ตัวเอกพวกนั้นฉันฆ่าเองแหละ (The Protagonist Are Murdered by Me) - ตอนที่ 27
วิชาดาบของเอลล่านั้นอยู่ในขั้นของระดับที่น่าเชื่อถือ
เธอพึ่งจะเริ่มเรียนวิชาดาบเมื่อหนึ่งปีก่อนในตอนที่อายุ 15 ปีเท่านั้นเองแต่ในตอนนี้เธอได้เก่งกว่าเซเลสเต้ที่ได้รับการพิจารณาว่าเป็นอัจฉริยะบนโลกไปเรียบร้อยแล้ว
แม้ว่านี้จะเป็นเปรียบเทียบแค่ในเรื่องของเทคนิคดาบที่ไม่ได้นับในเรื่องของความสามารถทางด้านร่างกายก็ตาม
เพราะว่าถ้านับในเรื่องของการควบคุมดาบของเธอแล้วความสามารถของเธอมันเหนือยิ่งกว่าฉันเสียอีกเนื่องจากว่าเธอนั้นมีสกิลแรงค์ SS+
ดังนั้นเพื่อที่จะทำให้ฉันสามารถสอนเอลล่าได้ฉันจะต้องแสดงดาบของฉันแต่ว่าฉันไม่ได้ต้องการที่จะทำแบบนั้นดังนั้นฉันได้ขอให้อัศวินหนุ่มบางคนแถวนั้นประลองกับเธอแทน
“อย่าออมมือของนายในตอนที่กำลังประลองกับเจ้าหญิงเด็ดขาด”
ดังนั้นแล้วฉันได้แกล้งทำเป็นว่าได้กำลังสอนอย่างตั้งใจในขณะที่กำลังดูพวกเขาประลองด้วยกันอยู่ด้านข้าง
“อะแฮม ท่าทางของเธอดูดีนะแต่ท่าทางมันดูสับสนไปหน่อยนะ”
บางครั้งฉันก็ต้องแม้แต่ใช้คำที่ดูเป็นนามธรมไปหน่อยเพราะว่าฉันกำลังแกล้งทำตัวว่าเป็นอาจารย์ของเธอ
แน่นอนว่าถ้าฉันโกหกไปแบบโง่ๆฉันอาจจะถูกจับได้ก็ได้ดังนั้นฉันต้องผสมความรู้จากอีกโลกหนึ่งเข้าไปด้วย
หลังจากนั้นพวกเราก็มาที่น้ำตกที่อยู่ลึกเข้าไปในหุบเขามากมาย
มันไม่ได้เป็นเรื่องที่ยากมากที่จะเข้าถึงที่นี้ด้วยการใช้อัศวินหลายสิบคนในการคุ้มกันเรามาที่นี้
ช่า!!
ณ ตอนนี้เอลล่าและฉันนั้นกำลังนั่งอยู่บนหินแล้วปล่อยให้น้ำตกซัดมาที่แผ่นหลังของพวกเรา
มันเป็นครั้งแรกเลยที่ฉันมาทำเรื่องอะไรแบบนี้และมันเจ็บมากกว่าที่ฉันคิดได้ซะอีก
“อ้า อืม”
เอลล่าที่ถูกน้ำตกซัดอยู่ได้ขมวดคิ้วขึ้น
ฉันทำแบบนี้ทำไมนะหรอ?
มันเป็นการฆ่าเวลาด้วยบทเรียนที่ไร้สาระ
อันดับแรกเลยเพราะว่าฉันไม่สามารถที่จะสอนวิชาดาบให้กับเธอที่มีพรสวรรค์สูงกว่าฉันได้
นอกจากนี้แล้วมันคงจะเป็นเรื่องโง่มากที่จะสอนศัตรูที่ฉันจะต้องฆ่าเองกับมือ
ดังนั้นแล้วฉันเลยใช้ “น้ำตกกับวิธีการฝึกทำสมาธิ” ที่สามารถพบได้ตามนิยายกำลังภายในทั่วไป
‘เจ้าหญิง วิชาดาบนะไม่ใช่เพียงแค่การถือดาบเพียงเท่านั้น’
‘ถ้างั้นแล้วมันคืออะไรหละค่ะ?’
‘ผมนะเคยได้ถือดาบอย่างไร้จิตวิญญาณมามากแล้วในอดีตแต่เมื่อถึงจุด จุดหนึ่งความก้าวหน้าของผมก็ได้เจอกับคอขวดนั้นเป็นตอนที่ผมได้รู้ว่าผมไม่ได้มีพื้นฐานที่ดีมากเพียงพอดังนั้นผมไม่มีทางเลือกเลยต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมดอีกครั้งด้วยเส้นทางที่แตกต่างกันออกไปจากที่เคย’
‘แล้ว…’
‘ตรงหน้าของเจ้าหญิงนับจากตอนนี้ผมจะสอนเจ้าหญิงถึงวิถีทั้งสามที่เรียกกันว่า หัวใจ ร่างกาย และ จิตวิญญาณ’
สิ่งที่ฉันได้พูดไปนั้นมีจริงเพียงแค่ 0.0002% แต่แล้วมันจะเป็นอะไรหละถ้าอาจารย์ของเธอบอกให้เธอทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้?
มันก็เหมือนกับนักเรียนทั่วๆไปมันไม่มีใครคิดที่จะถามอาจารย์ของตนหรอกว่ามันเป็นจริงหรือป่าว
ดังนั้นฉันก็แค่ฆ่าเวลาด้วยการปล่อยให้ร่างกายและจิตใจโดนน้ำตกซัดอยู่แบบนี้โดยที่ไม่ได้มีจุดประสงค์อะไรเลย
“…อ้า! ฉันคิดว่าฉันจับเค้าลางของอะไรบางอย่างได้แล้วค่ะ”
[ตัวเอกเอลล่าได้เกิดจากรู้แจ้ง]
…เออ นี้มันบ้าอะไรกันครับเนี่ย?
……………………………………………………..
ฉันประเมินความสามารถของคนที่มีคุณสมบัติเป็นตัวเอกต่ำไปจริงๆ
ฉันไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเป็นไปได้ที่คนเราจะได้รับการรู้แจ้งด้วยการทำสิ่งง่ายๆเช่นการมองใบไม้ล่วงหรือการหยิบก้อนหินที่อยู่ตามข้างทางขึ้นมา
นั้นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมฉันไม่สามารถที่จะทำตัวประมาทเมื่ออยู่ข้างๆตัวเอกได้
โชดยังดีอยู่ที่เลเวลของเอลล่าไม่ได้เพิ่มขึ้น
แต่ถึงอย่างนั้นดาบของเธอกลับเร็วและทรงประสิทธิภาพยิ่งกว่าเดิม
ไม่เหมือนกับตัวฉันที่ตอนนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเปกันไป คนอื่นในคฤหาสน์นี้ได้บ้าคลั่งกันไปเรียบร้อยแล้ว
มันเป็นรูปแบบการฝึกฝนที่พิเศษเป็นอย่างมากที่ทำให้ทุกคนสนใจขึ้นมา
โลกใบนี้เป็นโลกที่แม้กระทั้งนักดาบก็สามารถที่จะตัดแม่มดแยกออกเป็นสองส่วนได้
แม้จะเป็นอย่างนั้นก็ตามแต่ไม่ว่าจะท่ามกลางนักดาบที่มีประสบการณ์โชกโชนเป็นอย่างมากก็แล้วไอ้วิธีการไร้สาระอย่างการฝึกฝนด้วยวิธีการใช้น้ำตกนั้นเป็นบางสิ่งที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อนเลยในชีวิตของพวกเขาและพวกเลยคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้อย่างแรกเลยเอลล่านะยังไงก็ยังมี ‘การแก้ไขของตัวเอก’ คอยจัดการในทุกเรื่องให้อยู่แล้วดังนั้นแล้วการที่จะได้รับการรู้แจ้งหลังจากที่ถูกซัดด้วยน้ำตกนะมันจะเป็นไปไม่ได้อย่างไร
แม้ว่าเรื่องนี้มันจะไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์อะไรกับฉันก็ตาม
หลังจากที่ได้พิสูจน์ว่าฉันเป็นปรมาจารย์ไปอย่างลวกๆเมื่อตอนนั้นแล้วความน่าเลื่อมใสของฉันได้มั่นคงในสายตาของคนอื่นไปแล้วแต่ในตอนนี้มันได้เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมด้วยซ้ำหลังจากที่เอลล่าได้รับการรู้แจ้งจากวิธีการที่ไม่ธรรมดาของฉัน
“เซอร์ซอดัมครับ เออ วิธีการฝึกฝนของคุณ…พอที่จะสอนผมได้ไหมครับ?”
อีเรชเคยพูดไว้ว่าปรมาจารย์ดาบคนอื่นนั้นไม่ได้มาเยือนที่นี้มาเป็นสิบปีแล้ว
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมเขาถึงได้ขอประลองกับฉันในทันทีที่พวกเราได้เจอหน้ากัน
“ก็แค่…ถอดเสื้อของนายออกแล้วก็ไปให้น้ำตกนั้นซัดนายซะ…”
“โอ้ววว ขอบคุณครับ”
เอาจริงๆเลยนะการที่ต้องการโกหกคนที่ซื่อสัตย์เช่นอีเรชแบบนี้แล้วมันช่างทิ่มแทงจิตสำนึกฝ่ายดีของฉันเสียจริงแต่ฉันไม่สามารถที่จะหยุดมันได้แล้วในตอนนี้
“ฮึบ!”
แคว้ก!
ดาบไม้ที่ถูกฝาดลงมานั้นได้ทำให้เกิดเสียงที่ดูน่าเหลือเชื่อนี้และอัศวินก็ได้ทรุดลง
แม้แต่อัศวินวัยกลางคนก็ไม่ได้สามารถที่จะตีโดนเอลล่าได้แล้วในตอนนี้
เพลงดาบของเธอนั้นค่อนข้างที่จะน่าสนใจแต่แย่หน่อยที่ฉันไม่ได้อยู่ในระดับที่จะสามารถไปเลียนแบบมันได้
เพลงดาบนั้นไม่ได้แค่เรื่องเกี่ยวกับการเคลื่อนที่เท่านั้นแต่มันยังรวมไปถึงว่าเวลาไหนที่คุณต้องหายใจซึ่งจะต้องได้รับการเรียนรู้
ถึงแม้ว่าฉันจะไม่สามารถที่จะคัดลอกมันออกมาได้อย่างเต็มศักยภาพ ฉันก็ยังสามารถที่จะเลียนแบบมันได้บางส่วน
เช่นว่า‘ผู้หญิงที่มีร่างกายเล็กต้องทำอย่างไรถึงจะออกชนะศัตรูของพวกเธอได้’
‘ต้องทำอย่างไรจึงจะเหนือกว่าอีกฝ่ายแม้ว่าจะอ่อนแอกว่าในเรื่องของความแข็งแกร่งและความเร็วก็ตาม’
แม้ว่าตั้งแต่ที่ฉันได้รับพรสวรรค์วิชาดาบนี้มามันทำให้การมองไปที่สิ่งต่างๆที่ถูกสร้างขึ้นจากดาบจะทำให้ฉันมีความสุขดังนั้นแล้วมันไม่ได้แปลกสำหรับฉันเลยที่จะมองไปที่เพลงดาบของเอลล่า
แม้ว่าฉันจะเป็นศัตรูกับเธอฉันก็ยังประทับใจกับความก้าวหน้าของเธอแล้วกับคนอื่นๆที่อยู่ที่นี้มันจะเป็นยังไงกันหละ?
“โอ้วเหมือนที่กระผมคาดได้เลยขอรับคุณหนูทรงน่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก”
“คุณหนูชนะอีกแล้วนะเจ้าค่ะ”
เหล่าสาวใช้ที่อยู่ด้านหลังเปล่งเสียงอุทานออกมาด้วยความชื่นชมยินดี
ฉันเป็นคนที่มีความทรงจำที่ดีในเรื่องการจำใบหน้าของผู้คนและฉันก็ผู้ว่าพวกคนเหล่านี้เคยผ่านอะไรกันมาบ้าง
สาวใช้วัยรุ่นที่มีผมสั้นและใบหน้าที่เป็นกระคนนั้น
เธอเป็นคนที่กำลังทุกข์ทรมานกับเรื่องราวที่แสนเจ็บปวดในอดีตในตอนที่เธอได้เห็นแม่มดตนสุดท้ายนั้นแยกพ่อแม่ของเธอออกเป็นสองส่วนต่อหน้าต่อตาของเธอและเธอยังคงต้องใช้ชีวิตแบบดิ้นรนอยู่ทุกๆวันภายในคฤหาสน์แห่งนี้
สาวใช้วัยกลางคนที่แต่งกายตัวเสื้อผ้าตัวหนาๆ
สามีของเธอเป็นหนึ่งในทหารรับจ้างที่เข้าร่วมในสงครามเพื่อที่จะฆ่าแม่มดตนสุดท้ายแต่เขาไม่เคยได้กลับมาและในตอนนี้เธอก็กำลังรับใช้เจ้าหญิงเอลล่าอยู่
สาวใช้ในวัย 20 ปีที่มีผมสีน้ำตาลยาวสลวย
เธอได้สูญเสียครอบครับทั้งหมดของเธอให้กับแม่มดตนสุดท้ายร่วมไปถึงตาซ้ายกับนิ้วมือขาวของเธอทั้งสามน้ำ
ไม่มีใครสักคนที่ต้องการสาวใช้ที่พิการและมันก็เป็นเจ้าหญิงเอลล่าที่ได้มองมาที่เธอด้วยความใจดี
ถ้าพูดความจริงเลยหละก็ตอนนี้ฉันเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเปกันไป
เรื่องที่เอลล่าต้องถูกฆ่านั้นได้รับการสรุปไว้ล่วงหน้าแล้วแต่ฉันค่อนข้างที่จะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจที่ต้องทำให้หัวใจของคนเหล่านี้นั้นต้องเจ็บปวดอีกครั้ง
แล้วมันก็เป็นอีกครั้งที่ฉันนั้นไม่ได้มีเวลามากพอที่จะมาใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้
นอกจากกล่าวมาทั้งหมดนี้แล้วเหล่าแม่มดก็ยังคงเป็นปีศาจที่ชั่วร้ายโดยสมบูรณ์ในโลกใบนี้
พวกเขา…ไม่ได้ใส่ใจอะไรเกี่ยวกับชีวิตของมนุษย์ธรรมดาเลย
มันเป็นเรื่องธรรมดา
มันเหมือนกับเด็กที่เอาแว่นขยายมาเผามดด้วยความอยากรู้อยากเห็น
แม่มดเหล่านี้ก็ถูกขับเคลื่อนด้วยความอยากรู้อยากเห็นประเภทเดียวกัน
‘อะไรนะ? เธอฆ่าตัวตายหลังจากที่ฉันต้มลูกของเธอที่พี่งเกิดขึ้นมาแล้วเอาให้เธอกินนะหรอ? มันช่างมหัศจรรย์เสียจริง’
‘อ้า ฉันไม่สามารถที่จะให้นายกินหัวใจของตัวเองได้หลังจากที่ฉันตัดผ่านท้องของนาย…ไม่มีสักส่วนของร่างกายนี้เลยที่ทำงานอยู่’
‘ทำไมนะ? ทำไมมนุษย์ถึงต้องทุกข์ทรมานจากการที่คนรักต้องถูกทรมานด้วยหละ? หรือว่าระบบเส้นประสาทของพวกเขาเชื่อมต่อถึงกัน? อาจจะเป็นไปได้? แต่มันเป็นสิ่งที่แยกออกจากกันในแต่ละคนไม่ใช่หรือไงน้า?’
มันเป็นปีศาจที่ใส่ซื่อบริสุทธ์
มนุษยชาติเผชิญกับช่วงเวลาหลายปีในความเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน โดยแม่มดที่ไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเพียงอย่างเดียวทรมานเอา
แล้วในที่สุด มนุษยชาติก็ได้หยิบอาวุธขึ้นสู้ร่วมไปถึงศิลปะการต่อสู้ได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วเนื่องมาจากมีอัจฉริยะบางคนได้ลุกขึ้นสู้เพื่อต้องการที่จะเอาชีวิตรอด
หลังจากสงครามนับหลายพันปี มนุษยชาติก็ได้กำจัดเหล่าแม่มดทั้งหมดลงได้อย่างสิ้นเชิงและยุคสมัยแห่งความสงบสุขก็ได้มาเยือน
และมีเพียงแค่ฉันคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้มาจากโลกใบนี้ที่รู้ว่ายังคงมีแม่มดที่ยังคงเหลือรอดอยู่อีกตนหนึ่ง
……………………………………………………..
ในช่วงสุดสัปดาห์
เอลล่ายังคงฝึกซ้อมเช่นเคยและฉันก็ยังคงป้อนเรื่องไร้สาระให้กับเธอเช่นกัน
ในตอนที่เอลล่ากำลังที่จะออกไปก็ได้มีบางคนที่เข้ามา
เฮเลน อัลมัส
ลูกสาวคนโตของดยุคแห่งอัลมัส อัจฉริยะที่อยู่ในระดับของผู้ชำนาญดาบ
“นานเลยนะที่ไม่ได้เจอกัน เธอดูเปลี่ยนไปมากเลยนี่”
“ในตอนที่ฉันคิดเกี่ยวกับตัวฉันเองในอดีตฉันรู้สึกละอายเป็นอย่างมากนะคะ”
การเผชิญหน้าของพวกเขานั้นตรึงเครียดเป็นอย่างมากจนพวกคุณสามารถที่จะได้ยินเสียงเข็มตกพื้นได้เลย
ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วที่เฮเลนและเอลล่าไม่เคยมีความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกันเลย
เกิดในตระกูลอัลมัส เฮเลน อัลมัส เธอเป็นคนเลือดเย็นและมีหัวที่ใจที่แข็งดังเหล็กกล้าสำหรับการฝึกวิชาดาบที่มากกว่าทุกๆคนเสียอีก
และตั้งแต่ที่เอลล่านั้นใช้ชีวิตอยู่ในแบบที่น่าผิดหวังตั้งแต่ยังเด็กด้วยการที่เธอระบายความโมโหร้ายของเธอใส่คนรอบๆตัวโดยไม่มีความคิดที่จะจับดาบเลยด้วยซ้ำ เฮเลนเลยเกลียดเธอที่จุดนี้มากที่สุด
เพราะเรื่องนี้เอง เฮเลนเลยเมินเฉยใส่เอลล่าเสมอมาและเอลล่าก็หวาดกลัวเธอเป็นอย่างมากจนถึงจุดที่เธอจะตัวสั่นเป็นหนูที่หวาดกลัวแมวทุกครั้งที่เจอหน้าเฮเลน
แต่มันแตกต่างไปจากเดิมแล้วในตอนนี้
เอลล่า อัลมัสและเฮเลน อัลมัสได้ประจันหน้ากันโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าใดๆเลยในตอนนี้
“…ดูเหมือนว่าตอนนี้ แววตาของเธอจะเปลี่ยนไปมากเลยนี่”
“ทั้งหมดที่ฉันสามารถทำได้คือการเผชิญหน้ากับโลกใบนี้ด้วยความภาคภูมิใจค่ะ”
“ใช่แล้ว ยอดเยี่ยมมาก ฉันจะคอยจับตาดูเธอต่อไปอีกสักพักละกัน แล้วก็ดาบของเธอดูซื่อตรงดีนะ”
“ฉันปลื้มใจมากเลยค่ะ มันยังคงอ่อนแออยู่มากถ้านำไปเปรียบเทียบกับท่านพี่นะคะฉันเพียงแค่มีอาจารย์ที่ดีเท่านั้นเองค่ะ”
“ฉันได้ยินข่าวลือมาแล้วว่ามีอาจารย์เช่นนั้นอยู่ คนที่พิเศษเป็นอย่างมากที่มาที่นี้ในตอนนี้”
ในตอนที่ฮาเลนมองมาที่ฉัน ฉันได้ก้มโค้งคำนับด้วยท่าทางที่เหมาะสม
เธอเข้ามาหาฉันและยืนมือของเธอออกมาด้านหน้าของฉันเพื่อจับมือ
“ขอบคุณสำหรับการสอนน้องสาวโง่ๆของฉัน ฉันได้ยินมาว่าคุณเป็นปรมาจารย์ดาบอย่างนั้นหรือแต่ดูเหมือนว่าคุณจะเป็นคนที่แปลก
มากเลยนะ”
นิสัยของฮาเลนนั้นค่อนข้างที่จะแตกต่างไปจากสิ่งที่ฉันได้ยินมาจะเหล่าสาวใช้ทั้งหลาย
คนที่อยู่ตรงหน้าของฉันนี้เป็นคนช่างพูดและไม่ได้ดูเหมือนจะเป็นคนที่เลือดเย็นไร้ความปราณีตรงไหนเลยซึ่งมันก็ทำให้แม้แต่เหล่าคนรับใช้คนอื่นๆที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงประหลาดใจเป็นอย่างมากเช่นกัน
“มันเป็นเพียงแค่พรสวรรค์เดียวที่ผมมีนะครับ และผมยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ช่วยเหลือเจ้าหญิงเอลล่าครับ”
“หุหุ คุณไปถึงของเขตของปรมาจารย์ดาบได้แต่คุณยังคงเป็นคนที่สุภาพจริงๆเลยนะ”
เฮเลนได้ทักทายฉันเล็กน้อยแล้วหันเหความสนใจของเธอกลับไปที่เอลล่า
“ฉันเห็นว่าเธอกำลังพักอยู่ใช่ไหนในตอนนี้ถ้างั้นเธอว่าแผนว่าจะทำอะไรหละสำหรับวันพักผ่อนแบบนี้?”
“ฉันกำลังจะไปอธิษฐานที่โบสถ์นะคะ”
“โอ้วดีเลยงั้นก็ไปด้วยกันเลยสิ”
ดูเหมือนว่าเฮเลนจะชอบใจกับเอลล่าที่เปลี่ยนไปจากเดิม
มันเป็นการพัฒนาที่ธรรมดามา
ขุนนางที่มีนิสัยสุดแสนจะแย่ได้เปลี่ยนตนเองไปแบบหลังตี-เป็นหน้ามือและผู้คนรอบข้างต่างพากันยอมรับ
แล้วการเปลี่ยนแปลงนี้ยังแม้แต่ได้รับการต้อนรับจากครอบครัวของพวกเขาอีกด้วย
นี้ก็เป็นพล็อตเรื่องซ้ำซากที่มีทั่วไปเช่นกัน
“ได้ค่ะ งั้นไปกันเลยนะคะ”
หลังจากการเตรียมการช่วงสั้นๆเฮเลน,เอลล่า และเหล่าคนงานในคฤหาสน์สองสามคนได้มุ่งหน้าไปที่โบสถ์
มันเป็นการบูชาศาสนาหลักประจำจักรวรรดิอาเล็ตเทียร์ ‘เทพธิดาแห่งสงครามและชัยชนะ อลาเซีย’
โดยที่ได้ตามพวกเขาไปฉันได้มองไปที่แผ่นหลังของฮาเลน
ฮาเลน อัลมัส
เธอก็มีเรื่องราวที่เป็นโศกนาฏกรรมเช่นกัน ด้วยการสูญเสียแม่ของเธอให้กับแม่มดตนสุดท้าย
ซึ่งได้นำไปสู่จุดเริ่มต้นของเหตุผลที่ดยุคต้องการที่จะฆ่าแม่มดตนสุดท้ายตนนี้เพื่อล้างแค้นให้กับภรรยาอันเป็นที่รักของเขา
โบสถ์แห่งนี้ก็ถูกสร้างขึ้นด้วยตัวดยุคแห่งอัลมัสดังนั้นมันถึงเป็นเหตุผลที่โบสถ์นี้นั้นใหญ่โตมาก
เหล่าลูกชายลูกสาวของเขาก็มักจะมาสวดภาวนากันที่นี้เสมอ
ฉันเป็นเพียงแค่คนนอกดังนั้นฉันได้เลือกที่จะนั่งอยู่ด้านหลังอย่างเหมาะสมและทำเหมือนกับว่ากำลังสวดภาวนาอยู่
บทเพลงที่ดูศักดิ์สิทธิ์ได้บรรเลงคลอลงมาและชายที่สวมอยู่ในชุดสีดำ คนที่ฉันคิดว่าน่าจะเป็นนักบวชได้ออกมาแล้วพูด
มันน่าเบื่อมาก
“เหล่าสาธุชนทั้งหลาย ขอให้พวกท่านจงปลดปล่อยความกังวลของวันวานและมองไปยังอนาคตอันสดใสที่รออยู่เบื้องหน้าของพวกท่านเถิด”
ในทันทีที่นักบวชคนนั้นพูดจบลงเอลล่าได้หลั่งน้ำตาออกมา
แม้ว่าเสียงร้องไห้นี้เบามากแต่ที่นี้นั้นค่อนข้างที่จะเงียบเป็นอย่างมากจนถึงแม้ว่ามันจะเบาแค่ไหนก็ตามทุกคนก็ยังคงได้ยินมันได้
เฮเลนถามเอลล่าด้วยใบหน้าที่บูดบึง
“มีอะไรหรือไง?”
“…ไม่มีค่ะ ฉันก็แค่เสียใจกับสิ่งที่ฉันเคยได้ทำลงไป ฉันรู้สึกละอายใจและฉันอยากจะขอโทษให้กับทุกสิ่งเพราะงั้น…ฮึก..ฮึกฉันขอโทษ ฉันขอโทษ”
“…!”
เฮเลนมีสีหน้าที่ประหลาดใจอยู่บนใบหน้าของเธอ และในตอนนั้นเอง
คุณลูกค้าก็ได้พูดขึ้น
<อารมณ์ความรู้สึกของตัวเอกเอลล่าได้รับการตื่นขึ้นอย่างช้าๆ>
เอลล่า
มีชีวิตอยู่ด้วยการเป็นแม่มดมาทั้งชีวิตและไม่เคยรู้สึกหรือได้สัมผัสกับอารมณ์ความรู้สึกใดๆเลย เธอสงบเยือกเย็นอยู่ตลอดเวลาแม้ว่าจะเป็นตอนที่ความตายของเธอมาเยือนด้วยดาบของดยุคที่แทงทะลุหน้าอกก็ตาม
การแก้แค้น?
เธอไม่ได้มีความคิดเช่นนั้นอยู่เลย
เธอแค่ตายลงไปเพียงเพราะว่าเธออ่อนแอนั้นคือสิ่งที่เธอคิด
ดังนั้นแล้วเธอไม่แม้กระทั้งจะรู้ว่าทำไมดยุคถึงได้ฆ่าเธอ
นั้นคือทั้งหมด
หลังจากที่ได้เกิดใหม่ในร่างกายของเอลล่าแล้วเธอได้ค้นพบความสุขและความเสียใจ
เธอรู้สึกมีความสุขเมื่อได้เห็นผู้คนที่รายล้อมอยู่รอบเธอจดจำเธอได้และเธอก็รู้สึกดูถูกตัวเธอเองในอดีต
คนจำนวนมากมายเท่าใดกันที่เธอได้ฆ่าไปกับมือ?
สิ่งที่แสนน่าสะพรึงกลัวอะไรบ้างที่เธอได้ทำลงไป
‘นับจากตอนนี้ สำหรับทุกๆคน ฉันจะมีชีวิตอยู่เพียงเพื่อการชดใช้บาปนี้’
นี้เป็นพล็อตเรื่องทั้งหมดของตัวเองเอลล่า
…ดังนั้น
“จริงๆนะค่ะ ฮึก! ฉันเสียใจกับทุกคนจริงๆค่ะ”
“โอ้วไม่เจ้าค่ะคุณหนู”
“ดิฉันจำไม่ได้เลยเจ้าค่ะว่าเคยถูกคุณหนูกลั่นแกล้งตอนไหน”
“คุณหนูได้เติบโตขึ้นอย่างงดงามและซื่อตรงแล้วนะเจ้าค่ะ”
แต่ว่าไม่รู้เหมือนกันนะแต่ฉันกลับรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างติดอยู่ที่คอในตอนที่ฉันได้เห็นผู้คนเหล่านี้แสดงความเห็นอกเห็นใจเธอ
นี้มันไม่ใช่การขอโทษสำหรับสิ่งที่เอลล่าได้ทำลงได้
เธอกำลังขอโทษสำหรับสิ่งที่เธอได้ทำลงไปในอดีตในตอนที่เป็นแม่มดไม่ใช่สำหรับสิ่งที่เอลล่าคนก่อนได้ทำลงไป
แต่ถึงอย่างไรผู้คนโดยรอบฉันกับตกลงไปในความลวงนี้และพวกเขาทั้งหมดกลับรู้สึกซาบซึ่งและร้องไห้ออกมาเพื่อเธอ
ในเวลาไม่นานโบสถ์แห่งนี้ได้กลายมาเป็นทะเลแห่งน้ำตาและเอลล่าได้ขอโทษทุกคนจนกระทั้งถึงนาทีสุดท้าย
แต่อย่างไรก็ตามสำหรับฉันถ้าเธอรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไปจริงๆอะนะเธอควรที่จะเปิดเผยความจริงซะมากกว่า
มีผู้คนจำนวนมากเพียงใดกันที่ได้รับผลพวงจากความอยากรู้อยากเห็นของเธอในอดีต?
เธอกำลังพยายามที่จะให้เหตุผลกับตัวเธอเองด้วยการขอโทษพวกเขาโดยไม่มีแม้กระทั้งความคิดที่ว่าจะเปิดเผยตัวตนของเธอ
‘เพราะว่าฉันเสียใจจริงๆ ฉันจะใช้ชีวิตต่อจากนี้ด้วยการชดใช้ในสิ่งที่ได้ทำลงไปและยอมรับความผิดที่ตนได้ทำ’
เธอรู้ดี
ถ้าเธอเปิดเผยความจริงออกไปมันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
เธอเลยกลัวในสิ่งที่เธอคิด
เพราะว่าเธอต้องการที่จะปกป้องภาพลักษณ์ของเธอแม้ว่าเธอจะพูดว่าเธอเสียใจก็ตาม
เธอกำลังหลอกลวงทุกคน
ถ้อยคำที่ว่างเปล่านั้นยังไม่เพียงพอ
การขอโทษทุกคนแบบนั้นไม่นับเป็นการขอโทษแต่เป็นเพียงแค่การหลอกลวงและมันไม่ใช่ทั้งการขอโทษหรือการชดใช้เลย
“ทุกคนค่ะ จากกันบึงของหัวใจฉัน ฉันขอโทษ..”
ฉันที่ได้ฟังโดยที่ไม่ได้พูดอะไรอย่างเงียบๆ
ไม่ว่าความจริงจะเป็นอะไรมันไม่สำคัญว่าเอลล่าจะขอโทษจากใจจริงหรือไม่ก็ตาม
การมองดูไปที่การขอโทษที่ผสมปนเปไปด้วยความเสแสร้งและความจริงใจฉันคิดว่าฉันมีทางที่จะล่าเธอได้แล้วหละ
‘เธอรู้สึกเสียใจงั้นหรอ?’
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงหละก็ ฉันจะช่วยให้คำขอโทษของเธอมันมีความจริงใจมากกว่านี้เอง
……………………………………………………..
ในช่วงกลางดึกที่เงียบสงัด
คืนที่เองในตอนที่ทุกคนได้หลับลึกไปแล้วซอดัมได้มาอยู่ในจุดที่สูงที่สุดของยอดเขาใกล้กลับคฤหาสน์แห่งนี้
มันแตกต่างออกไปจากแผนการดั้งเดิมของฉันแต่มันถึงเวลาที่จะต้องเริ่มต้นการล่าแล้ว
คลิ๊กคลิ๊ก!
จุดที่ถูกเล็งไปนั้นช่างอยู่ห่างไกลไปจากการที่จะฆ่าใครสักคนได้
แต่ปืนซ็อตกันของฉันนั้นไม่ได้เด่นในด้านนั้นอยู่แล้ว
เหตุผลที่ว่าทำไมฉันถึงได้เอาเมก้าชูตเตอร์ของฉันออกมานั้นเพราะว่าฉันมีเหตุผลอื่น
หลังจากที่ได้ติดตั้ง ‘ตัวปล่อยอีเทอร์’ ลงบนเมก้าชูตเตอร์แล้ว ฉันได้เอาตาของฉันได้ที่สโคป
แม้ว่าระยะห่างนั้นค่อนข้างที่จะไกลและสายลมที่เยือกเย็นก็ยังพัดมาตลอดเวลาแต่สโคปของฉันนั้นสามารถที่จะคำนวนเรื่องทั้งหมดได้โดยอัตโนมัติ
ในอดีต สไนเปอร์จะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากและจำเป็นจะต้องอ่านทางลมและอีกหลายอย่างแต่ในปัจจุบันนี้เป็นยุคที่วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้รับการพัฒนามาถึงขอบเขตนี้แล้วมันจึงไม่ใช่เรื่องจำเป็นอีกต่อไป
ตามจริงแล้วถ้าเป้าหมายของฉันเป็นการยิงเพื่อฆ่าจริงๆแล้วหละก็มันคงจะดีกว่าที่จะใช้ปืนสไนเปอร์ไรเฟิลที่มุ่งเน้นไปที่เป้าหมายเดียวแทนการใช้ปืนซ็อตกันที่ทำดาเมจเป็นวงกว้างแต่ว่านะฉันไม่ได้มีความตั้งใจที่จะล่าเธออยู่แล้ว
มันสำคัญที่ว่าจะต้องทิ้งร่องลอยความเสียหายไว้ต่างหาก
ฟิ้วฟิ้ว!
สายลมได้พัดผ่านเส้นผมของซอดัม
ฉันได้กลั้นหายใจเอาไว้แล้วก็เหนี่ยวไก
ปัง!!
เสียงคำรามที่สั่นสะเทือนพื้นดิน
คลิ๊ก ตูม!
ห้องนอนของเอลล่านั้นถูกปะทะด้วยแรงเบิดครั้งใหญ่
มันใช้เวลาน้อยกว่าวินาทีซะอีกในการที่อัศวินจะตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
“เป็นอะไรไหมขอรับ คุณหนู…!?”
อัศวินเหล่านั้นได้เปิดประตูห้องนอนของเอลล่าและเข้าไปอย่างรวดเร็ว
มันเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง
ทุกสิ่งทุกอย่างภายในห้องนั้นกลายเป็นเถาถ่านและเตียงนอนนั้นได้ถูกเป่าหายไปครึ่งหนึ่ง
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเอลล่าก็ยังสบายดี
“อ้า…ฉันสบายดีค่ะ ไม่ต้องกังวลไป”
ไม่นานหลังจากนั้นเฮเลน อัลมัสในชุดนอนของเธอก็ได้เข้ามาพร้อมกับดาบในมือของเธอ
“เอลล่า! เธอเป็นยังไงบ้าง?!”
“ท่านพี่…”
เมื่อสัมผัสได้ถึงความจริงที่ว่าคนที่มักจะทำตัวเย็นชาอยู่เสมอนั้นวิ่งมาด้วยความเร็วเท่าที่จะเร็วได้ในตอนที่ได้ยินเสียงระเบิด เอลล่าได้วิ่งไปสู่อ้อมกอดของเฮเลนอย่างรวดเร็ว
เฮเลนก็ได้ลูบหัวของเอลล่าด้วยความโล่งใจในความจริงที่ว่าเธอนั้นปลอดภัย
“มันโอเคแล้วไม่ต้องกังวลนะ เซ็ตสึ คาลเมอร์ ค้นหาบริเวณโดยรอบเดียวนี้”
“ครับผม!”
หลังจากที่ได้สั่งการพวกอัศวินไปเฮเลนยังลูบหัวของเอลล่าที่ยังคงอยู่ภายใต้วงแขนของเธอ
แล้วเธอก็สังเกตเห็นถึงบางสิ่งที่แปลกประหลาดในทันที
‘อะไรนะ…นี่มัน…?’
เตียงนอนที่เอลล่าเคยนอนอยู่นั้นถูกตัดในลักษณะเป็นครึ่งวงกลม
ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ภายในห้องนี้นั้นกลายเป็นเถ้าถ่านยกเว้นเพียงแค่ในระยะครึ่งวงกลมรัศมีสามเมตรรอบเตียงและมีเพียงแค่พื้นที่ที่เอลล่าได้นอนอยู่เท่านั้นที่ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ
‘ครึ่งวงกลมนี้มัน…?’
อยู่ดีๆเฮเลนก็ได้มีความคิดที่น่าเหลือเชื่อเข้ามาในหัวของเธอ
ตรงพื้นที่ครึ่งวงกลมที่ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ
นี่…ไม่ใช่ว่ามันคล้ายกับความสามารถบางอย่างของเผ่าพันธุ์ที่ไม่ได้มีตัวตนอยู่บนโลกนี้แล้วอย่างนั้นหรอ?