ตัวเอกพวกนั้นฉันฆ่าเองแหละ (The Protagonist Are Murdered by Me) - ตอนที่ 19
อาจจะเป็นเหมือนกับที่ฉันได้คาดการณ์ไว้ตั้งแต่เริ่ม
[สกิล นักล่าตัวเอกเลเวล 2 ได้ถูกเปิดใช้งาน]
[ทักษะและสกิลของตัวเอกที่ถูกล่าสำเร็จจะถูกแสดงขึ้นมา]
พรสวรรค์
ความหลงไหลในความยิ่งใหญ่ (S+) การท่องจำ (A)
ความไร้ยางอาย (A-) เสน่ห์ (B)
เวทมนตร์ (D) การเรียนรู้ (E)
ความสงบนิ่ง (F) สติปัญญา (F)
ความสามารถด้านการพูด (F)
ทักษะ
ย้อนเวลา (ตัวอง) (SSS+) สูตรเวทมนตร์พิเศษลำดับที่ 9 ของอาราเซลลี่ (ดัดแปลง) (SSS)
การหมุนเวียนมานาของอาราเซลลีลำดับที่ 40 (SS) ห้องสมุดในจิตใจ (S)
การแปลงมานาของอาราเซลลี (A-)
ใช่แล้ว
ฟิโอเลนนั้นไม่ใช่นักเวทย์อัจฉริยะ
และสิ่งที่ยูซอดัมต้องการมากกว่าสิ่งอื่นใดในตอนนี้ก็คือพรสวรรค์ทางด้านเวทมนตร์
แล้วในที่สุด
[คุณประสบความสำเร็จในการล่าตัวเอกเลเวล 70]
[เลเวลของคุณเพิ่มขึ้น 5]
[ 700 วันของอายุขัยได้ถูกเพิ่มเข้ามา]
[อายุขัยคงเหลือ : 2075 วัน 11 ชั่วโมง 47 นาที]
[ทักษะของฟิโอเลน การหมุนเวียนมานาของอาราเซลลีลำดับที่ 40 (SS) ได้ถูกดูดกลืน]
เมื่อมองดูไปที่หน้าต่างสกิลที่ค่อนข้างจะถูกก่อกวนด้วยคำว่า ‘อาราเซลลี’ ในหลาย ๆ สกิล สุดท้ายแล้วฉันก็ได้ดูดกลืนทักษะแรกที่ฉันได้เห็นฟิโอเลนนั้นใช้ออกมา
ฉันหวังว่าฉันจะได้รับสกิล สูตรเวทมนตร์พิเศษแรงค์ (SSS) นั้น
แต่ฉันยังคงมองในแง่บวกอยู่
สกิลที่ฉันได้ดูดกลืนไปนั้นมันก็ค่อนข้างดีในตัวมันเองอยู่แล้ว
ไม่สิ มันสุดยอดไปเลยหละ
แม้กระทั้ง ‘วิธีการดูดซับมานาเข้าสู่ร่างกายที่ดีที่สุด’ ที่มีอยู่บนโลกยังเป็นแค่แรงค์ C เท่านั้นเอง
ถึงแม้ว่าฉันจะไม่สามารถดูดซับมานาได้ดีมากนักในตอนก่อนหน้านี้ แต่ฉันในตอนนี้ได้รับสกิลแรงค์ SS ที่สามารถที่จะทำแบบนั้นได้แล้ว
การหมุนเวียนมานาของอาราเซลลีลำดับที่ 40
สกิลนี้ได้อนุญาตให้แม้แค่คนธรรมดาทั่วไปก็สามารถที่จะดูดซับมาด้วยการอนุญาตให้มานาไหลเข้าไปจนทั่วร่างกายและไปรวมตัวกันอยู่ที่บริเวณสมอง,หัวใจ และกระเพาะอาหารให้เต็มไปด้วยมานา
<อาราเซลลีเป็นอัจฉริยะที่ไม่ธรรมดาเป็นคนที่ได้สร้างเวทมนตร์ที่ก้าวล้ำทั้งทวีปไปไกลมากกว่าหลายร้อยปีค่ะ>
<หนึ่งในความสำเร็จที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเธอคือการหมุนเวียนมานาของอาราเซลลีที่จะอนุญาตให้คนทุกคนในอีก 20 ปีต่อจากนี้สามารถที่จะใช้เวทมนตร์>
อาราเซลลีจะกลายมาเป็นจอมเวทย์ขั้นที่ 9 ในอนาคต ซึ่งเป็นคำนำหน้าที่เธอสมควรได้รับแล้ว
ถ้าพรสวรรค์ของเธอสามารถที่จะมองเห็นได้ บางทีมันอาจจะเป็น [เวทมนตร์ (SSS)] ก็ได้
นี่น่าจะเป็นพรสวรรค์ของอาราเซลลีที่แสนจะล้นเหลือและโคตรสุดที่เธอมี
‘นอกจากนั้นแล้วก็ยังมี ย้อนเวลา (ตัวเอง) (SSS+)’
เจ้าสกิลแรงค์ SSS+ นี้อนุญาตให้ตัวเอกฟิโอเลนย้อนเวลากลับไปในอดีตได้
มันสามารถที่จะใช้ได้ครั้งเดียวและมันอนุญาตให้คนเพียงคนเดียวย้อนเวลากลับไปในจุดที่เขาอ่อนแอที่สุดอีกด้วย
มันแน่นอนเลยว่าถ้าฉันได้สกิลนี้ไป การได้รับสกิลก็คงถูกยกเลิกไปแน่นอนเพราะงั้นแล้วฉันก็เลยไม่ได้ผิดหวังอะไร
ฉันล้มลงบนพื้นในห้องทดลองของฉัน
เวลาได้ผ่านไปหนึ่งวันตั้งแต่จบจากการเข้าดันเจี้ยนนั้นและก็ความตายของฟิโอเลยคนที่ได้รับการตราหน้าว่าเป็นจอมเวทมนตร์ดำ
ซอดัมที่ได้ระงับการย้อนกลับไปที่โลกยังคงอาศัยอยู่ในสถาบันต่อไป
เวทมนตร์
เพื่อที่จะสำเร็จในการใช้งานเวทมนตร์ให้ได้อย่าน้อยหนึ่งบท
มีการวาดวงเวทย์ที่ซับซ้อนลงบนพื้น ฉันได้นั่งลงตรงด้านหน้าของมันและหายใจเข้าลึก ๆ
วงเวทย์นี้ดูซับซ้อนถ้าได้มองไปที่มันแต่ในความเป็นจริงแล้วมันเป็นเวทมนตร์ที่พื้นฐานที่สุดและง่ายที่สุดที่แม้แต่นักเรียนที่พึ่งจะเข้ามาในสถาบันวิเวียนด้าก็คงจะเย้ยหยันเมื่อได้มองไปที่มัน
ถ้าให้เปรียบเทียบกับที่โลกแล้วมันเป็นแค่ความรู้ทั่วไปของระดับมัธยมเอง
อย่างไรก็ตาม โชคไม่ดีเลยที่ฉันไม่รับการศึกษาเบื้องต้นในวิชาเวทมนตร์และฉันมีความรู้สึกที่ว่า ‘การเรียนรู้’ มันก็เป็นพรสวรรค์เหมือนกัน
ถึงแม้ว่าฉันจะได้เรียนเวทมนตร์ตั้งแต่สองเดือนก่อนแล้วก็ตามฉันไม่ได้เข้าใจสูตรเลยและทำได้แค่จำมันแล้วเลียนแบบมันเท่านั้นเอง
ใช่แล้ว
วงเวทย์ของฉันนั้นหยาบกระด้างมาก
ฉันปิดตาของฉันลงและยืดมือไปข้างหน้าของวงเวทย์นี้
ฉันสามารถที่จะรู้สึกได้ถึงพลังงานที่ไม่รู้จักกำลังเผาไหม้ออกมาจากหัวใจของฉันเอง ทันใดนั้นมันไปผ่านไปที่สมองของฉันแล้วกลับเข้ามาที่หัวใจอีกครั้ง และสุดท้ายก็ไปที่ท้องของฉันในทันที
ประสบการณ์ที่ฉันเคยได้รับจากการดูดซับมานานั้นเหมือนกับการที่เราตักเม็ดทรายขึ้นมาจากชายหาดโดยการใช้ตะเกียบ
ก่อนหน้านั้น ฉันจะได้เห็นและรับรู้ว่าถึงตัวตนของมานาแต่แน่นอนว่ามันเป็นไม่ได้ที่จะตักทรายด้วยตะเกียบใช่ไหมหละ?
อย่างไรก็ตามสกิล การหมุนเวียนมานาของอาราเซลลีแรงค์ SS นั้นเปรียบเสมือนกับเป็นรถโฟคลิฟ (ผู้แปล : รถยกของในโรงงานตามที่เข้าใจแหละครับ)
ถ้าก่อนหน้านี้ฉันเคยตักทรายด้วยตะเกียบแล้วหละก็ในตอนนี้ตะเกียบนั้นได้กลายเป็นรถโฟคลิฟแล้ว
วิ้ง….!!
วงเวทย์นี้ได้เริ่มที่จะเรืองแสงขึ้นมาอย่างช้า ๆ
นี่เป็นครั้งแรกที่เวทมนตร์ได้ตอบสนองกับมานาที่เป็นเอกลักษณ์ของฉัน
เวทมนตร์เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งอย่างแท้จริง
ถ้าพลังพิเศษได้มาจากการดูดซับอีเทอร์เข้าสู่ร่างการและขึ้นรูปมัน งั้นเวทมนตร์ก็คือความจำเป็นในการคำนวณทางคณิตศาสตร์และพัฒนารูปร่างของมัน
นั้นก็คือไม่ว่าใครก็ตามที่ศึกษาเวทมนตร์สามารถที่จะทำบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายกับพลังพิเศษได้
หลักฐานก็คือ
เจ้ากระดาษแผ่นที่วางอยู่ตรงหน้าฉันที่กำลังลอยขึ้นไปในอากาศอย่างช้า ๆ
สายลมที่กำลังเคลื่อนไหวได้ตามที่ความตั้งใจของฉันเอง
แล้วสายลมก็หายไปในเวลาแค่แป๊บเดวเท่านั้นเองและกระดาษก็ได้ตกลงมาบนพื้นแต่นี้มันก็เพียงพอแล้ว
ไม่สิ ไม่ใช่แค่พอแล้ว
มันเยี่ยมไปเลยต่างหากหละ
ฉันต้องการที่จะโห่ร้องให้กับตัวเองตอนนี้เลยด้วยซ้ำ
คนอย่างฉันที่ไม่มีพรสวรรค์สำหรับพลังพิเศษใด ๆ เลย ได้ประสบความสำเร็จในเวทมนตร์!
ด้วยสิ่งนี้ ฉันแน่ใจว่า
แม้ว่าฉันจะไม่มีพลังพิเศษใดเลยก็ตามฉันยังสามารถที่จะเรียนรู้และใช้เวทมนตร์แทนได้
แม้ว่าฉันจะยกกระดาษแผ่นบาง ๆ ให้ลอยขึ้นมาได้เท่านั้นเองแต่ฉันกลับรู้สึกเหมือนกับว่าหัวใจของฉันได้รับการเติมเต็มและโลกทั้งใบอยู่ในกำมือของฉันเลยหละ
อัจฉริยะคงจะไม่เคยรับรู้ความรู้สึกแบบนี้หรอก
‘ฟู…’
หลังจากนั้นแปบหนึ่ง ฉันได้ค่อย ๆ ลุกขึ้นจากพื้น
แล้วฉันก็เซไปด้านหน้าในจังหวะที่ฉันกำลังเกรงขาเพื่อยืนขึ้นมาดังนั้นฉันเลยรีบจับไปที่โต๊ะเพื่อที่จะพยุงตัวฉันได้ไม่ให้ล้มลงไป
ฉันได้เคลื่อนที่กระดาษแผ่นบาง ๆ ด้วยการใช้เวทมนตร์เท่านั้นเองนะและนี้คือผลลัพธ์ของมัน
ถ้ามันไม่ใช่ว่าฉันมีการหมุนเวียนมานาของอาราเซลลีแล้วหละก็ฉันอาจจะหมดแรงข้าวต้มไปก่อนที่จะร่ายเวทมนตร์สำเร็จก็ได้
ในตอนนี้ฉันได้ทดสอบความสามารถของฉันในการใช้เวทมนตร์แล้ว
มันถึงเวลาแล้วที่จะกลับไปที่โลก
ด้วยความคิดนั้นในใจฉันได้ทำความสะอาดห้องทดลองของฉัน
มันเป็นที่ที่พวกเราได้อยู่ด้วยกันมานานเกือบสองเดือนมันคงทำให้ฉันรู้สึกคิดถึงมันเหมือนกันและหลังจากนี้ฉันคงจะไม่สามารถที่จะกลับมาที่นี้ได้อีกแล้ว
ก๊อก ก๊อก!
“…!”
เมื่อถึงเวลาที่ฉันจะต้องกลับโลกก็มีเสียงเคาะได้ดังออกมาจากฝั่งตรงข้ามประตู
ทั้ง ๆ ที่ฉันสามารถที่จะกลับไปได้เลยแต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ฉันกลับต้องการที่จะรู้ว่าคนที่เคาะประตูคือใคร
“นั้นใครนะ?”
[ศาสตราจารย์ค่ะ นี่ฉันเอง อาราเซลลีค่ะ]
“…หืม? เข้ามาสิ”
ประตูได้เปิดออกและอาราเซลลีกับผมสีดำยาวที่สยายออกของเธอได้เข้ามาในห้องอย่างระมัดระวัง
ด้วยเหตุผลบางอย่างดูเหมือนว่าเธอไม่สามารถที่จะเรียกคือความมั่นใจได้อย่างเต็มที่เหมือนอย่างที่เธอเคยเป็นในตอนที่พวกเราได้เจอฉันครั้งแรกและฉันก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเหมือนกัน
ฟิโอเลนได้ตายไปแล้ว
ด้วยภาพลักษณ์จอมปลอมที่เขาได้สร้างขึ้นมามันก็ควรที่จะพังทลายไปพร้อมกับเขาด้วยซิ
แต่นี่ไม่ได้ดูเหมือนว่าภาพลักษณ์ของอาราเซลลีจะพัฒนาขึ้นในทันทีเลยสักนิด
แทนที่จะเป็นอย่างนั้นสำหรับสองเดือนที่ผ่านมาภาพลักษณ์ของอาราเซลลีกลับตกลงอย่างต่อเนื่องแทน
“อะไรกันค่ะ”
“นี่คุณ…”
อาราเซลลีแอบมองไปรอบ ๆ ห้องแลบแล้วเธอก็ได้เห็นชุดที่ยูซอดัมใส่อยู่
“…ฉันคิดว่าคุณกำลังจะจากไป ฉันเลยมาเพื่อที่จะบอกลาค่ะ”
“เธอรู้ได้ยังไงกัน?”
“นี่ ฉันแค่รู้สึกอย่างนั้นค่ะ”
ฉันไม่ได้บอกใครเลยว่าฉันกำลังจะจากไป
แม้ว่าฉันจะได้พูดคุยกับศาสตราจารย์คนอื่นบ้างแต่ฉันไม่ได้สนิทกับพวกเขา
ฉันคิดว่าฉันคงจะไม่ได้เจอพวกเขาอีกแล้วในตอนที่ฉันออกไปจากที่นี่
ในทำนองเดียวกันนั้นเองฉันก็ไม่ได้แล้วไปสนิทสนมกับนักเรียนคนไหนเลยเช่นกัน
ทั้งในตอนนี้และในอนาคตด้วย
ฉันจะต้องเดินทางผ่านโลกและมิติอื่น ๆ อีกมากมายต้องเจอผู้คนอีกมาก
และถ้าฉันให้ความรู้สึกของเองกับคนอื่นในทุก ๆ ครั้งฉันคงจะไม่สามารถที่จะคงสภาพจิตใจไว้ได้แน่
ฉันเคยได้สูญเสียความสัมพันธ์ไปมากแล้วและฉันก็ยังคงได้รับผลจากมันอยู่
“ก่อนที่คุณจะไป ฉันต้องการที่จะพูดว่า ขอบคุณนะคะ”
“ขอบคุณ? ขอบคุณเรื่องอะไรกัน?”
“แค่…กับทุก ๆ เรื่องที่คุณได้ทำ ขอบคุณค่ะ”
อาราเซลลีกัดริมฝีปากของเธอเล็กน้อย
ตามจริงแล้วฉันรู้แหละ
ว่าส่วนไหนที่เธออยากจะขอบคุณฉัน?
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ สิ่งหนึ่งที่ฉันได้ค้นพบเกี่ยวกับเธอก็คือเธอเป็นคนที่มีจิตใจบอบบาง
เธอได้รับความพ่ายแพ้จากฟิโอเลนต่อหน้าสาธารณะและสงสัยว่าเธอควรจะเลิกเรียนเวทมนตร์ดีไหม
ฉันเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่าเธอจะมีจิตใจที่อ่อนแอเช่นนี้เหมือนกัน นี่มันเป็นช่วงเวลาเพียงแค่สองเดือนของการบูลลี่เท่านั้นเอง
ฉันไม่สามารถที่จะเข้าใจเธอได้
อาราเซลลีแทบจะมีเก่งกาจที่มากเทียบเท่ากับตัวเอกเลยแต่ว่ากลับมีข้อบกพร่องมากมายในจิตใจของเธอ
“ยังไงก็ขอบคุณศาสตราจารย์ค่ะ ฉันได้รับความมั่นใจกลับมาแล้วมันทำให้ฉันสามารถที่จะเรียนรู้เวทมนตร์ได้อย่างมั่นใจ…ดังนั้นแล้วฉันต้องการที่จะบอกความรู้สึกนี้ของฉันก่อนที่คุณจะจากไปค่ะ”
อาราเซลลีเป็นตัวละครรอง
เป็นตัวละครรองที่ได้เสียความสำเร็จของเธอทั้งหมดให้กับตัวเอง
เพราะงั้นมันถึงว่าเป็นโชคชะตาของเธอที่จะต้องถูกตัวเอกแย่งเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปจากเธออย่างนั้นหรอ?
แล้วเธอจะไม่กลายมาเป็นตัวร้ายในอนาคตหรือยังไงกัน
ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน
อย่างไรก็ตามมีจุดสำคัญอยู่หนึ่งจุดก็คือ
เธอจะกลายมาเป็นจอมเวทตร์ที่ยอดเยี่ยมในอนาคตข้างหน้านี้ด้วยความแข็งแกร่งของตัวเธอเอง
เพราะว่าเธอมีความมั่นใจในตัวเองสำหรับคนที่ได้รับการพิจารณาว่าเป็นอัจฉริยะและสามารถที่จะนำพาเวทมนตร์ในโลกของเธอให้ก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว
แต่ในตอนนี้ความมั่นใจของเธอได้แตกเป็นเสี่ยง ๆ ไปแล้ว
บางทีในอนาคตข้างหน้าโลกใบนี้คงจะถูกสั่นคลอนเล็กน้อยเนื่องจากตัวตนของฟิโอเลน
และจากแต่เดิมที่เธอเคยได้ทำให้ชื่อของเธอได้แพร่หลายไปคนมากมายจากเหตุการณ์ดันเจี้ยนเมลก้าจึงได้รับโอกาสที่จะพบปะพูดคุยกับจอมเวทมนตร์ระดับปรมาจารย์จำนวนมากและสำเร็จเวทมนตร์ที่โดดเด่นมากมายในไทม์ไลน์เก่า
แต่ในตอนนี้แม้แต่จุดเริ่มต้นก็ยังถูกเบี่ยงเบนออกไป
ฉันไม่ได้เป็นคนที่ชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้านหรอกนะ
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างฉันแค่ต้องการที่จะทำมัน
“ผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังการอัญเชิญสฟิงซ์นรกในความเป็นจริงแล้วเป็นคนอื่นนะ”
“…ค่ะ?”
“เขายังคงสั่งการอยู่เบื้องหลังที่สถาบันแห่งนี้และฉันไม่รู้ว่าเขากำลังคิดที่จะทำอะไรต่อไป”
ฉันคงพูดได้มากเท่านี้
แค่รู้ว่าคนร้ายยังคงลอยนวลอยู่ อาราเซลลีจะใช้จิตวิญญาณที่ยอดเยี่ยมของเธอเพื่อที่จะจับจอมเวทมนตร์ดำนั้นแน่นอน
ถ้าเธอทำมันสำเร็จเธอก็จะได้รับชื่อเสียงของเธอกลับคืนมา
“จับเขาซะ”
ฉันไม่ได้บอกเหตุผลว่าทำไม
อย่างไรก็ตาม บางทีเธออาจจะเข้าใจมันในอนาคตข้างหน้านี่เอง
มีโอกาสจำนวนนับไม่ถ้วนที่จะเข้ามาจากการล่าจอมเวทมนตร์ดำคนนี้
“…แล้ว ตอนนี้คุณจะไปแล้วใช่ไหมค่ะ”
“ใช่แล้ว นี้ไม่ใช่ที่ที่ฉันควรจะอยู่…บางทีนี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันมาที่นี้แล้ว”
“นี่…ฉันเข้าใจแล้วค่ะ”
อาราเซลลีได้ลังเลไปครู่หนึ่งแล้วถามออกมาว่า
“…พอจะโอกาสบ้างไหมค่ะ ที่คุณจะบอกว่าคุณกำลังจะไปที่ไหน?”
“มันเป็นที่ที่เธอคงจะไม่มีวันหามันเจอ”
ในทุกวันนี้ เรื่องของมิติจำนวนมากกลายเป็นเรื่องธรรมดาบนโลกไปแล้ว
ตัวเอกที่มาพร้อมกับแฮชแท็ก ‘นักเดินทาง’ และดันเจี้ยนบนโลกที่มีความเกี่ยวข้องกับมิติ และแม้กระทั้งฉัน ‘นักเดินทางข้ามมิติ’
อย่างไรก็ตามนี้ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เกิดจากความชาญฉลาดของมนุษย์
มนุษยชาติไม่สามารถที่จะแค่หยิบเอาความรู้เกี่ยวกับมิติมาแบบสุ่ม ๆ ได้
มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
ดังนั้นแล้วความน่าจะเป็นที่อาราเซลลีจะรับรู้ในเรื่องของมิติด้วยความชาญฉลาดของมนุษย์นั้นมีความเป็นไปได้ที่เป็นศูนย์
สำหรับเหตุผลนั้นเอง
เพื่อให้เป็นเหมือนกับของขวัญแทนการจากลาชั่วนิรันดร์ ฉันได้ให้ของขวัญกับเธอ
มันเป็นเหมือนพิธีกรรมประเภทหนึ่งที่ทำให้สามารถที่จะละทั้งความรู้สึก ความผูกพันที่ฉันเกือบจะรู้สึกถึงมันไปชั่วขณะหนึ่งได้
“นี่คือ…”
“มันคือกระสุน”
“กระสุน…?”
มันเล็ก,สวยงาม,และยังเป็นสิ่งมีพลังทำลายล้างที่สามารถฆ่ามอนสเตอร์ได้ในทันที
“นอกจากนี้แล้วปล่อยวางความรู้สึกที่ยังค้างคาอยู่ของเธอออกไป”
“หืม? นี่คุณกำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่ค่ะ….!”
หลังจากที่ได้พูดในสิ่งที่ต้องพูดไปแล้ว ฉันได้เปิดประตูห้องทดลองออกและก้าวออกไป
พร้อมกับกระสุนที่อยู่ในมือของอาราเซลลี เธอได้เดินตามเขาไป
“หืม…?”
แต่ไม่ว่าเธอจะมองไปที่ไหนก็ตาม
เธอก็ไม่เจอเขาเลย
ไปแล้ว
โดยไม่พูดแม้แต่คำว่าลาก่อน
เหมือนกับว่าเขาไม่เคยมีตัวตนอยู่ที่นี้
“…อะไรกัน นี่คุณจะจากไปตลอดการณ์แบบนี้จริง ๆ นะหรือคะ?”
กำกระสุนนัดนี้ไว้ในมือของเธอแน่น อาราเซลลีกัดริมฝีปากของเธอ
คำพูดนั้นที่ยูซอดัมได้พูดออกมาได้ดังสะท้อนไปมาในหัวของเธอ
‘มันเป็นที่ที่เธอคงจะไม่มีวันหามันเจอ’
อย่างไรก็ตามเธอกลับคิดต่างออกไป
“เวทมนตร์…เป็นโลกที่คำว่า ‘ไม่มีวัน’ ไม่มีตัวตนอยู่”
เวทมนตร์ทั้งหมดถูกห้ามการใช้คำว่าไม่มีวันเข้ามาอธิบายมัน
ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยเวทมนตร์เพราะว่ามันมีความเป็นไปได้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด
ดังนั้นแล้วคำพูดของศาสตราจารย์นั้นย้อนแย้งกันเอง
“ครั้งหน้าที่เราเจอกัน ฉันจะชี้ให้เห็นความย้อนแย้งนี้เองค่ะ”
เมื่อคิดงั้นแล้ว อาราเซลลีได้ก้าวต่อไปข้างหน้า
ถนนเส้นที่ได้ถูกปูไว้เรียบร้อยแล้ว
ในตอนนี้มีแค่สิ่งเดียวเท่านั้นที่ยังเหลืออยู่คือวิ่งไปบนทางนี้เท่านั้น
……………………………………………………..
ด้วยเหตุผลบางอย่างฉันมีความรู้สึกที่หวานอมขมกลืน
นี่มันโอเคแล้วจริงหรือที่จะจากมาแบบนี้?
ด้วยความคิดเช่นนั้นเองฉันได้ปล่อยความรู้สึกทุกอย่างทิ้งไป
เพราะคิดว่านี้คงเป็นทางที่ดีที่สุดแล้ว
[ภารกิจสำเร็จลุล่วง กำลังดำเนินการกลับสู่โลกเดิม]
[ช่วงเวลาได้กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว]
ฉันรู้สึกได้ชั่วขณะหนึ่งว่าฉันกำลังลอยอยู่ในพื้นที่ที่แรงโน้มถ่วงเป็นศูนย์
แล้วกลิ่นที่คุ้นเคยก็พุ่งเข้ามาชนจมูกของฉัน
ห้องเล็ก ๆ ของฉันเอง
กลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของตึกเก่า ๆ ที่ถูกสร้างมานานกว่า 30 ปีแล้ว…และเบียร์หรอ?
ฉันวางมือของฉันลงบนดาบอีเทอร์โดยสัญชาตญาณและรีบมองดูไปรอบ ๆ ห้องของฉัน
แล้วในตอนนั้นเอง
ฉันก็ได้เห็นว่าทีวีที่อยู่ตรงกลางห้องนี้เปิดอยู่
มีคนที่อยู่ในสภาพที่ใส่เพียงแค่ชุดชั้นในกำลังนั่งดื่มเบียร์อยู่อย่างสบายอารมณ์
“…เทเลอร์?”
เมื่อตาของเราได้สบกัน เจ้าของทรงผมสั้นสีเงินที่เป็นประกายได้แสดงสีหน้าประมาณว่า ‘ดีใจที่เจอนายนะหลังจากที่ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ’
ชื่อของเธอคือเทเลอร์ไนน์
ยอดมนุษย์แรงค์ S ที่ทำงานให้กับรัสเซีย
และเป็นคนรู้จัก ที่ฉันเคยได้ตกลงกันไว้ว่าจะเดินไปบนเส้นทางของฮันเตอร์ด้วยกันเมื่อ 15 ปีก่อน
เทเลอร์คนที่มีคราบเบียร์ติดอยู่ที่มุมปากของเธอได้ปาดมันออกไปอย่างรวดเร็วแล้วกระพริบดวงตาสีทองของเธอแล้วพูดว่า
“น-นายกำลังทำอะไรอยู่นะ?”
…มันควรจะเป็นฉันหรือป่าวที่ถามคำถามนั้นออกมา?