
“แม่นม เราขอถามอะไรหน่อยสิ”
“เพคะ พระชายา”
แม่นมซึ่งยืนอยู่ข้างประตูตอบกลับโดยหันหน้าไปทางกโยซึล กโยซึลไม่ได้มองไปที่แม่นม นางยังคงอยู่ในอ้อมกอดดของชุดนั้น
“ความรักคืออะไรหรือ”
เป็นคำถามที่ไม่คาดคิด และมีอะไรให้ต้องครุ่นคิดมากมายนัก เป็นสิ่งที่ตอบยากเหลือเกิน
“พระชายาเพคะ”
หลังจากเงียบไปนาน แม่นมก็พูดขึ้นมาอย่างช้าๆ
“หม่อมฉันเพียงแค่หวังให้พระชายามีความสุขเพียงเท่านั้นเพคะ”
ถามเรื่องความรัก แต่กลับตอบกลับมาเรื่องความสุขเสียได้ หรือหากต้องการมีความรักจะต้องมีความสุขกันนะ กโยซึลกระพริบตาช้าๆ พลางมองที่แม่นม แม้จะอยู่ห่างไกลออกไปอีกฟากหนึ่ง ทว่า
กโยซึลเองก็รู้สึกสายตาของแม่นมที่จ้องมองมาที่ตนเอง
“ไม่ว่าจะทรงเลือกเช่นไร กระหม่อมก็จะอยู่ข้างพระชายาเสมอเพคะ”
“ไม่ว่าเราจะเลือกแบบไหน”
พูดแบบนี้ ดูเหมือนว่าแม่นมจะพอรู้ว่าทางที่กโยซึลจะเลือกมันอยากที่จะถูกยอมรับได้
“ทว่า” แม่นมเลือกปั้นคำพูดอย่างยากลำบาก “ทรงมีผู้ที่รักและห่วงใยพระชายา มากกว่าที่ทรงคิดไว้นะเพคะ”
“ฮึ ช่างปากหวานเสียจริง”
“หม่อมฉันได้เห็นมากับตาแล้วเพคะ” แม่นมพูดตัดบทกโยซึลที่กำลังหัวเราะอย่างประชดประชัน
“ในขณะที่ทรงป่วยอยู่บนแท่นบรรทม มีผู้คนมาเยี่ยมไข้มากนักเพคะ แม้แต่คนที่พระชายาไม่อาจคาดคิด ก็ยังมาที่นี่เพคะ”
“เรารู้สึกขอบคุณพวกเขายิ่งนัก”
“เช่นนั้นแล้ว ขอทรงโปรดตั้งสติให้ดีเถิดเพคะ”
ไหนว่าจะอยู่ข้างกันเสมออย่างไร แล้วนี่อะไรกัน กลับมาบอกให้ตั้งสติเสียอย่างนั้น ที่บอกให้ตั้งสติ หมายความว่าจิตใจของกโยซึลกำลังล่องลอยไปมาอยู่อย่างนั้นหรือ แล้วถ้าเช่นนั้นควรนำสติของตนไปไว้ที่ใดกันล่ะ ความคิดมากมายนับไม่ถ้วนกำลังวนเวียนไปมาในหัวเล็กๆ ของกโยซึล
“องค์ฮวางแทจาทรง…”
กโยซึลจับชุดอภิเษกของบีพาอันไว้แน่น นางเลื่อนสายตามองลงไปข้างล่าง และหลังจากกัดริมฝีปากหลายครั้ง นางก็ถามคำถามที่สงสัยแต่ยากที่จะถามออกมาได้ด้วยความยากลำบาก
“พระองค์เสด็จมาที่นี่อย่างนั้นหรือ”
“เรื่องนั้น…”
ดวงตาของแม่นมสั่นระริก ปลายเสียงของนางแผ่วลง เพราะไม่อาจตอบออกไปได้โดยง่าย ทว่า
กโยซึลพอจะคาดเดาได้จากความลังเลของแม่นม
“พอแล้วล่ะ” กโยซึลพูดพลางโบกมือให้แม่นมที่ไม่สามารถตอบคำถามตัวเองได้ แม่นมกัดริมฝีปากยุบยับจากนั้นก็พูดออกมา
“พระชายาเพคะ อันที่จริงแล้ว…”
“ไม่เป็นไรหรอก เรารู้ดีว่าเราไม่ควรคาดหวังความเมตตาจากฮวางแทจาน่ะ”
พี่เลี้ยงมองลงพื้นด้วยสีหน้าเจ็บปวด พร้อมคำตอบที่ไม่อาจพูดออกไปได้เวียนวนอยู่ในปากของนาง
***
ในที่สุดกโยซึลก็สามารถออกไปข้างนอกได้โดยได้รับความเห็นชอบจากแพทย์หลวง แต่นางได้รับอนุญาตให้ออกไปได้แค่ภายในรอบๆ บริเวณตำหนักดงบีเท่านั้น ที่จริงนางฟื้นตัวเต็มที่และมีสุขภาพดีมากแล้ว หาได้เป็นดังที่ทุกคนกังวล ขณะที่กโยซึลกำลังเดินเล่นรอบๆ พระราชวังตะวันออก นางก็ได้มาแวะที่ห้องหนังสือ นางมองไปรอบๆ ชั้นหนังสือ ตรวจดูด้วยดวงตาที่เป็นประกาย สายตาของนางมองขึ้นไปยังชั้นหนังสือด้านบน
“หนังสือที่เรามองหามักอยู่ด้านบนเสมอเลย”
กโยซึลบ่นพลางยื่นมือออกไป แน่นอนว่ามันไปไม่ถึง นางจึงนำบันไดเล็กๆ ที่วางอยู่ข้างชั้นหนังสือมา แล้วขึ้นไปยืนบนนั้น ปลายนิ้วของนางสัมผัสกับหนังสือแบบเฉียดๆ กโยซึลขมวดคิ้วมุ่นแล้วออกแรงเพิ่ม ตอนนี้นางจึงยืนเขย่งเท้า พร้อมกระโดดเบาๆ
“โอ๊ย”
ไม่รู้ว่าเพราะออกแรงเยอะไป หรือเพราะมันสูงเกินไปกัน ปลายนิ้วของนางจึงไปกระแทกกับตัวกั้นชั้นเข้าให้ จึงทำให้เสียสมดุลเซไปมา ศูนย์กลางของปลายเท้าก็เสียไปด้วย หากเสียการทรงตัวบนบันไดแคบๆ นี้ นางต้องตกลงไปที่พื้นอย่างแน่นอน กโยซึลหลับตาลงอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากมันไม่ได้สูงขนาดนั้น นางจึงยอมปล่อยตัวให้ตกลงมาง่ายๆ
กึก นางตกลงมาจากขาบันไดไม้เล็กๆ แต่ไม่ได้ล้มหรือกระแทกกับชั้นหนังสือด้านหลัง
“หืม?”
ดวงตาที่เคยปิดสนิทก็เปิดขึ้นอีกครั้ง กโยซึลลุกยืนขึ้นตรง มือที่โอบกอดนางไว้ช่างแสนอบอุ่น นางรู้สึกถึงแผ่นอกอุ่นของใครบางคนที่กำลังโอบกอดอยู่ด้านหลัง