ตัวเอกพวกนั้นฉันฆ่าเองแหละ (The Protagonist Are Murdered by Me) - ตอนที่ 46
ตั้งแต่วันนั้นมาฉันก็ได้ติดตั้ง ‘กล้างวงจรปิด’ ไว้ใกล้กับค่ายของมนุษย์พวกนั้น
ต้องขอบคุณสกิลช่องเก็บของที่ฉันได้มาที่ทำให้ในตอนนี้มันเป็นไปได้ที่ฉันจะนำอุปกรณ์ที่หลากหลายขึ้นแบบนี้มาที่ต่างโลกได้
ด้วยการที่มีดีเลย์เพียงเล็กน้อยบวกกับการใช้เสาส่งสัญญาณไม่กี่จุดฉันสามารถที่จะตรวจดูพวกเขาได้จากระยะไกลแม้ว่าการรับสัญญาณจะได้ค่อยดีก็ตาม
หลังจากที่ตรวจสอบดูกองกำลังของพวกเขาฉันได้ย้อนกลับไปยังหมู่บ้านของเหล่าแฟรี่
กองกำลังของมนุษย์พวกนี้มีมากกว่า 3,000 เล็กน้อย
ไม่สำคัญว่าระดับเทคโนโลยีของพวกเขาจะต่ำเพียงใดการที่อีกฝ่ายมีจำนวนเช่นนี้ทำให้มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะรับมือกับพวกเขาเพียงลำพัง
ก่อนที่จะล่า สิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งเลยคือต้องทำความคุ้นเคยกับลักษณะนิสัยของศัตรูให้ได้เสียก่อน
ไม่กับเหมือนกับฝูงมอนสเตอร์มันดูเหมือนว่านี้จะเป็นครั้งแรกของฉันที่จะต้องว่า ‘ฝูงมนุษย์’
‘ลำกล้องของปืนพวกเขานั้นสั้นกว่าที่ฉันคิดไว้…ปืนใหญ่ของพวกเขาก็ดูเป็นแบบยุคโบราณแต่ของพวกนั้นจะเป็นเพียงแค่อาวุธที่พวกเขามีอย่างนั้นเหรอ?’
‘ความแม่นยำของไรเฟิลพวกเขาคงจะมากกว่า 100 เมตรไปเล็กน้อยมากไปกว่านั้นฉันแค่ต้องระวังกระสุนที่จะเข้ามาในจุดบอดของฉันเท่านั้น’
‘ปืนใหญ่ของพวกเขาไม่ได้อันตรายใดๆแต่ว่ามันก็ยังสามารถที่จะลดบาเรียของฉันได้ถึงแม้ว่าการโดนเพียงแค่ไม่กี่นัดจะไม่เป็นไรก็ตามแต่ฉันก็ต้องระมัดระวังไม่ให้ถูกมันยิงใส่’
ถ้าเป็นไปตามที่คาดไว้ดูเหมือนว่าเทคโนโลยีของพวกเขาจะไม่แม้แต่เข้าสู่ช่วงศตวรรษ 19
ซึ่งมันไม่ได้มีแค่เรื่องของระยะการโจมตีจากปืนของพวกเขาที่สั้นเท่านั้น ปืนใหญ่ของพวกเขาก็ต้องให้เวลาสำหรับการรีโหลดในแต่ละครั้งหลังจากที่ได้ยิงไป
“ท่านคิดว่าอย่างไรค่ะ?”
มาริลินถามออกมาด้วยสีหน้าที่เป็นกังวลในขณะที่เธอได้วางน้ำผึ้งจานพิเศษลงบนโต๊ะที่อยู่ด้านหน้าของฉัน
“สำหรับในตอนนี้ไม่ต้องเป็นกังวลอะไร”
ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อที่จะกำจัดพวกเขาจริงๆ
แต่ถึงอย่างนั้นบางทีเป้าหมายของพวกเราอาจจะเป็นอย่างเดียวกัน
มาริลินกล่าวว่าในหมู่ปีศาจพวกนั้นมีอยู่หนึ่งคนที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษ
มันควรที่จะเป็นผู้บัญชาการของพวกเขา
ฉันไม่เข้าใจหมายของคำว่าแข็งแกร่งเป็นพิเศษที่เธอพูดแต่สำหรับในตอนนี้การคาดเดาของฉันคือไอ้เจ้าผู้บัญชาการคนนี้จะต้องเป็นตัวเอก
และฉันไม่ควรที่จะประเมินพวกเขาต่ำเกินไปเพียงแค่เพราะว่าพวกเขาขาดแคลนในเรื่องของเทคโนโลยี
นอกจากทั้งหมดนี้ตัวเอกคนนี้ยังมีเลเวล 61
ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีของพวกเขาจะล้าสมัยเกินไป ก็ไม่ได้หมายความความสามารถด้านร่างกายของเขาจะแย่นี่จริงไหม?
บางทีมันอาจจะเป็นโลกบ้าๆที่มนุษย์สามารถตัดแบ่งตึกเป็นสองซีกหรืออะไรทำนองนั้นก็ได้ใครจะไปรู้
“ยังไงซะ ตอนนี้เจ้ากระถางดอกไม้นั้นเป็นยังไงบ้าง?”
“เออ ท่านหมายถึงดอกไม้จิตวิญญาณสีเงินใช่ไหมค่ะ”
จิตวิญญาณแปลกประหลาดที่เกิดจากการความโหดร้าย,ทำลายล้าง และความตายภายในของเฮลเกต
เพราะว่าสภาวะที่จะให้กำเนิดดอกไม้เช่นนี้ขึ้นมาได้นั้นหาได้ยากเป็นอย่างมาก แน่นอนว่านั้นพอแล้วที่จะทำให้ดอกไม้จิตวิญญาณสีเงินพิเศษในโลกใบนี้
ตามเรื่องเล่าของมาริลิน เรื่องราวได้กล่าวไว้ว่าดอกไม้จิตวิญญาณสีเงินได้ปรากฎขึ้นมาบนเกาะแห่งความฝันในตอนที่ต้นไม้แห่งรุ่งอรุณได้หยั่งรากลึกลงไปในพื้นดินเป็นครั้งแรก
‘ดังนั้นแล้วมันจะมีสงครามครั้งใหญ่เกิดขึ้นที่เกาะแห่งความฝันอย่างนั้นเหรอ?’
มันไม่มีทางที่จะรู้ได้เลย
นอกจากนี้ ฉันก็ไม่ใช่คนประเภทที่จะมากังวลในสิ่งที่ไม่รู้
“อยู่ตรงนั้นค่ะ เธอดูเข้ากันได้ดีกับจิตวิญญาณเหล่านั้นนะคะ”
ใกล้กับต้นไม้แห่งรุ่งอรุณคือเจ้ากระถางดอกไม้ที่หยั่งรากของตนเองลงไปในแม่น้ำที่อยู่ด้านข้าง
แสงที่สาดส่องลงมาได้ปกคลุมได้ทั่วท้องฟ้าในรูปแบบของออโรร่าสีม่วงที่ดูราวคล้ายกับความฝัน
แสงที่ตกลงมาดูคล้ายกับหิมะในขณะที่ดอกไม้สีเงินได้แกว่งไปมา
ภาพเช่นนั้นดูสวยงามเกินกว่าประติมากรรมใดๆ
หลักฐานก็คือเหล่าแฟรี่แห่งรุ่งอรุณที่นั่งอยู่รอบๆจิตวิญญาณสีเงินราวกับว่าพวกเขากำลังถูกครอบงำด้วยภาพดังกล่าว
เหล่าจิตวิญญาณทั้งหลายได้มารวมตัวกันใกล้กับจิตวิญญาณสีเงินเพื่อที่จะแกล้งเล่นด้วยการใช้สายลมหรือน้ำ และจิตวิญญาณสีเงินก็จะตอบสนองในแต่ละครั้ง
[นี่…พวกเธอไม่ควรที่จะทำแบบนั้นนะ…]
[…หยุดเลยนะ]
“…ม่าย มาเล่นกันเถอะๆ”
[อะไร? มีอยากมีเรื่องหรือไง?]
“ไม่มีครับ ขอโทษด้วยครับ”
เจ้าดอกไม้อันธพาลนั้นกำลังตักเตือนเหล่าพวกจิตวิญญาณตนอื่นๆอยู่
มันน่ามหัศจรรย์มากจริงๆ
“ไม่ใช่ว่าเธอสามารถที่จะพูดคุยกับพวกจิตวิญญาณได้หรอกเหรองั้นทำไมเธอไม่ใช้พวกเขาแทนหละ?”
“นั้น…”
มาริลินคิดไปสักพักด้วยสีหน้าที่จนปัญญาแล้วพูดขึ้น
“ท่ามกลางเหล่าแฟรี่แห่งรุ่งอรุณแล้ว มีเพียงแค่ราชินีแฟรี่แห่งรุ่งอรุณเท่านั้นที่สามารถเรียกใช้พลังของจิตวิญญาณได้”
“ราชินี?”
“ท่านได้จากไปแล้วค่ะ ดังนั้นเจ้าหญิงองค์แรกอาริลินจะกลายมาเป็นราชินีคนต่อไปแต่ว่าตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนเธอได้ล้มป่วยลงดังนั้นเจ้าหญิงลำดับที่สามถึงเจ็ดที่เหลืออยู่ถึงได้กำลังสวดภาวนาให้กับเธอในทุกๆวัน”
ฉันคิดกับเรื่องนี้สั้นๆ
“งั้นบอกฉันหน่อย…ถ้าหากว่าเจ้าหญิงลำดับที่หนึ่งตายลงไปใครที่จะมาแทนตำแหน่งของเธอ?”
มาริลินมองเข้ามาในตาของฉัน
ดวงตาสีม่วงชัดเจนนั้นกำลังสั่นไหวอยู่
“…โดยธรรมชาติแล้วมันจะต้องเป็นเจ้าหญิงลำดับถัดไปที่ขึ้นมาแทนที่…”
ความจริงข้อนี้ไม่ได้มีแค่เธอเท่านั้นที่รู้ เหล่าแฟรี่แห่งรุ่งอรุณทั้งหมดก็รู้เช่นกัน
แต่ถึงอย่างั้นพวกเขาก็ยังคงสวดภาวนาเพื่อขอให้เจ้าหญิงลำดับที่หนึ่งนั้นรอดชีวิตอยู่
ดังนั้นฉันเลยไม่ได้พูดอะไรออกไป
……………………………………………………..
……………………………………………………..
สามวันได้ผ่านไป
ในเวลาเดียวกันฉันเองก็ค่อนข้างที่จะยุ่งขึ้นเล็กน้อย
ผู้บัญชาการของกองกำลังมนุษย์นี้
คนที่สมควรที่จะเป็นตัวเอกไม่ได้แสดงตัวออกมาเลยในช่วงเวลาที่ผ่านมาดังนั้นฉันเลยกำลังคิดหาทางที่จะล่อเขาออกมาอยู่
มันเป็นทางดีที่สุดถ้าฉันสามารถที่จะกำจัดกองกำลังมนุษย์นั้นไปได้
มาริลินได้กล่าวไว้ว่าในบางครั้งผู้บัญชาการคนนี้จะไปที่แนวหน้าเมื่อมีบางเรื่องที่สำคัญเกิดขึ้น
ตั้งแต่ที่เธอได้ว่าไว้แบบนั้น
ฉันเลยได้เตรียมการตามนั้นไว้ล่วงหน้าแล้ว
อันดับแรกอุปกรณ์ของฉัน
อาวุธปืนยุคใหม่ที่ไม่ได้มีเพียงแค่กระสุนเท่านั้นแต่ยังมีคุณสมบัติอีกมากมายไว้ว่าจะเป็นเปลวไฟ,ไฟฟ้า,พิษ และอีกหลายประเภทที่มีผลเฉพาะกับมอนสเตอร์
แถมฉันยังได้เสริมเวทมนตร์เข้าไปด้วยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของมัน
พวกระเบิดที่ปกติจะกระจายเปลวไฟออกมาในทุกทิศทางได้ถูกเสริมด้วยเวทมนตร์เพื่อทำการค้นหาตำแหน่งของศัตรูโดยอัตโนมัติและทำการโจมตีศัตรูด้วยไฟฟ้า
เป็นการรวมกันของวิทยาศาสตร์และเวทมนตร์
ถึงแม้ว่าเวทมนตร์ของฉันจะไม่ได้ดีเลิศและมันไม่ได้มีประโยชน์มากนักแต่แค่เพียงเรื่องนี้อย่างเดียวก็ทำให้ประสิทธิภาพของอุปกรณ์ของฉันเพื่อขึ้นได้แล้ว
ฉันได้ติดตั้งระเบิดเหล่านี้ไว้ทั่วทุกที่โดยรอบหุบเขานี่ในจุดที่เครื่องร่อนของพวกเขาสามารถที่จะผ่านไปได้
แล้วสถานการณ์ที่ได้คาดเอาไว้ก็ได้เกิดขึ้น
วิ้ง วิ้ง!
ฉันได้เช็คไปที่กล้องวงจรปิดในทันทีเมื่อมันตรวจจับบางสิ่งได้และสิ่งที่ฉันได้เห็นอยู่นี้สามารถบรรยายได้ด้วยคำว่ามหัศจรรย์เท่านั้น
“อะไรนะ…นี่มัน…?”
เหล่ามนุษย์ที่ได้ติดตั้งเครื่องร่อนของพวกเขาที่ฉันคิดว่ามันเป็นแค่อุปกรณ์ที่ออกแบบรูปร่างให้คล้ายปีกแล้วติดไว้บนหลังของพวกเขาเท่านั้น
แต่ว่ามันกลับไม่ได้เป็นแบบที่ฉันได้คิดไว้
“เครื่องร่อนพวกนั้น…พวกมันสามารถที่จะบินขึ้นได้จากในแนวตั้งเลยงั้นเหรอ?”
การบินขึ้นในแนวตั้ง
เป็นเทคโนโลยีที่สมเหตุสมผลอย่างยิ่งที่จะพบเห็นได้ที่โลกมนุษย์
แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นไปได้ในศตวรรษที่ 21 โดยการใช้เทคโนโลยีในระดับที่เหมาะสมเท่านั้น
ซึ่งคนพวกนี้ก็กำลังออกตัวด้วยการบินขึ้นแบบแนวตั้งจากการใช้ปีกที่ทำขึ้นจากกระดาษ
“นี้มันเรื่องบ้าอะไรกันวะเนี่ย…”
จ้องมองที่จอภาพฉันสังเกตเห็นได้ว่ามีบางสิ่งที่แปลกประหลาดอยู่ที่ปีกของพวกเขา
ระหว่างฟันเพืองหลายสิบอันมีใบพัดขนาดเล็กและใหญ่ที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่
‘…ดูเหมือนว่ามันจะมีหลักการแปลกๆที่อยู่เบื้องหลังการบินของพวกเขาอยู่’
เทคโนโลยีการบินบนโลกมนุษย์นั้นชัดเจนว่าดีกว่ามาก
ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบินขับไล่ที่บินด้วยความเร็วเหนือแสงหรือว่าจรวดที่บินออกไปนอกอวากาศ
อย่างไรก็ตามความสามารถของพวกในการใช้งาน ‘สายลม’ นั้นดีกว่ามนุษย์โลกเป็นอย่างมาก
เพียงแค่ด้วยแผ่นไม้,กระดาษ และเหล็กไม่กี่ชิ้น พวกเขาก็สามารถที่จะบินไปบนท้องฟ้าได้อย่างอิสระ
แทนที่จะเป็นเทคโนโลยีจากศตวรรษที่ 19 พวกเขากับมีบางสิ่งที่มากจากเทคโนโลยีในศตวรรษที่ 21 อย่างนั้นเหรอ?
‘การควบคุมสายลม นี้คือสิ่งที่เธอหมายถึงสินะ…’
ฉันคิดว่ามันจะเป็นเพียงแค่รูปแบบการบินง่ายๆแต่ฉันเข้าใจผิดไป
‘แต่ว่ามันก็ยังไม่มีปัญหาอะไร’
ไม่ว่าพวกเขาจะสามารถบินไปบนท้องฟ้าได้หรือไม่ในท้ายที่สุดเรื่องพวกนี้ก็ยังอยู่ในการควบคุมของฉัน
ฉันรีบเก็บอุปกรณ์ของตนเองอย่างรวดเร็วและปีนขึ้นไปยังภูเขาหินที่ฉันได้ทำการสอดแนมไว้ล่วงหน้าแล้ว
ที่นี่เป็นภูเขาหินที่สูงที่สุดในระแวกนี้และไม่เหมือนกับภูเขาหินอื่นๆที่กำลังอยู่ในอากาศ แต่ภูเขานี้นั้นอยู่ใกล้กับพื้นดินทำให้มันเป็นเรื่องง่ายที่จะปีนขึ้นและลง
มันใช้เวลาทั้งหมด 15 นาทีเพื่อที่จะขึ้นไปบนยอดเขานี้
ฉันได้เอาเมก้าชูตเตอร์ออกมาอย่างรวดเร็วแล้วติดตั้งตัวเก็บเสียง กางขาตั้งปืนและนอนราบลงไป
หลังจากที่ได้ติดตั้งสโคปที่มีเลนขยายได้ถึง 30 เท่าและตั้งค่าของกระสุนไปที่ ‘การโจมตีทั่วไป’ แล้วฉันก็ทาบดวงตาของฉันไปที่สโคป
“…”
มันเคยเป็นเรื่องที่ยุ่งยากในการวัดระยะของของเป้าหมายที่อยู่ห่างออกไปและยังต้องมานับความความแรงและทิศทางของลมด้วยการใช้ลิ้นและนิ้วมือของผู้ยิงแต่ในทุกวันนี้เรื่องพวกนี้ได้ถูกจัดการด้วยพลังของวิทยาศาสตร์ไปแล้ว
เมื่อไหรก็ตามที่เป้าหมายถูกจับได้ด้วยสโคปนี้มันจะทำการล็อคเป้าโดยอัตโนมัติในขณะที่ปรับตำแหน่งที่มองเห็นในเลนให้เข้ากับความคลาดเคลื่อนที่จะเกิดขึ้นจากระยะทางและสายลมเอง
บวกกับการที่ว่ามันมีลมที่น้อยมากบนเกาะแห่งความฝันทำให้มันเป็นสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์แบบสำหรับการที่จะส่องหัวใครสักคนที่นี้
ในตอนนี้พระอาทิตย์เริ่มที่จะขึ้นเข้าสู่เช้าวันใหม่
มันเป็นช่วงเวลาเพียงแค่สามชั่วโมงเท่านั้นและวันนี้ในช่วงเช้าที่มีหมอกลงจัด เหล่าปีศาจทั้งเจ็ดคนพร้อมด้วยเครื่องร่อนของพวกเขาได้ปรากฎตัวขึ้น
ถ้าดูจากจำนวนของพวกเขา ฉันเดาว่ามันน่าจะต้องเป็นหน่วยลาดตระเวน
ฉันเล็งไปที่หัวของมนุษย์ที่ปรากฏเข้ามาในสายตาของฉัน
ระยะห่างอยู่ระหว่าง 7 กิโลเมตรหรือมากกว่านั้น
ด้วยระยะขนาดนี้นั้นเป็นเรื่องยากสำหรับขอบเขตการยิงของไรเฟิลปกติแต่ว่าด้วยกระสุนเสริมอีเทอร์ของฉันมันก็มากพอแล้ว
และมันเป็นตัวฉันเอง คนที่มีพรสวรรค์นักแม่นปืนที่ซึ่งกำลังถือปืนนี้อยู่
…ตึง!
หนึ่งในนั้นล่วงลงไปราวกับนกกระจอกที่ล่วงหล่นจากท้องฟ้าเมื่อโดยพรานป่าสอยลงมา
……………………………………………………..
……………………………………………………..
มาลีรินที่ถือชาน้ำผึ้งในมือข้างหนึ่งและ ‘กระถางดอกไม้’ ในมืออีกข้างหนึ่ง
ท่านผู้นำทางแห่งจิตวิญญาณได้บอกให้เธอถือมันเอาไว้ตลอดเวลาดังนั้นนี้เลยเป็นสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่แม้ว่ามันจะไม่ได้สะดวกสะบายสักเท่าไหรนักก็ตาม
เธอได้ปีนขึ้นไปบนต้นไม้ในขณะที่ถือมันไว้ในมือ
พี่สาวของเธออาริลินอยู่ที่ต้นไม้ต้นนี้ซึ่งเป็นต้นที่สูงที่สุดตลอดเวลาที่ผ่านมา
มันไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกจากการที่ว่าอาริลินนั้นชอบท้องฟ้า
มาริลินและพี่สาวของเธอชองที่จะมองออกไปยังท้องฟ้าด้วยกัน
เหล่าแฟรี่แห่งรุ่งอรุณทั้งหลายชอบสีม่วงแต่ด้วยเหตุผลบางอย่างเหล่า ‘เจ้าหญิง’ ทั้งหลายนั้นพิเศษออกไปที่พวกเธอกลับชอบสีอื่นที่ไม่ใช่สีม่วงแทน
ตัวอย่างเช่น เจ้าหญิงลำดับที่สามชอบสีเขียว และเจ้าหญิงลำดับที่สี่เองก็ชอบสีแดง
ก๊อก ก๊อก
เธอเคาะไปที่ประตูแต่ไม่ได้รับเสียงตอบใดๆกลับมา
เพื่อที่จะดูแลอาริลินเจ้าหญิงทั้งห้าคนได้สวดภาวนา
หรือว่าพวกเธอไม่ได้ยินฉันเพราะว่ากำลังมีสมาธิเป็นพิเศษอย่างนั้นเหรอ?
ไม่มีทาง
“น้องข้า ข้าจะเข้าไปแล้วนะ”
มาริลินพูดเช่นนั้นเปิดประตูออกด้วยความระมัดระวังและรีบปิดไปที่จมูกของเธอเองโดยสัญชาตญาณ
มีบางอย่าง
มีกลิ่นที่น่าสงสัยบางอย่างกำลังพัดเข้ามาในจมูกของเธอ
‘นี้มัน…?’
มองเข้าไปด้านใน
เจ้าหญิงทั้งห้าคนที่ควรจะดูแลอาริลินอยู่ได้นอนอยู่ที่พื้นแทน
‘แก๊ส…ยาสลบ…?’
เธอรู้จักมัน มันเป็นความสามารถที่ถูกใช้โดยเหล่าปีศาจพวกนั้น
ระเบิดแก๊ซ ความสามารถที่บังคับให้เหล่าแฟรี่แห่งรุ่งอรุณนั้นหลับไหลลงได้
แต่ว่าทำไมมันถึงได้มาอยู่ที่นี้
‘ไม่มีทางน่า!’
มาริลินพุ่งไปที่ข้างเตียงพร้อมกับปิดจมูกของเธอเอาไว้แล้วยืดมือของเธอออกไปเช็คลมหายใจของพี่สาวเธอ
‘ไม่…หายใจแล้ว…?’
เผชิญหน้ากับความเป็นจริงที่น่าเหลือเชื่อนี้มาริลินถึงกับร่วงลงไปที่พื้น
อาริลิน
ตายแล้ว
“อ้า…”
เธอได้ปล่อยมือของเธอออกโดยที่ไม่รู้ตัวและเผลอสูดลมหายใจเข้าไป
สัมผัสของเธอเริ่มที่จะรู้สึกด้านชาขึ้นเรื่อยๆ
ในขณะที่ความสัมผัสของเธอค่อยๆหายไป มาริลินได้มองไปที่ใบหน้าของเหล่าน้องสาวเธอที่นอนอยู่ที่พื้นที่ละคน
มีแค่สี่คนเท่านั้น
แตะ แตะ!
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า มาริลินได้หันหน้าของเธอไปมองอย่างช้าๆ
เป็นคนที่มีสีผมและสีของดวงตาที่เหมือนกันกับเธอ เป็นน้องสาวของเธอ เจ้าหญิงลำดับสุดท้ายได้ยืนอยู่ตรงนั้น
“…น้องเล็ก”
“ท่านพี่ ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง?”
“นี่…นี่…เป็นฝีมือของเจ้างั้นเหรอ…?”
คนที่ใสซื่อบริสุทธิ์เสมอมา
เด็กน้อยที่ร่าเริงยิ่งกว่าใครๆคนที่นำมาพารอยยิ้มมาสู่เหล่าแฟรี่ทั้งหลาย
เธอยังคงมีการแสดงออกที่ร่าเริงอยู่บนใบหน้าของเธอ
“ใช่แล้วค่ะ”
“…ทำไม?”
“เพราะว่ามันถึงเวลาแล้ว”
มาริลินกำลังฝืนเอาไว้อยู่ด้วยพลังใจของเธอ
‘ต้องไม่หลับไป’
ด้วยความคิดที่ว่าหากเธอหลับไปหละก็ทุกคนที่เหลือจะต้องตาย
แต่มันมันไม่ได้มาจากพลังใจของมาริลินหรอก
“…หืม มันดูเหมือนว่าท่านจะกำลังได้รับ ‘มรดกวิญญาณ’ อยู่นะคะ แค่เพราะว่าท่านเกิดก่อน พวกท่านทั้งหมด ท่านไม่คิดว่ามันผิดบ้างหรอกเหรอ?”
“เจ้ากำลังจะสื่อถึงอะไรกันแน่…นี่มัน…ชัดเจนอยู่แล้ว…”
มันเป็นความจริง
มันก็เป็นแบบนี้เสมอมา เป็นมาแบบนี้ และจะเป็นแบบนี้ต่อไป
นี้เป็นธรรมเนียมของเหล่าแฟรี่แห่งรุ่งอรุณ
แต่ถึงอย่างนั้น เจ้าหญิงคนเล็กที่สุดกลับไปสามารถยอมรับเรื่องพวกนี้ได้
“ไม่ค่ะ ท่านคิดผิดแล้ว ข้า…ข้าไม่คิดว่ามันจะสมเหตุสมผลเลยที่จะเป็นพวกท่าน คนที่ไม่มีพรสวรรค์และความฝันจะได้รับสืบทอดความสามารถเช่นนี้”
“…อะไรนะ?”
เจ้าหญิงคนเล็ก ซาริลิน ได้ผายมือของเธอออก
ทันใดนั้นเอง ลมกระโชกที่รุนแรงได้เริ่มที่หมุนวนอยู่ที่บนมือของเธอ
‘…ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้รับมรดกวิญญาณก็ตาม แต่นี้มันเป็นพลังของจิตวิญญาณแน่นอน!’
“อะไร…?”
“มันเป็นพรสวรรค์ค่ะ ท่านพี่ข้าเกิดมาพร้อมกับพลังที่สามารถจะควบคุมเหล่าจิตวิญญาณได้ จิตวิญญาณทุกๆตนนั้นรักข้าและข้าก็รักพวกเขาเช่นกัน…และเมื่อใดก็ตามที่ข้าได้รับการสืบทอดมรดกวิญญาณ พรสวรรค์นี้ก็จะส่องประกาย”
“แค่เพราะว่าข้าเด็กที่สุด ทำให้มันไม่มีทางเลยที่ข้าจะมีโอกาสได้รับมรดกนี้”
มันจะต้องรู้สึกแย่แค่ไหนกัน
มันเป็นเรื่องที่เหล่าแฟรี่ทั้งหลายไปไม่เคยได้รู้เลย
“…ไม่มีทาง ทั้งหมดนี้เพื่อเหตุผลเช่นนี้นะเหรอ?”
“ไม่ค่ะ”
ไม่ใช่แค่นั้น
“ท่านพี่ นี่ท่านไม่รู้เลยใช่ไหมค่ะ? มันมีมากว่าหนึ่งร้อยเกาะที่อยู่รอบข้างเกาะแห่งความฝันในโลกใบนี้ ท่านรู้เรื่องนี้บ้างไหมค่ะ?”
“…”
“ตัวตนพวกนั้นที่พวกเราได้เรียกพวกเขาว่าเป็นปีศาจก็ไม่ใช่ปีศาจจริงๆ พวกเขาแค่มีความก้าวหน้าทางวิทยาการที่มากกว่าพวกเขาเล็กน้อย แม้ว่าจะโลภมากไปบ้าง…ดังนั้นพวกเขาเลยมี ‘สิทธิที่จะฝันได้’ ในเรื่องราวที่โรแมนติกมากมาย”
ซาริลินค่อยๆเข้ามาหามาริลินและเชิดคางของเธอขึ้น
“อีกไม่นาน โลกใบนี้จะลุกเป็นไฟ เหล่าปีศาจ…ไม่สิ ‘มนุษย์’ ได้ค้นพบหนทางที่ไปยังดินแดนอื่นได้แล้วทำให้มันเป็นไปไม่ได้สำหรับเกาะแห่งนี้ที่จะรองรับพวกเราทุกคนไว้ได้”
ดังนั้น
“พวกเรากำลังจะเริ่มสงครามกับโลกใบนี้ท่านไม่เห็นหรอกเหรอ? โดยที่พวกเราไม่รู้ตัว สงครามได้เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้วพวกเราแค่ไม่รู้ว่ามันเกิดและได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุขเท่านั้นเอง ข้าแค่…ข้าแค่ต้องการที่จะปกป้องเหล่าแฟรี่แห่งรุ่งอรุณทั้งหลายเอาไว้ เฮ้ ท่านที่ เฮ้! ท่านเคยได้ยินเกี่ยวกับ ‘สงคราม’ บ้างไหม? ท่านรู้ไหม ไม่ฆ่าก็ตาย สงครามก็เป็นเช่นนั้นเอง”
“…”
“จากการอ่าน ‘หนังสือต้องห้ามของแฟรี่แห่งรุ่งอรุณ’ ข้าก็ได้เข้าใจทุกสิ่ง ดังนั้นข้าได้ร่วมมือกับพวกมนุษย์ข้ากำลังจะแต่งงานกับหนึ่งในพวกเขาและมีลูกด้วยกัน ข้าคนที่มีจิตวิญญาณและมนุษย์ที่มีสายลมและดินปืนจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน มันเป็นสิ่งที่น่ามหัศจรรย์ไปเลยนะค่ะ? ว่าอย่างนั้นไหม?”
มาริลินที่มีดวงตาที่สั่นเทาได้ถามขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นแล้ว มันเป็นเจ้าใช่ไหมที่พาปีศาจพวกนั้นมาที่นี้…?”
“ใช่แล้วค่ะ ในตอนนี้อาริลินได้ตายไปแล้วมันก็คงอีกไม่นานก่อนที่มนุษย์พวกนั้นจะมาถึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้นนะคะ ที่ข้าบอกกับท่านทั้งหมดเป็นความจริงเพราะว่าข้ารักท่าน พวกเขาจะไม่ปฏิบัติต่อเราไม่ดีอย่างแน่นอน”
ซาริลินลูบไปที่คางของมาริลินอย่างเบามือ
“ท่านพี่ ไปจากที่นี่ด้วยกันเถอะค่ะ ไปจากเกาะแห่งความฝันนี้”
เหล่าแฟรี่แห่งรุ่งอรุณไม่เคยมีความฝันใดๆเพราะว่าชีวิตของพวกเขานั้นราวกับว่าเป็นความฝันอยู่แล้ว
“มันถึงเวลาแล้วที่ท่านจะต้องตื่นจาก ‘ความฝัน’ นี้แล้ว”
ดังนั้น
“ส่งสิทธิการสืบทอดของท่านมาให้ข้า”
มาริลินที่พึ่งจะได้รับการสืบทอดมานั้นยังไม่สามารถที่จะใช้งานพลังของจิตวิญญาณได้อย่างเหมาะสม
ในทางตรงกันข้ามซาริลินที่มีพรสวรรค์ในการควบคุมเหล่าจิตวิญญาณและเคยได้ใช้ความสามารถแบบเดียวกันมาแล้วดังนั้นเธอเลยสามารถที่จะเอาชนะมาริลินได้อย่างง่ายด่าย
[นี่…]
ทุกอย่างควรจะเป็นอย่างนั้น แต่…
[นี่ เธอไม่ควรที่จะทำแบบนั้นนะ…]
“…หืม?”
สายลมนั้นได้หยุดลง