ตัวเอกพวกนั้นฉันฆ่าเองแหละ (The Protagonist Are Murdered by Me) - ตอนที่ 22
“ฮ่าฮ่า ๆ ไอ้พวกโง่เง่าเต่าตุ่นเอ้ย พวกแกทำให้ฉันขำแทบตายเลย”
ในขณะที่ได้ตั้งแคมป์ใกล้กับทางเข้าของดันเจี้ยนเทเลอร์ได้หัวเราะออกมาจนหมดแรงเมื่อพวกนักข่าวได้สัมภาษณ์เธอ
ลอสเดย์ได้พยายามเป็นอย่างมากในการที่จะตีความดันเจี้ยนนี้ดังนั้นเมื่อพวกเขาล้มเหลวกระแสตอบรับของพวกนักข่าวเลยเป็นดังตอนนี้
เทเลอร์ไม่พลาดโอกาสในการตะโกนออกไปว่า “แกมันโง่ แกควรที่จะบริหารจัดการให้มันดีกว่านี้สิ!”
แต่โชคร้ายที่คำพูดส่วนมากของเธอถูกกรองทิ้งไปโดยนักข่าว
ผู้ทำการสัมภาษณ์มักถูกวิพากษ์วิจารณ์สำหรับการรายงานบทวิจารณ์ที่เกินจริงไปอยู่แล้วทำให้ในตอนนี้พวกเขาพยายามที่จะทำให้การรายงานของพวกเขามันเล็กลง!
แม้กระทั้งยูซอดัมก็ยังพูดไม่ออกเช่นกัน
ทหารเหล่านี้ได้พยายามที่จะเข้าควบคุมสถานการณ์กับนักข่าวพวกนี้แต่พวกเขาก็ยังคงเข้ามาได้โดยอาศัยพวกโดรนอยู่ดี
ในทางกลับกันลอสเดย์ยังคงเงียบสนิทอยู่
ไม่มีอะไรดีเลยที่จะไปพูดถึงสิ่งต่าง ๆ ในตอนนี้
เทเลอร์นั้นกำลังหัวเราะไปที่พวกเขาอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นแต่แล้วเธอก็หันหน้ากลับไปมองที่ซอดัมอย่างในทันที คนที่แสดงสีหน้าที่จริงจังบนใบหน้าของเขา
คิ้วของเขาได้ย่นเข้าหากัน
‘ไอ้เจ้าคนผิดปกตินี้ นายยังมีความรู้สึกที่ติดค้างกับลอสเดย์อยู่อีกหรือไง?’
ตั้งแต่ที่ลอสเดย์ได้ก็ก่อตั้งขึ้นซอดัมก็ได้อยู่ที่นั้นนานถึง 12 ปี
ในตอนแรกเริ่มเดิมทีเขาอยู่ด้วยเหตุผลเพียงเหตุผลเดียวหรือไม่ก็เหตุผลใดเหตุผลหนึ่งแต่ในตอนหลังนั้น…
‘เฮลเกตกลายเป็นเหตุผลหลักของเขา’
เฮลเกต
หลุมแปลกประหลาดที่ปรากฏขึ้นที่ใจกลางของมหาสมุทรแปซิฟิกในวันหนึ่ง มันเป็นสถานที่ที่ระบุไม่ได้ที่สิ่งต่าง ๆ ที่ขัดกับหลักสามัญสำนึกได้ปรากฏออกมา
ทำไมมันถึงปรากฏออกมา,มีอะไรอยู่ภายใน,หรือไม่ก็มันคงสภาพไว้ได้อย่างไร,มนุษยชาติไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับมัน
ถึงจะเป็นแบบนั้นก็ยังมีฮันเตอร์ที่ได้ท้าทายมันอย่างต่อเนื่องด้วยความหวังที่ว่าจะพิชิตมันได้
ยูซอดัมก็เป็นหนึ่งในฮันเตอร์ที่เคยได้ท้าทายมันเช่นกัน
มีคนพูดกันว่าฮันเตอร์ส่วนใหญ่ได้ตายลงที่นั้น ยังเป็นการพูดที่ดูเข้าข้างตัวเองเกินไปเลย
เพราะว่าอัตราการรอดชีวิตคือ 0.3%
และส่วนมากของคนเหล่านั้นที่รอดชีวิตกลับมาได้ไม่สามารถที่จะคงสภาพจิตใจของพวกเขาไว้ได้ หรือไม่ก็กลายเป็นคนพิกลพิการที่ทำให้มันยากที่จะใช้ชีวิตอยู่แบบคนปกติได้ไม่ใช่แค่การเป็นฮันเตอร์เพียงอย่างเดียวเท่านั้นแต่เป็นทั้งชีวิตของเขาเลยหละ
ถึงแม้ว่าความรู้สึกที่ฮันเตอร์เหล่านั้นได้รับขณะที่อยู่ด้านในจะได้รับแตกต่างกันไปก็ตามแต่มีหนึ่งสิ่งที่พวกเขาทั้งหมดรู้สึกเหมือนกันคือ ‘ความหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด’
มันมีกรณีที่มีชื่อเสียงของฮันเตอร์แรงค์ S ที่รอดชีวิตออกมาจากเฮลเกตได้แต่เมื่อเขาได้กลับมาใช้ชีวิตในสังคมปกติเขาได้ฉี่ลาดกางเกงของเขาเองเมื่อเขาได้เห็นมอนสเตอร์แรงค์ F เขาทำเหมือนกับว่าเขาไม่มีวันที่จะสามารถรับมือกับมอนสเตอร์ได้อีกต่อไป
‘ฉันไม่รู้เลยว่าอะไรที่นายเห็นด้านในนั้น’
เทเลอร์ไม่เคยเข้าไปที่นั้น
ดังนั้นเธอไม่รู้ว่าอะไรที่ยูซอดัมได้ประสบพบเจอด้านใน
อย่างไรก็ตามเธอรู้ว่ายูซอดัมต้องมีเรื่องที่ยังค้างคาอยู่หลังจากที่ได้กลับมาการเฮลเกตนั้น
นั้นแหละที่ว่าทำไมมันถึงได้เป็นปัญหา
เมื่อสองสามปีก่อนกฎหมายระหว่างประเทศได้เปลี่ยนไปทำให้มีเพียงแค่ฮันเตอร์แรงค์ A หรือสูงกว่าเท่านั้นที่สามารถเข้าไปในเฮลเกตได้
ยูซอดัมยังคงมีเรื่องที่ยังค้างคากับเฮลเกตอยู่แต่เขาไม่สามารถที่จะเข้าไปได้เพราะว่าเขาไม่ใช้ยอดมนุษย์
อย่างไรก็ตามด้วยการใช้อำนาจของลอสเดย์มันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นไปไม่ได้เสมอไป
เทเลอร์คิดว่ามันเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ว่าทำไมซอดัมยังคงอยู่กับกิลด์ที่แม้ว่าเขาจะได้รับการอยู่แลที่แย่มากจากคนพวกนั้นและเธอก็ยังคิดว่านี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงแสดงสีหน้าที่จริงจังบนใบหน้าของเขาในตอนนี้ราวกับว่าเขามีความรู้สึกที่ประสมปนเปกันไป
“เฮ้ อย่าบอกฉันนะว่านายยังคงมีความรู้ที่ค้างคากับกิลด์นั้นอยู่นะ?”
เทเลอร์ได้ถามออกมาพร้อมกับกัดฟัยของเธอแน่นเหมือนกับว่าเธอนั้นโกรธอยู่จริง ๆ
“…อะไรนะ? นี่เธอกำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไรอยู่นะ? ฉันยังแข็งแกร่งไม่พอดังนั้นฉันเลยคิดว่าต้องทำอย่างไรฉันถึงจะกระทืบพวกมันได้นะสิ”
ซอดัมมองไปที่เทเลอร์ราวกับว่าเขากำลังมองไปที่สิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดสุด ๆ อยู่เลย
……………………………………………………..
ลอสเดย์ยังคงเงียบเฉยต่อสื่อเช่นเดิม
เหตุผลนั้นง่ายมาก
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะล้มเหลวในการตีความดันเจี้ยนนี้ยูฮารามคิดว่าถ้าพวกเขาสามารถจัดการได้เป็นอย่างดีข้างในดันเจี้ยนนั้นจนถึงจุดที่ว่าไม่มีใครสักคนที่สามารถปฏิเสธมันได้ ภาพลักษณ์ของพวกเขาจะได้รับการกู้กลับคืนมา
ด้วยการรับรู้ความจริงในข้อนี้เองที่ทำให้พวกนักข่าวได้พากันวิ่งไปที่นั้น และลอสเดย์ยังคงรอคอยอย่างเงียบเฉยจนกว่ามันจะได้เวลา
เป็นแบบนี้จนถึงตอนที่รายงานได้ถูกส่งกลับมา
“ผู้ได้รับสิทธิในการเข้าดันเจี้ยนได้ปฏิเสธในการให้ผู้อื่นเข้าไปครับ”
“…อะไรนะ?”
เพื่อตอบคำถามให้กับนักตีความแรงค์ A ของลอสเดย์ ฮานยูจอนคนที่มีใบให้ที่ค้างอยู่กลับไป
“อะไรนะครับ พูดอีกครั้งได้ไหมครับ?”
เขาได้หันไปหาเจ้าหน้าที่และถามอีกครั้งเพราะว่าเขาไม่สามารถที่จะเชื่อมันได้ลงแต่เจ้าหน้าที่ที่มีสีหน้าที่อึดอัดใจได้พูดออกมาเหมือนเดิม
“ใช่ครับ ผู้ได้รับสิทธิในการเข้าดันเจี้ยนได้ปฏิเสธ…”
“ไม่สิ ฉันรู้เรื่องนี้ แต่ทำไมมันถึงแบบนี้ได้หละ?”
ในกรณีของดันเจี้ยนที่ไม่สามารถที่จะเข้าไปได้ ‘สิทธิในการเข้าถึง’ จะถูกมอบให้กับคนแรกที่ค้นพบวิธีการที่เข้าไปได้
เพื่อที่จะหยุดฮันเตอร์จากการเข้าไปโดยไม่สนใจสิ่งใดเลยและตายไปอย่างโง่ ๆ กฎหมายระหว่างประเทศมีผลบังคับใช้ซึ่งระบุไว้ว่าบุคคนที่ได้รับสิทธิในการเข้าถึงจะได้รับสิทธิในการให้คนอื่นรวมทั้งกองทัพเข้าไปได้
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือมันมีช่องว่างที่เพียงพอสำหรับการหาผลประโยชน์ให้กับตนเอง
“มันต้องมีเหตุผลสิ พวกเขาได้พูดอะไรบ้างหรือป่าว?”
“ใช่ครับ เกี่ยวกับสิทธิในการเข้าถึงดันเจี้ยนนี้ ฮันเตอร์ยูซอดัมได้บอกไว้ว่าด้วยความแข็งแกร่งของเขามันก็มากพอแล้ว…”
“ไอ้เหี้-เอ้ย”
ไม่เหมือนกับกิลด์อื่น ๆ และสหภาพฮันเตอร์ที่เพียงแค่อยากรู้อยากเห็นทั่วไป ลอสเดย์นั่นได้โมโหเป็นอย่างมาก
ดันเจี้ยนนี้มีความหมายเป็นอย่างมากกับลอสเดย์
เงินกว่าหมื่นล้านวอนได้ถูกลงทุนไปไม่ใช่แค่ในเรื่องภาพลักษณ์ของพวกเขาแต่เพื่อที่จะได้รับ ‘ความรู้ที่ระบุไม่ได้’ ที่มีตัวตนอยู่ภายในดันเจี้ยนนั้น
ลอสเดย์ได้ลงทุนไปอย่างมหาศาลเพื่อที่จะเปิดเผยความรู้ที่พิเศษเป็นอย่างมากนี้ที่มีเพียงไม่กี่คนบนโลกนี้เท่านั้นที่รู้
ยูฮารามหายใจเข้าลึก ๆ
‘ไม่สิ เขาเป็นแค่ฮันเตอร์แรงค์ F เท่านั้นเองถึงแม้ว่าเขาจะไปพร้อมกับนางผู้หญิงบ้าแรงค์ S นั้น…ฉันไม่คิดว่าสองคนนั้นจะสามารถที่จะทำได้ทุก ๆ อย่าง’
ในทางตรงกันข้ามถ้าพวกเขาล้มเหลวในการโจมตีดันเจี้ยนนี้พวกสื่อต่าง ๆ จะพากันหันหลังให้กับยูซอดัมคนที่ได้รับความชื่นชมเป็นอย่างมากในเวลานี้
ดังนั้นความสนใจของทุกคนจะเบี่ยงเบนไปจากลอสเดย์
มันเป็นโอกาสที่ดีเลยหละ
ยูซอดัมจะต้องทำให้เกิดความผิดพลาดเช่นเดียวกับที่ลอสเดย์ได้ทำไปก่อนหน้านั้น
‘มันน่าปวดหัวจริง ๆ ตั้งแต่ที่แกได้ทำแบบนั้นกับพวกเรา…’
‘ไม่ใช่ว่าแกทำมันมามากพอแล้วหรอ?’
……………………………………………………..
เมื่อมองผ่านประตูขนาดใหญ่เข้าไปเป็นภาพเบลอ ๆ ของพื้นที่ที่เต็มไปด้วยสีสันที่ได้เข้าสู่สายตา
เทเลอร์ไนน์ได้เหวี่ยงไม้เบสบอลของเธอไปในอากาศพร้อมด้วยการแสดงออกยังกับว่าเธอได้ทำ ‘โฮมรัน’ ไป แล้วเธอก็พูดขึ้นมาว่า
“เฮ้ นี่นายแน่ใจนะว่าพวกเราแค่สองคนมันจะพอนะ?”
มันเป็นคำถามที่เป็นธรรมดาเมื่อพิจารณาว่ามันเป็นดันเจี้ยนที่บิดเบี้ยว
อุปกรณ์เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ไม่สามารถที่จะตรวจวัดแรงค์ของดันเจี้ยนนี้ได้ไม่ว่าจะเป็นประเภทของมอนสเตอร์หรือปรากฏาการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นอยู่ภายใน
เป็นโลกที่ขัดไปจากหลักสามัญสำนึก
แม้แต่เทเลอร์ก็ช่วยไม่ได้ที่จะกังวลเกี่ยวกับการไปในสถานที่เช่นนี้
อย่างไรก็ตาม ฉันรู้ดีเลย
ว่าดันเจี้ยนนี้ซึ่งไม่สามารถที่จะตรวจวัดด้วยอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ได้สร้างขึ้นมากจากมานาและสำหรับดันเจี้ยนที่บิดเบี้ยวนี้มันมีมานาที่ส่งออกมาที่อ่อนแอเป็นอย่างมาก
ถึงแม้ว่ามานาที่ส่งออกมาจะเป็นแรงค์ A ระดับของมันก็คงจะต้องมากกว่านั้นหรืออย่างน้อยก็ต้องเป็นดันเจี้ยนแรงค์ S
ภายใต้สถานการณ์ปกติจะต้องใช้ฮันเตอร์แรงค์ S อย่างน้อยสามคนเพื่อโจมตีดันเจี้ยนแรงค์ S
และไม่ใช่ว่าฉันใส่แค่อุปกรณ์เกรด 2 อย่างนั้นหรอ?
นี่คงจะมากเกินไปด้วยซ้ำที่จะพยายามเข้าไปในดันเจี้ยนแรงค์ B
เมื่อมองดูเพียงผิวเผินมันดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย
แต่มันไม่มีปัญหาอะไรหรอก
ฉันแน่ใจเลย
“ถ้าพวกเราล้มเหลวและตายด้วยกันทั้งคู่หละการฉันจะสาปแช่งนายหลังจากที่ตายไปแล้ว”
“มันโอเคน้า ฉันรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่”
ต้องขอบคุณ คุณลูกค้าที่ทำให้ฉันสามารถที่จะคาดเดาได้ถึงชื่อของดันเจี้ยนนี้
<โลกใบนี้คือพระราชวังเวทมนตร์ที่ล้มสลายของจักรวรรดิจูลซ่าค่ะ>
พระราชวังเวทมนตร์
เหมือนกับที่ชื่อของมันได้บอกไว้ว่าสถานที่นี้มีความเกี่ยวข้องกับเวทมนตร์
อย่างไรก็ตามความแตกต่างใน ‘การพัฒนา’ สามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจน
เมื่อครั้งก่อนในตอนที่ฉันกำลังซ่อมแซมวงเวทย์ฉันได้เกิดความสงสัยขึ้นมา
มันกลายเป็นว่าเวทมนตร์ในจักรวรรดิจูลซ่านั้นแย่ยิ่งกว่าที่จักรวรรดิวิเวียนด้าเสียอีก
ถ้าจะเปรียบเทียบง่าย ๆ ให้เห็นภาพหละก็มันเหมือนความแตกต่างระหว่างเทคโนโลยีในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 กับของในช่วงกลางศตวรรษที่ 21 หรือไม่ก็มีความแตกต่างกันมากกว่า 100 ปี
แต่ไม่เหมือนกับวิทยาศาสตร์ ความแตกต่างในเวทมนตร์เมื่อเปรียบเทียบกับเทคโนโลยีเป็นเรื่องที่ว่าเวทมนตร์สามารถที่จะสามารถสร้างความได้เปรียบมากกว่าในเรื่องของความรู้ความเข้าใจในเวทมนตร์ที่ด้อยกว่าได้ทำให้สามารถที่ก่อให้เกิดเวทมนตร์ที่ก้าวล้ำกว่าขึ้นมาได้
ถึงแม้ว่าความรู้ของฉันสามารถที่จะพิจารณาว่าเป็นแค่ระดับของเด็กประถมและมัธยมต้นที่สถาบันวิเวียนด้าและแม้ว่าฉันจะไม่สามารถที่จะควบคุมเวทมนตร์ได้ ฉันก็ยังสามารถที่จะ ‘เห็นมัน’ ได้
…เหมือนกับศาสตราจารย์ที่สถาบันวิเวียนด้าฉันได้เรียนรู้อย่างขยันขันแข็ง
“ฉันจะส่งสัญญาณออกมาถ้ามันมีอันตรายแล้วสถานการณ์ดูไม่ดีขึ้นเลยกิลด์ ‘เลคาเดน’ และ ‘กล็อค’ ได้ถามฉันแล้วว่าพวกเขาสามารถที่จะก้าวเข้าไปและทำการช่วยเหลือได้ไหมนะ”
“อะไรนะ? ทำไมเป็นพวกเขาหละ?”
“มันไม่ใช่ว่าเราเกลียดแค่ลอสเดย์หรอกหรองั้นแล้วการช่วยเหลือพวกเราและการโจมตีดันเจี้ยนจะช่วยเสริมภาพลักษณ์ในกับพวกเขาเธอไม่คิดว่ามันเป็นล่านกสามตัวด้วยหินก้อนเดียวหรอกหรอ?”
“อ้า…จริงรึ? เป็นอย่างนั้นนี้เอง? มันมีเรื่องแบบนั้นด้วยสินะ?”
ฉันจะไม่เข้าไปในดันเจี้ยนโดยปราศจากมาตรการรับมือแน่นอน
เพราะฉันให้ค่ากับชีวิตของตัวฉันเอง
เพราะงั้นแล้วมันมีอยู่หนึ่งสิ่งที่อยู่ในใจของฉัน
ในตอนที่ฉันได้หันไปมองรอบ ๆ สมาชิกหลายคนของลอสเดย์ได้กำลังจ้องมองมาที่ฉันจากทางด้านข้าง
ว้าววถ้าการจ้องมองสามารถฆ่าคนได้หละก็นะ
หลบเลี่ยงจากสายตาของพวกเขาฉันได้หัวเราะออกมาและพูดขึ้น
“เข้าไปกันเถอะ”
[กำลังเข้าสู่ดันเจี้ยน พระราชวังเวทมนตร์ของจักรวรรดิจูลซ่าที่ล้มสลาย]
ด้วยความรู้สึกที่เหมือนกับว่าติดอยู่ที่ไหนสักที่ โลกก็ได้เปลี่ยนไปในพริบตา
ความรู้สึกมันเหมือนกับการเดินทางไปโลกอื่นเพื่อที่จะฆ่าตัวเองพวกนั้นแต่มันต่างกันเล็กน้อย
ในทันทีที่ฉันได้ลืมตาขึ้นมา
ภายใต้ภาพพระอาทิตย์ตกดินเป็นฉากหลังที่แสนน่าประทับใจ พระราชวังเวทมนตร์ขนาดมหึมาที่ถูกทำลายได้แล้วครึ่งหนึ่งก็ได้เข้ามาสู่สายตา
“ว้าววว”
[คำเตือน! บทส่งท้ายของโลกใบนี้ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว]
“หืม?”
ฉันเอียงหัวของฉันเมื่อได้เห็นข้อความนี้
ถ้าบทส่งท้ายได้จบลงไปแล้วนั้นก็หมายความว่ามันคือจุดจบ
แล้วคุณลูกค้าก็ได้พูดออกมา
<เมื่อตัวเอกได้สำเร็จเรื่องราวของพวกเขา โลกของพวกเขาจะสูญเสียความหมายของมันไปค่ะ>
<ในอีกความหมายหนึ่งก็คือตัวตนของโลกใบนั้นจะอยู่ในขั้นตอนการดับสูญค่ะ>
<ไม่เหลืออารายธรรมใด ๆ มีเพียงแค่โลกที่เหลือ>
<ถ้าคุณไม่ออกจากที่นี้ในตอนที่โลกนี้ได้ถูกทำลายโดยสมบูรณ์แล้วหละก็ตัวตนของคุณจะอยู่ในอันตรายค่ะ>
นี้มันเรื่องห่าอะไรกันครับเนี่ย
เธอควรที่จะบอกฉันก่อนที่จะเข้ามาสิฟระ
ฉันได้ประหลาดใจไปเพียงชั่วครู่และได้ถอนหายใจออกมา
ไม่ว่าดันเจี้ยนนี้จะพังลงหรือไม่ก็ตามมันก็ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลง
แต่ไอ้เจ้า ‘บทส่งท้าย’ ของโลกก็ยังดูน่ารำคาญเล็กน้อยอยู่นะ
“เออะ”
หลังจากที่ส่ายหัวของฉันเอง ฉันได้วาดบางสิ่งด้วยช็อกลงบนพื้น
เทเลอร์ได้มองมาที่ฉันอย่างแปลก ๆ แต่ฉันก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไร
“เรียบร้อย ตอนนี้ไปกันเถอะ”
เทเลอร์และฉันได้เดินเข้าไปในทางเขาของพระราชวังเวทมนตร์นี้
ทางเข้านั้นดูธรรมดา
มันเหมือนกับวงเวทย์ที่ถูกวาดอยู่ที่ทางเข้าของดันเจี้ยนนี้ มันได้เปิดออกอย่างรวดเร็วเมื่อฉันได้เพิ่มเส้นหลายเส้นที่เหมือนกันให้กับมัน
ทันใดนั้นเองภาพของทิวทัศภายในก็ได้เข้ามาสู่สายตา
เทเลอร์และฉันได้ตรวจสอบด้านในจากที่ไกลออกไปด้วยการใช้กล้องส่องทางไกลของพวกเรา
มันมีสิ่งสีชีวิตที่มีสองขาที่สร้างมากโลหะสีดำกำลังเดินไปมาอยู่รอบ ๆ มีแสงสีน้ำเงินที่ได้เปล่งประกายออกมาจากบริเวณที่น่าจะเป็นดวงตาของพวกมัน
“บ้าน่า นั้นมันโกเลมใช่ไหม?”
“ไม่ใช่ มันเป็นกาเดี้ยนต่างหากหละ”
โกเลมและกาเดี้ยน
เมื่อมองเพียงครั้งแรกสิ่งมีชีวิตทั้งสองนี้ดูคล้ายกันมาแต่ตามจริงแล้วมันมีความแตกต่างกันอยู่
โกเลมเป็นสสารที่อยู่ตามธรรมชาติที่ได้รับหัวใจมาแล้วกลายมาเป็นสิ่งมีชีวิตเพราะงั้นมันเลยมีหลากหลายประเภทไม่ว่าจะเป็นโกเลมไฟ,น้ำ,ดิน…
ในอีกความหมายหนึ่งก็คือมันเป็นรูปแบบของ ‘จิตวิญญาณ’
แต่กาเดี้ยนเป็นสิ่งสิ่งชีวิตเวทมนตร์
มันคล้ายกับหุ่นยนต์ในบางส่วน
หุ่นยนต์พลังงานที่มีการเชื่อมต่อกันระหว่างวงจรและโลหะ
กาเดี้ยนเหล่านั้นทั้งหมดและวงจรของพวกมันนั้นฉันเห็นได้อย่างชัดเจนเลยหละในสายตาของฉัน
ฉันเป็นเรื่องที่ธรรมดามากที่มันรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังอ่านหนังสือภาพสำหรับผู้ใหญ่อยู่เลยหละ(ผู้แปล : ฮันแน่!)
พูดให้ง่ายก็คือมันเป็นเครื่องจักรสังหาร
ดังนั้นแล้ว โครงสร้างของพระราชวังนี้มันเป็นอย่างไงกันแน่?
สถาปัตยกรรมของวิเวียนด้านั้นชัดเจนเลยว่าได้รับการส่งเสริมด้วยเวทมนตร์
อย่างไรก็ตามเวทมนตร์นั้นได้ถูกซ่อนไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในขณะที่สถานที่นี้นั้นแตกต่างออกไป
วงจรพวกนี้สามารถที่จะมองเห็นได้อย่างชัดเจน
‘เหมือนกับที่คาดเอาไว้เลย…ฉันสามารถที่จะคาดเดาโครงสร้างของพระราชวังนี้ได้เลย เยี่ยม ฉันเดาว่าในตอนนี้มันคงไร้ความหมายแล้วสินะ’
เมื่อฉันได้คิดเกี่ยวกับมัน
วิ้งวิ้ง!!
ทันใดนั้นเองก็ได้มีเสียงสัญญาณเตือนดังขึ้นในหูของฉัน
เป็นเสียงเตือนที่สามารถได้ยินด้วยตัวฉันเองเพียงคนเดียว
มันเป็นเวทมนตร์พื้นฐานทั่วไป ‘สัญญาณเตือนเขตแดน’
มันถูกใช้งานน้อยมากที่วิเวียนด้านเพราะว่ามันเหมือนกับของเด็กเล่นและคงจะไร้ความหมายถ้าใครบางคนรู้เกี่ยวกับเวทมนตร์เพียงเล็กน้อย
แต่ที่นี้ไม่มีสักคนที่รู้หรือสัมผัสเวทมนตร์ได้
นั้นหมายความว่ามีผู้บุกรุกได้แอบเข้ามาในดันเจี้ยนนี้แล้ว
ฉันได้หัวเราะคิกคัก
แม้ว่าหนึ่งในคนที่เข้ามาสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
มันมีทั้งหมดสามคน
ไม่ต้องสงสัยเลยมันเป็นพวกยอดมนุษย์ทั้งสามคนของลอสเดย์ที่ได้ใช้วิธีการอะไรบ้างอย่างในการที่จะแอบเข้ามา
คนพวกนี้ไม่ได้เป็นหนึ่งในพวกที่ยึดถือและทำตามกฎหมายหรืออะไรพวกนั้นอยู่แล้วตั้งแต่แรก
ตั้งแต่ที่พวกเขาได้ลงทุนไปหมื่นล้านวอนฉันก็ได้คาดเดาเรื่องนี้ไว้แล้ว
แต่ฉันก็ยังคงที่จะตกตะลึงไปโดยพฤติกรรมที่หน้าด้านไร้ยางอายของพวกเขาอยู่ดี
บางทีการที่พวกเขาได้ทำแบบนี้มันอาจทำให้เกิดความเสี่ยงครั้งใหญ่เลยก็ได้
“เทเลอร์ พวกเรามีแขกหละ ฉันคิดว่าพวกเราควรที่จะเดินหน้าต่อไปในดันเจี้ยนนี้เรื่อย ๆ ได้แล้ว”
“โอ้ว บัดซบจริงเลย ไอ้คนพวกนี้มันน่ารำคาญจริง ๆ เลย”
“เธอทำตามแผนเดิม ฉันจะไปเพียงลำพัง”
“อะไรนะ? ฉันควรทำแบบนั้นงั้นหรอ?”
ฉันค่อย ๆ มองผ่านเข้าไปที่ด้านในของพระราชวัง
เวทมนตร์นี้นั้นเหมาะสมและมองเห็นได้อย่างชัดเจนเป็นอย่างมากจนหน้าประหลาดใจเลย
นี้เป็นแค่ครั้งที่สองเท่านั้นที่ฉันได้เจอกับเวทมนตร์ของจริงแต่ฉันแน่ใจได้เลยว่า
เวทมนตร์ของพระราชวังนี้ก็คงจะไม่ต่างกันมากหรอก
ดังนั้นแล้วถ้าสิ่งก่อสร้างนี้ถูกสร้างขึ้นมาโดยการใช้เวทมนตร์แล้วหละก็…มันหมายความว่าสถานที่นี้นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยเวทมนตร์
“ฮ่าฮ่า ๆ”
ฉันเก็บดาบอีเทอร์และปืนอีเทอร์ของฉันเข้าไป
ของพวกนี้ไม่จำเป็นสำหรับตอนนี้เลย
จากจุด ๆ นี้มันไม่ใช่ฮันเตอร์ยูซอดัมอีกต่อไปแล้วแต่เป็นจอมเวทย์ยูซอดัมต่างหากหละ