ตัวเอกพวกนั้นฉันฆ่าเองแหละ (The Protagonist Are Murdered by Me) - ตอนที่ 41
มันมีช่วงเวลาหนึ่งที่ฮันเตอร์สามัญชนนั้นเคยถูกเรียกว่าฮีโร่
เป็นเรื่องเล่าจะเมื่อ 30 ปีก่อนในช่วงมหาสงคราม
ในตอนที่มอนสเตอร์ที่แปลกประหลาดมากมายผุดขึ้นมาเต็มไปหมด
คนเหล่านี้ล่าสัตว์ประหลาดทั้งหลายที่แข็งแกร่งเหนือยิ่งกว่าพวกเขาในช่วงสงคราม
พวกเขาไม่มีกลุ่มสังกัดใดๆ พวกเขาเป็นฮันเตอร์กลุ่มแรกๆที่เดินทางไปทั่วทั้งสนามรบ
ไปในสถานที่ที่ทางกองทัพไม่สามารถที่จะเข้าถึงได้ เช่นดันเจี้ยนและเมืองซึ่งเป็นสถานที่ที่เครื่องบินเจ็ทและรถถังไม่สามารถเข้าไปได้และสถานที่เหล่านี้ที่ไม่มีใครสักคนใส่ใจเกี่ยวกับมัน…พวกเขาพาตนเองเข้าไปในสนามรบเช่นนั้นเพื่อทำการช่วยเหลือผู้รอดชีวิตที่ยังเหลืออยู่
ผู้คนต่างพากันเรียกขานพวกเขาว่า ‘ฮีโร่’
‘นั้นคือเรื่องราวทั้งหมดในอดีต’
ลีจุนซอกยิ้มออกมาอย่างขมขื่นในขณะที่เขามองลงไปทางปรมาจารย์ดาบจากที่นั่ง VIP ของเขา
มันเป็นเรื่องน่าตลกสำหรับเขาที่ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้ดาบก็ตามเขาแต่เขาก็ยังได้รับที่นั่ง VIP เพียงเพราะว่าเขาเป็นฮันเตอร์แรงค์ S
‘มันควรจะโฟกัสไปที่งานอภิปรายวิชาดาบสิ ทำไมถึงต้องมาทำให้เป็นเรื่องใหญ่เกี่ยวกับยอดมนุษย์ด้วยนะ’
เขาเงยหน้าของเขาขึ้นอย่างสงบและเห็นยูซอดัมกำลังนั่งอยู่ในโซนของตระกูลคอสแตนตีนิ
ฮันเตอร์สามัญชนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นฮีโร่
คนประเภทที่ใช้มีดหรือปืนต่อกรกับมอนสเตอร์ขนาดยักษ์
แต่ทุกสิ่งได้เปลี่ยนไปเมื่อยอดมนุษย์ได้ปรากฏขึ้นมา
ตัวตนที่สามารถจะปราบปรามมอนสเตอร์ได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า,มีประสิทธิภาพมากกว่า และ โดดเด่นยิ่งกว่า พวกเขาเหนือกว่าฮันเตอร์ที่เป็นเพียงแค่คนธรรมดาในทุกๆด้าน
แรงค์ F?
แรงค์เช่นนั้นไม่ใช่ตัวตนที่เป็นยอดมนุษย์ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ยอดมนุษย์ทั้งหมดจะมีแรงค์ที่ได้รับการจัดลำดับไว้ตั้งแต่แรงค์ E เป็นต้นไป
นั้นเป็นการบอกว่าแรงค์ F เป็นแค่เพียงกลุ่มของฮันเตอร์สามัญชน
เมื่อความสงบสุขกลับคืนมา กองทัพที่มีอำนาจมากยิ่งขึ้น และบริษัทต่างๆที่เริ่มกลับมาดำเนินงานได้อย่างเป็นปกติอีกครั้ง
และเหล่ายอดมนุษย์ทั้งหลายก็ได้กลายมาเป็นตัวดำเนินธรุกิจที่สมบูรณ์แบบ
พวกเขาสามารถที่จะล่ามอนสเตอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวบรวม ‘คริสตัลอีเทอร์’ ได้มากกว่าในขณะที่ทำให้คนทั้งโลกตื่นตาตื่นใจด้วยความสามารถอันยอดเยี่ยมของพวกเขา
แต่อย่างไรก็ตามจำนวนของเหล่ายอดมนุษย์เป็นเพียงแค่กลุ่มน้อยและส่วนใหญ่เป็นฮันเตอร์แรงค์ F ที่ต้องการเวลาในการเติบโต
ดังนั้น ‘สมาคมฮันเตอร์’ แห่งแรกได้เริ่มทำการจ้างฮันเตอร์สามัญชนจำนวนมาก
พวกเขามีเพียงแค่เป้าหมายเดียวเท่านั้น
สร้างคู่มือการล่าโดยการใช้ประสบการณ์ของเหล่าฮันเตอร์
และเป็นอย่างที่พวกเขาได้คาดไว้ เหล่าฮันเตอร์พวกที่ไม่มีพลังพิเศษนี้ได้จัดหาข้อมูลเชิงลึกส่วนมากและมันก็เป็นสิ่งสำคัญต่อการพัฒนาของอุตสาหกรรมฮันเตอร์เป็นอย่างมาก
พวกเขาก็แค่ถูกใช้งานเท่านั้น
ลีจุนซอกยังคงจำได้
ในตอนที่เขาได้รับพลังพิเศษและกลายมาเป็นฮันเตอร์แรงค์ D
และสิ่งที่ฮันเตอร์แรงค์ F คนที่ทำงานมาเป็นปีที่ 9 ซึ่งเป็นรุ่นพี่ของตนได้บอกกับเขา
‘…พวกเขาตัดสินใจที่จะส่งนายไปที่ดันเจี้ยนแรงค์ D นั้นแทนที่ฉัน’
‘อะไรนะครับ? ไม่ใช่ว่าคุณบอกว่ามันเป็นตาของคุณอย่างนั้นหรอครับ?’
มันแปลก
การแจกจ่ายดันเจี้ยนควรจะเป็นไปด้วยความเท่าเทียมกันภายในกิลด์lb
‘ใช่ฉันพูดไว้แบบนั้นแต่ถึงอย่างนั้นกิลด์ก็ตัดสินใจที่จะส่งนายที่มีประสิทธิภาพมากกว่าไปแทน’
‘อ้า…’
ในตอนนั้นลีจุนซอกพึ่งจะได้ล่าภาคสนามจริงๆเพียงแค่สามครั้งเท่านั้นในขณะที่รุ่นพี่ของเขามีประสบการณ์ที่โชกโชนถึง 9 ปี
เหตุผลก็เพราะว่าฮันเตอร์สามัญชนทำให้เกิดจากสูญเสียเงินจำนวนมากในการล่าแต่ละครั้ง
เทียบกับยอดมนุษย์ที่สามารถจะจบภารกิจด้วยเครื่องจ่ายอีเทอร์เพียงแค่หนึ่งเครื่อง
หลังจากวันนั้นฮันเตอร์รุ่นพี่คนนี้ที่ได้สอนลีจุนซอกได้ออกจากอุตสาหกรรมนี้ไป
จากวินาทีนั้นเอง ลีจุนซอกได้เผชิญหน้ากับความเป็นจริงที่ว่าฮันเตอร์ผ่านศึกแรงค์ F ที่เคยได้ปกป้องเขาในตอนที่เขายังหนุ่มจะค่อยๆเลือนหายไปอย่างช้าๆ เขาเริ่มมีความรู้สึกแปลกๆขึ้นมา
‘ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้มีพลังพิเศษ แต่พวกเขายัง…’
‘จุนซอก ฉันตัดสินใจที่จะลาออกแล้วนะ’
ที่ละคนๆ ไอดอลของเขา ฮันเตอร์ที่เป็นเพียงคนธรรมดาทั่วไปเริ่มที่จะออกไปจากอุตสาหกรรมนี้
กิลด์และบริษัทต่างๆแทบที่จะไม่ได้งานตกไปถึงมือของฮันเตอร์สามัญชนเลยและในโลกที่ความสงบสุขกลับคืนมามแล้ว มันเป็นเรื่องยากที่จะค้นหางานที่สามารถล่าเพียงลำพังได้
ฮันเตอร์เหล่านั้นคนที่ครั้งหนึ่งเคยใช้ร่างกายของตนเองเป็นแนวป้องกันให้กับมนุษยชาติไม่ได้รับแม้แต่เพียงคำชื่นชมสักคำหลังจากที่พวกเขาเกษียณไปแล้ว
พวกเขากลับถูกลืมเลือนไปอย่างช้าๆโดยทุกคน
เพียงแค่นั้น
มันกลายมาเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
ในทุกๆเช้าจะมีข่าวของฮันเตอร์แรงค์ F ที่ล้มเหลวและหัวข่าวที่บอกว่าพวกเขานั้นไร้ประโยชน์เช่นไร
ฮันเตอร์แรงค์ F คนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคนที่ทำให้มนุษยชาติอยู่รอดมาได้ในระหว่างศึกมหาสงครามแต่พวกเขากลับไม่มีค่าอะไรในยุคสมัยที่สงบสุขนี้
เมื่อลีจุนซอกได้กลายมาเป็นฮันเตอร์แรงค์ S ในที่สุดเขาก็สามารถที่จะใช้อิทธิพลของตนในการขับเคลื่อนสมาคมฮันเตอร์ได้
นั้นเป็นตอนที่เขาได้รับรู้ว่า
‘…พวกเขาตั้งใจให้ภารกิจพวกนี้อย่างนั้นหรอ?’
อัตราความสำเร็จของภารกิจที่ฮันเตอร์แรงค์ F ได้รับนั้นกำลังดิ่งลงอย่างน่าตกใจเพราะว่าพวกเขาถูกมอบ ‘ภารกิจที่เป็นไปไม่ได้’ อย่างจงใจ
ในอีกความหมายก็คือพวกเขาถูกส่งเข้าสู่ดันเจี้ยนด้วยโอกาสน้อยมากที่จะเคลียร์สำเร็จในทางสถิติ
และแม้ว่าฮันเตอร์แรงค์ F สำเร็จในบางสิ่งที่ยอดเยี่ยมมันจะได้ถูกสื่อพูดถึงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
มันเหมือนกับว่าเป็นการซ่อนความสำเร็จของพวกเขาเอาไว้
และมันไม่ใช่แค่เพียงองค์กรเดียวเท่านั้นที่ทำแบบนี้
สมาคมฮันเตอร์นานาชาติในอีกหลายๆประเทศก็ทำแบบเดียวกัน
เขาได้นำเรื่องพวกนี้ไปรายงานกับประธานคนปัจจุบันของสมาคมฮันเตอร์
สิ่งที่ประธานสมาคมพูดออกมายังคงฝังลึกอยู่ในใจของเขา
‘คนพวกนี้ไร้ประโยชน์แล้วในตอนนี้ไม่ว่าจะทางไหนก็ตาม’
‘อะไรนะครับ?’
‘นั้นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเขาถึงต้องล่วงหล่น นี้มันเป็นยุคสำหรับยอดมนุษย์ไม่ใช่สำหรับคนธรรมดาอีกต่อไปแล้ว’
ประธานสมาคมก็เรียกฮันเตอร์แรงค์ F ทั้งหลายว่า ‘พวกมดงานที่ดูดเงิน’ เช่นกัน
และรวมกับเรื่องที่ว่าตั้งแต่มีการก่อตั้งสถาบันยอดมนุษย์ขึ้นมาทำให้ความต้องการฮันเตอร์สามัญชนได้ตกลงอย่างต่อเนื่อง
‘มันเป็นเพียงแค่สายธารแห่งกาลเวลาที่ไหลผ่านไปเท่านั้นแหละ’
มองไปที่ประธานสมาคมที่ทำท่าทางราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนปกติดี ลีจุนซอกหัวเราะออกมาด้วยความพ่ายแพ้
ใครกันที่ทำให้คุณได้มาอยู่ตำแหน่งที่คุณนั่งอยู่ในตอนนี้?
ใครกันที่ลุกขึ้นสู้เพื่อปกป้องมนุษยชาติ?
ใครกันที่ยอมเสียสละชีวิตของตนเองเพื่อให้คนอย่างคุณได้อยู่รอด?
พวกเขาเป็นใครกันนนน?
ลีจุนซอกไม่มีความกล้าที่จะพูดมันออกมาและมันเป็นเรื่องตั้งแต่เมื่อหลายปีมาแล้ว
ในตอนนี้ทุกคนบนโลกใบนี้รับรู้แล้วว่า
ฮันเตอร์แรงค์ F ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป
คุณเป็นฮันเตอร์ผ่านศึกมาแล้วกี่ปีกัน?
แน่นอนว่ามันยอดเยี่ยม
แต่ก็แค่ยอดเยี่ยมเท่านั้น
นั้นคือทั้งหมด
มันเป็นเรื่องที่หาได้ยากเป็นอย่างมากในทุกวันนี้ที่จะมีใครสักคนมองฮันเตอร์สามัญชนราวกับว่าพวกเขาเป็นคนพิเศษ
แต่แม้ว่าพวกเขาจะทำมัน ฮันเตอร์เหล่านั้นก็ยังถูกละเลยอยู่ดี
ในตอนจบมันแทบจะไม่เหลือฮันเตอร์แรงค์ F อยู่เลยสักคนและมันสามารถพูดได้อย่างมั่นใจเลยว่ามันไม่มีสักคนที่ยังทำงานอยู่มานานกว่า 10 ปีในตอนนี้
ดังนั้นยูซอดัมเลยเป็นกรณีที่พิเศษเป็นอย่างมาก
เขายังสามารถอยู่รอดมาได้แม้เจอเรื่องการเมืองภายในลอสเดย์และยังเป็นคนที่เข้าไปในเฮลเกตและรอดกลับออกมาได้
‘ฉันหวังว่าฉันจะสามารถพาเขามาที่กิลด์ของเราได้’
ลอสเดย์,เวลเว็ท และกิลด์อื่นทุกๆกิลด์ล้วนเกรงกลัวอิทธิผลของสมาคมดังนั้นพวกเขาเลยไม่เต็มใจที่จะรับสมัครแรงค์ F
แม้ว่าคนนั้นจะเป็นฮันเตอร์ผ่านศึกมาแล้ว 15 ปีก็ตาม
แต่ถึงอย่างนั้นในตอนที่ลีจุนซอกได้มองไปที่ดวงตาของยูซอดัมในวันนี้ เขาก็ได้รับรู้ว่า
‘ชายคนนี้มีของ’
‘มันไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้ว่าเขาได้รับการปฏิบัติอย่างไรเว้นแต่ว่าเขาจะเป็นคนโง่’
แต่เขาก็ยังคงอยู่ในอุตสาหกรรมฮันเตอร์…เหมือนกับว่าเขากำลังเล็งไปที่บางสิ่งบางอย่างอยู่
‘…คุณกำลังคิดที่จะสร้างกิลด์งั้นหรอ? หรือจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเมือง? ธุรกิจ?’
เขาแน่ใจว่าไม่ว่าจะทางไหนสักทาง ยูซอดัมจะต้องทำบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต
ซึ่งในระหว่างที่มันยังไม่เป็นเช่นนั้น หากว่าเขาสามารถที่จะเอาตัวเขาเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับยูซอดัมได้สักทางหละก็
แต๊ง!
แคร้ง!
“ฮึบ!”
“ฮะ!”
การประลองได้เริ่มขึ้นแล้วและปรมาจารย์ทั้งหลายกำลังแข่งขันกันด้วยดาบที่แท้จริงของพวกเขาแต่ลีจุนซอกไม่ได้ให้ความสนใจพวกเขาแม้แต่จะชำเลืองมองไปเลยด้วยซ้ำ
แต่ว่าที่โซนของตระกูลคอสแตนตีนิ
เขาได้มองไปที่ซอดัมมาเป็นเวลานานแล้ว
……………………………………………………..
เหล่ายอดมนุษย์ส่วนมากมันจะเป็นสาย ‘กายภาพ’
พวกเขามีความสามารถที่เรียบง่ายในการทำให้ร่างกายของพวกเขาแข็งแกร่งขึ้น
ซึ่งมันใช้งานร่วมกันได้เป็นอย่างดีด้วยการใช้ดาบอีเทอร์ในการต่อกรกับเหล่ามอนสเตอร์
แต่อย่างไรก็ตามมันจะเป็นไปไม่ได้ที่ใครสักคนที่ไม่เคยเลยแม้แต่จะได้ถือดาบมาก่อนจะสามารถเหวี่ยงมันได้อย่างเหมาะสมเพียงแค่ว่าพวกเขาได้ถือมัน?
ดังนั้นตระกูลนักดาบพร้อมด้วยประวัติความเป็นมาอันยาวนานหลายร้อยปีเริ่มที่จะสอนเพลงดาบของพวกเขาให้กับเหล่ายอดมนุษย์ทั้งหลาย
มันเป็นสิ่งที่บอกได้ว่างานอภิปรายวิชาดาบนี้นั้นเริ่มต้นขึ้นมาได้อย่างไรแต่ในตอนนี้จุดประสงค์ดังเดิมของมันเลือนลางลง
เหล่ายอดมนุษย์ไม่ได้ต้องการการสอนของคนธรรมดาอีกต่อไป
พวกเขาต้องการที่จะเรียนรู้จากเหล่ายอดมนุษย์ที่เป็นรุ่นพี่ของพวกเขาซึ่งได้ถือดาบมาหลายปีแทน
ดังนั้นนี้เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเหล่าปรมาจารย์ดาบถึงได้ทำงานหนักยิ่งขึ้นแต่ว่า…
‘มันเหลวไหลสิ้นดี’
งานอภิปรายวิชาดาบกลายมาเป็น ‘อีเว้นท์งานสังคม’ ไปเรียบร้อยแล้ว
และพวกเขาก็มักจะพูดคุยและหัวเราะด้วยกันเอง
ในตอนนี้เหล่ายอดมนุษย์ไม่ได้มีความสนใจในวิชาดาบของคนธรรมดาอีกต่อไป
พวกเขาเห็นว่าสิ่งพวกนี้มันไม่จำเป็น
เทเลอร์ลอบชำเลืองมองไปทางด้านข้าง
ยูซอดัม
เธอกำลังกังวลในสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ในขณะที่เขาได้มองดูเหล่าปรมาจารย์ดาบที่เป็นเพียงคนธรรมดากำลังประลองกันอย่างเงียบๆ
ด้วยเหตุผลบางอย่างเทเลอร์เริ่มที่จะรู้สึกมึนหัวดังนั้นเธอเลยลุกขึ้นจากที่นั่งของเธอ
“เธอกำลังจะไปไหนนะ?”
“มันจบแล้วนิ”
“คู่หลักของเซเลสเต้กำลังจะเริ่มแล้วนะ”
“โห้ ฉันจะกลับมาก่อนหน้านั้น ฉันต้องไปเติมสักหน่อย”
เธอไม่ได้ต้องการที่จะสูบต่อหน้าซอดัมดังนั้นเธอเลยแค่พูดไปแบบนั้นและลุกออกมา
ในท้ายที่สุดมันก็เป็นเพียงการแข่งขันกันฉันมิตรระหว่างเหล่าปรมาจารย์ดาบทั้งหลายเพื่อโอ้อวดลูกศิษย์ของตน
แต่เรื่องพวกนี้มันไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับซอดัมและเทเลอร์ พวกเขาทั้งคู่ก็ไม่ได้สนใจมันเลย
มันค่อนข้างที่มีจะมีคนหลายคนที่กำลังเดินอยู่รอบๆทางเดินนี้เนื่องจากว่ามันอยู่ช่วงเวลาพัก
เหมือนกับเทเลอร์ใครบางคนก็กำลังสูบบุหรี่อยู่ในขณะที่ใครบางคนกำลังไปเข้าห้องน้ำหรือไม่กำลังพูดคุยกับคนอื่นอยู่ตรงทางเดิน
และท่ามกลางคนเหล่านั้นเป็นอาเรน
ยอดมนุษย์แรงค์ S ที่มีอีโก้สูงสุดกู้เนื่องจากการที่ตนได้มาอยู่ในสมาคมปรมาจารย์นักดาบ
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้มาจากตระกูลอันทรงเกียรติเขาก็มีชื่อเสียงที่ดีเป็นอย่างมากสำหรับทักษะดาบของเขาและสถานะที่สูงในอุตสาหกรรมฮันเตอร์นี้
เพียงแค่ว่าเขามองดูคนที่อ่อนแอด้วยความดูถูก
เขากำลังพูดถึงนักดาบที่ที่พึ่งแข่งขันกันเสร็จแต่ไม่ได้เหมือนกับเขาคนที่กำลังยิ้มอยู่ คนพวกนั้นดูอึดอัดเป็นอย่างมาก
“แน่นอนว่าด้วยความที่เป็นปรมาจารย์ ความสำเร็จในระดับนั้นไม่นับว่าเป็นอะไรเลย”
ยอดมนุษย์ที่อยู่ท่ามกลางเหล่าคนธรรมดา
เขาน่าจะกำลังเพลิดเพลินไปกับความรู้สึกบางอย่างของการที่ได้เป็นผู้ที่อยู่เหนือกว่า
และเทเลอร์ที่รู้จักอาเรนเป็นอย่างดีนั้นแน่ใจไปว่ามันเป็นในกรณีที่เธอคิดไว้แน่นอน
มันชัดเจนเลยว่าทำไมปรมาจารย์ดาบที่เป็นเพียงคนธรรมดาพวกนี้ถึงได้ดูมีท่าทางที่อึดอัดใจ
‘อ้า ห่าเอ้ย’
เทเลอร์หันหลังกลับไปอย่างเร่งรีบแต่โชคไม่ดีที่มันได้สายเกินไปเสียแล้ว
“โอ้ว คุณเทเลอร์!”
“….อ้า เชี่ยเอ้ย”
ด้วยความคิดที่ว่าวันนี้คงจะไม่มีสถานการณ์ไหนที่แย่ไปกว่านี้อีกแล้ว เทเลอร์ได้จ้องกลับไปที่อาเรน
เขาได้ขอตัวออกมาจากปรมาจารย์เหล่านั้นแล้วได้เข้ามาหาเทเลอร์และไม่เหมือนกับการแสดงออกของปรมาจารย์เหล่านั้น เธอมีสีหน้าที่ว่างเปล่า
“พูดอะไรก็ตามที่แกอยากจะพูดแล้วก็ไซหัวไปซะ”
“ฮ่าฮ่า ทำไมคุณถึงได้ตลกร้ายแบบนี้หละครับ? ผมได้ยินมาว่าคุณมาที่นี้แต่ผมยุ่งเกินกว่าที่จะปลีกเวลามาหาคุณได้ คุณพอจะมีเวลาไปทานมื้อเที่ยงกับผมสักหน่อยไหมครับ? หรือว่าพวกเราไปกินมื้อเย็นด้วยกันหลังงานนี้จบลงดีไหมครับ?”
เทเลอร์ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความมึนงงถามขึ้น
“ฉัน? กับแก? ทำไม?”
“มันมีร้านอาหารแถวๆนี้ที่ผมคุ้นเคยกันหัวหน้าเชฟของ…”
“เฮ้”
เธอหยิบเอาซองบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าของเธอพร้อมกับถอนหายใจออกมา
“ฉันโคตรเหนื่อยเลยในตอนนี้และไม่มีเวลาไปทำเรื่องพวกนั้นหรอก เพราะงั้นหุบปากและไซหัวไปซะ”
“…จริงเหรอครับ?”
อาเรนจ้องไปที่เทเลอร์ด้วยสีหน้าที่แข็งค้างได้ถามขึ้น
“ยูซอดัม มันก็อยู่ที่นี้ด้วยใช่ไหมครับ? มันเป็นอาจารย์สอนวิชาดาบของตระกูลคอสแตนตีนิ”
“อะไร?”
“ใช่ไหมครับ? มันเป็นยูซอดัมใช่ไหมครับ?”
เทเลอร์เลิกเล่นกับซองบุหรี่ของเธอแล้วมองไปที่อาเรนอย่างเยือกเย็น
แต่เขาก็ยังคงพูดต่อไป
“คุณรู้ไหมว่าคุณกำลังทำตัวแปลกๆอยู่นะ?”
อาเรนในตอนนี้นั้นเป็นฮันเตอร์ผ่านศึกมาเป็นปีที่ 12 แล้ว
ในตอนที่เขาเป็นเพียงแค่หน้าใหม่ เทเลอร์ได้ทำงานเป็นฮันเตอร์มาเป็นเวลาสามปีแล้ว
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่สามปีแต่เทเลอร์ในตอนนั้นโดดเด่นกว่า,มีความกล้ามากว่า,มีความมุ่งมั่นมากกว่า และมีความเป็นผู้นำที่มากกว่าใครก็ตามซะอีก
อาเรนรู้ว่าด้วยคำที่หยาบคายและการกระทำทั้งหลายทั้งแหล่ของเธอเป็นเพียงแค่วิธีการที่เธอใช้ทำให้ทีมของเธอเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
บางทีอาเรนคงจะเริ่มสนใจในเทเลอร์ตั้งแต่ตอนนั้นมา
ดังนั้นเขาได้เข้าหาเธอหลายต่อหลายครั้งเพราะว่ามันไม่สำคัญสำหรับเขาไม่ว่าเธอจะกำลังออกเดตกับใครหรือไม่ก็ตามตราบใดที่เธอยังไม่ได้ตกหลุมรักใครสักคนไปอย่างแท้จริงก็พอแล้วสำหรับเขา
แต่ว่า
“ตั้งแต่ที่คุณได้พบกับยูซอดัม คุณไม่เบื่อหน่ายกับเขาบ้างหรอครับ?”
เทเลอร์ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้วและไม่ได้มองไปที่คนอื่นเลย
ตั้งแต่เมื่อ 12 ปีก่อน…ไม่สิเมื่อ 15 ปีก่อนตอนที่ชายคนนั้นได้ทำการเปิดตัวครั้งแรก
เทเลอร์เคยพูดไว้ว่าเธอต้องการที่จะติดตามยูซอดัมไปเท่านั้น
เขาไม่สามารถที่จะเข้าใจมันได้
มันมีผู้คนที่มีพรสวรรค์และโด่ดเด่นมากมายแล้วทำไมถึงได้เป็นยูซอดัมคนที่ไม่มีพลังพิเศษเลยสักนิดกันหละ?
เทเลอร์ยิ้มออกมาและถามคำถามขึ้น
“เฮ้”
“บอกฉันหน่อยสิ”
“ให้ฉันถามแกสักหน่อยว่าใครมันจะไปดีกว่ายูซอดัมกันหละ?”
“อะไรนะครับ?”
อาเรนที่มึนงงไปโดยคำถามของเทเลอร์ได้พยายามที่จะตอบกลับไปแต่ว่า
“พลังพิเศษ? ความมั่งคัง? ฉันไม่ต้องการของพวกนั้นหรอ แกรู้ไหมว่าทำไม? เพระว่าฉันมีมันทั้งหมดแล้วไงหละ”
“คุณเทเลอร์…”
“ฉันไม่ต้องการทุกสิ่งทุกอย่าง มันไม่ได้สำคัญว่าจะเป็นยอดมนุษย์แรงค์ F หรือ S และเพียงแค่เพราะว่ายูซอดัมเป็นแค่ฮันเตอร์แรงค์ F หละก็คุณค่าของเขาความเป็นคนของเขาจะเป็นเพียงแค่แรงค์ F งั้นหรอ?”
ในทางตรงกันข้าม
“แรงค์ S อืม…ไม่ใช่ว่าแกก็เป็นเพียงแค่ยอดมนุษย์แรงค์ S อย่างนั้นหรอกหรอ?”
“…”
เทเลอร์เกือบจะหลุดคำหยาบของเธอออกไป
“ฉันเคยคิดนะว่าแกนะแค่น่ารำคาญแต่ว่าฉันเปลี่ยนใจแล้ว”
เธอที่ปกติมักจะพูดด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย
แต่เมื่อไหรก็ตามที่เธอโกรธขึ้นมาจริงๆหละก็เธอจะไม่สถบด่าออกมาแต่เธอจะยิ้มออกมาแทน
เป็นร้อยยิ้มที่สดใสและมีชีวิตชีวา
“แกมันก็แค่สิ่งที่น่ารังเกียจ”
เทเลอร์พูดเช่นนั้นด้วยรอยยิ้มที่สดใสบนใบหน้าของเธอแล้วเดินจากไป
อาเรนยืนอยู่กับที่ในขณะที่กำมือของตนเองแน่นเป็นเวลานาน ได้แต่คิดภายในใจ
‘…ยูซอดัม’
ท้ายที่สุดนี้ก็ยังเป็นยุคที่ความสามารถมีความหมายมากกว่าทุกสิ่งดังนั้นเขาไม่เข้าใจว่าทำไมเทเลอร์ถึงได้หมกหมุ่นแต่กับยูซอดัม
ซึ่งเป็นใครบางคนที่ ‘ไร้ค่าโดยสมบูรณ์’ กว่าตัวเขาเอง
‘แต่ถ้าหากว่าฉันสามารถที่จะบดขยี้ยูซอดัมให้มันแหลกเหลวคามือฉันได้หละก็’
ด้วยการแสดงออกที่เต็มไปด้วยความโกรธ เขาเดินกลับไปทางสนามกีฬา
ในขณะที่เขากำลังพยายามที่จะหาที่นั่งของเขาเองอย่างเงียบๆในโซนของตระกูลโอกาโมโตะเขาคิดว่าบรรยากาศที่นี้นั้นแปลกออกไป
[เซเลสเต้ คอสแตนตีนิ VS โอกาโมโตะ ซานางิ]
‘โอ้ว มันเริ่มขึ้นแล้วอย่างนั้นเหรอ?’
เขาคิดว่าเขาอาจจะมาสายหลังจากที่ได้ใช้เวลาคุยกับเทเลอร์ไปสักพัก เขามองลงไปยังสนามกีฬา
ในตอนแรกเขาไม่ได้สนใจในการต่อสู้ครั้งนี้
เขาได้สอนวิชาดาบให้กับซานางิด้วยตัวเขาเองและเซเลสเต้ที่มีแรงค์ต่ำกว่าตั้งแต่แรกแล้วดังนั้นเธอไม่ได้เหมาะที่จะนำมาเทียบกับซานางิ
ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงคิดว่ามันเหมือนกับน้ำตกที่ทำได้เพียงแค่ตกลงมาและทุกคนก็ได้คาดเดาผลลัพธ์ของมันไว้ล่วงหน้าแล้ว
แต่น่าแปลก สนามกีฬาดูเหมือนว่าจะเงียบสนิทเนื่องจากเหตุผลบางอย่าง
“…หืม?”
ฮึบ!
เต็ง เต็ง!
ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงหยุดนิ่ง
มีเพียงแค่เสียงของหญิงสาวสองคนและเสียงดาบของพวกเธอที่ปะทะกันซึ่งดังออกมาจากทางสนามกีฬาเท่านั้น
ด้วยดวงตาที่สั่นเทา อาเรนยังคงเฝ้ามองต่อไป
โอกาโมโตะ ซานางิ
เธอกำลังจะพ่ายแพ้ให้กับเซเลสเต้ คอสแตนตีนิ
แรงค์ C ที่กำลังพ่ายแพ้ให้กับแรงค์ D
‘นี่…นี่มันไม่สมเหตุสมผลด้วยอย่างนั้นหรอ?’
ความแตกต่างระหว่างแรงค์ D และแรงค์ C นั้นเหมือนความแตกต่างระหว่างจักรยานและรถยนต์
แม้ว่ารถคันนั้นจะขับช้าๆมันก็ไม่สามารถที่จะพ่ายแพ้ได้
หรือไม่ก็เหมือนกับการต่อสู้ระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่?
ไม่สิมันควรจะเหมือนการต่อสู้ระหว่างแมวกับหนูซะมากกว่า
แต่ในตอนนี้
หนูตัวนั้นกำลังกัดไปที่แมวอยู่
จักรยานที่สามารถบดขยี้รถยนต์ได้
สิ่งที่น่าเหลือเชื่อเช่นนั้นกำลังเกิดขึ้นอยู่
มันไม่ใช่ว่าเซเลสเต้ได้ปลุกพลังขึ้นมาเป็นแรงค์ C ในทันทีหรอกนะ?
ไม่สิ
ทุกคนที่อยู่ที่นั่งอยู่ที่นี้สามารถที่จะเห็นมันได้
เธอยังเป็นเพียงแค่แรงค์ D อยู่
แล้วมีเพียงแค่เหตุผลเดียวที่ทำให้เซเลสเต้เหมือกว่าซานางิโดยสมบูรณ์ได้ก็คือ
‘วิชาดาบของเซเลสเต้นั้นเหนือกว่าวิชาดาบของซานางิแบบเทียบกันไม่ติด’
แม้ว่าจะมีความแตกต่างกันในเรื่องความแข็งแกร่งทางร่างกายของพวกเขา
แต่ถึงอย่างนั้นในครั้งที่แล้วเซเลสเต้ก็ไม่ได้มีฝีมือดาบที่เหนือกว่าซานางิขนาดนี้และวิชาดาบของทั้งคู่ก็เกือบที่จะเท่าเทียมกัน
ดังนั้นสิ่งไหนกันที่จะสามารถอธิบายการเติบโตอย่างกะทันหันของเธอในปีนี้ได้กันหละ?
บางคนที่ได้คิดไปถึงตรงนั้นแล้วไปมองดูไปที่ ‘ปรมาจารย์’ ที่กำลังนั่งอยู่ในโซนของตระกูลคอสแตนตีนิ
คนที่กำลังนั่งอยู่ซึ่งเป็นเพียงฮันเตอร์แรงค์ F ที่ไม่มีพลังพิเศษใดๆ