ตัวเอกพวกนั้นฉันฆ่าเองแหละ (The Protagonist Are Murdered by Me) - ตอนที่ 50
“ไอ้เจ้าบ้าเอ้ย นี่นายเสียสติไปแล้วหรือยังไงกันหะ?!”
พายุได้พัดโหมกระหน่ำออกมาจากชั้นที่ 47 ในห้องพักของฮันเตอร์แรงค์ S ในศูนย์ใหญ่ของกิลด์เวลเว็ทที่ยออึยโด
รองหัวหน้ากิลด์ โอฮยอนจุง เข้ามาในห้องเป็นการส่วนตัวและตะโกนออกไป
หลีกเลี่ยงสายตาของเธอ เหล่าฮันเตอร์แรงค์ S ทั้งหลายด้านในลุกขึ้นจากที่นั่งของตนและหนีออกไป
แต่อย่างไรก็ตามตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ ลีจุนซอกยังคงนั่งอยู่ที่เดิมและกินมันฝรั่งทอดของเขาต่อไป
มันฝรั่งทอดรสพริกแดงบลูโกกิที่ดูเผ็ดร้อนและน่าอร่อยเป็นอย่างมาก
“ไอ้บ้าเอ้ย…นาย ที่นายรู้บ้างไหมว่ามันยากแค่ไหนกว่าที่ฉันจะแย่งตำแหน่งผู้บัญชาการสำรวจรอยแยกในครั้งนี้มาได้นะ?”
โอฮยอนจุง
ฮันเตอร์เกษียณอายุที่ได้ปลุกพลังพิเศษที่หาได้ยากที่สุดซึ่งเรียกว่าพลังจิตขึ้นมาแต่ว่าความสามารถสูงที่สุดที่เธอไปถึงได้ก็คือแรงค์ C เนื่องจากขีดจำกัดด้านพรสวรรค์ของเธอ
แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจากว่าตำแหน่งทางการเมืองและทักษะทางธุรกิจของเธอทำให้เธอทะยานขึ้นไปสู่ตำแหน่งรองหัวหน้ากิลด์เวลเว็ทได้
เช่นนั้นแล้วทำให้คำพูดของเธอนั้นมีน้ำหนักเป็นอย่างมากภายในกิลด์นี้…
“ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นปัญหามากมายอะไรนิครับ”
ตามจริงแล้ว ลีจุนซอกแม้กระทั้งได้รับโทรศัพท์จากสมาคมฮันเตอร์เกาหลีโดยเฉพาะสำหรับการขอให้เขานำหนึ่งในทีมที่จะเข้าสู้รอยแยกลึกลับด้วยตัวเอง
เขาเป็นหนึ่งในคนที่แข็งแกร่งที่สุดในเกาหลีและ ‘สมควรแล้ว’ ที่จะได้รับแรงค์ท็อป 100 จากการจัดอันดับและความสำเร็จในสังคมฮันเตอร์
แต่เขาได้ปฏิเสธตำแหน่งผู้บัญชาการไป
ง่ายๆเลยเพราะว่าตำแหน่งนี้ไม่ได้เหมาะสมกับเขา
ลีจุนซอกรู้ว่าเขาแข็งแกร่งแต่ว่าเขาก็ยังเข้าใจว่าสิ่งไหนดีสำหรับตัวเขาเองอยู่
แค่เพียงพราะว่าเขาเป็นยอดมนุษย์แรงค์ S นั้นมันต้องหมายความว่าทักษะในการเป็นผู้นำของเขาจะเป็นแรงค์ S ด้วยงั้นเหรอ?
ไม่มีทาง
พลังพิเศษของลีจุนซอกต้องการสมาธิเป็นพิเศษในการใช้งานดังนั้นเขาไม่สามารถที่จะแบ่งความสนใจของตนเองไปที่คนอื่นได้
ไม่สิ แม้แต่การที่จะต้องฟังคำสั่งของใครสักคนในบางครั้งก็สามารถเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาจิตใจอ่อนล้าได้เช่นกัน…
แล้วกับการที่จะต้องมาเป็นผู้บัญชาการนะเหรอ
มันฟังดูเป็นเรื่องไร้สาระสิ้นดีแต่สิ่งที่สาธารณะชนต้องการกลับเป็นความสามารถ,ชื่อเสียง และประสบการณ์การเป็นฮันเตอร์เพื่อที่จะเป็นผู้นำ
ดังนั้นแล้วด้วยจุดขายนั้นเองที่ทำให้โอฮยอนจุนสามารถที่จะสรรหาตำแหน่งผู้บัญชาการมาให้กับลีจุนซอกได้
“นี่นายกำลังล้อเล่นอยู่งั้นเหรอ? นี้นายรู้ไหมว่าใครเป็นคนที่ทำให้นายขึ้นมาถึงตำแหน่งนี้ได้”
“ตำแหน่งในปัจจุบันของผมเกิดจากความพยายามของตัวผมเอง คุณก็แค่กระตือรือร้นที่จะขายชื่อของผม คุณทำให้ผมมีชื่อเสียงซึ่งมันก็ส่งผลดีกับตัวคุณเองมันเลยกลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณในการที่เขาหาใครสักคนเมื่อคุณต้องการขอความช่วยเหลือเท่านั้นเอง”
“นั้นมันเรื่องน่าขำสิ้นดี…เกิดบ้าอะไรขึ้นกับนายกันแน่เนี่ย?”
“และนอกจากนี้แล้ว ผมเคยได้พูดไปแล้วนะครับว่าผมไม่ต้องการที่จะเป็นผู้บัญชาการถ้างั้นแล้วทำไมคุณถึงได้ยังเลือกให้ผมเป็นอีกหละครับ?”
“ไม่ใช่ว่ามันชัดเจนอย่างนั้นเหรอ? ก็ให้เพื่อนาย-”
“ไม่ครับ ไม่ใช่สำหรับผม แต่สำหรับตัวคุณเอง”
เขามองไปที่โอฮยอนจุนด้วยสายตาที่เย็นชา
มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จากการที่ฮันเตอร์ได้กลายมาเป็น ‘ผลิตภัณฑ์’ ในทุกวันนี้
แต่อย่างไรก็ตาม กิลด์เวลเว็ทได้ก้าวไปไกลมากกว่านั้น
เหล่าฮันเตอร์ไม่ได้เป็นลิงในคณะละครสัตว์ที่ทำได้เพียงแค่ล่ามอนสเตอร์และแสดงโชว์พลังพิเศษเท่านั้น
ต้องขอบคุณทักษะทางด้านธุรกิจของโอฮยอนจุนซึ่งค่อนข้างที่จะมีชื่อเสียงในกิลด์เวลเว็ทแต่ว่านั้นก็เป็นทั้งหมดแล้ว
ไม่ว่าใครก็ตามในพวกเขาคงจะตายในไม่กี่วันหากถูกปล่อยทิ้งไว้ใน ‘สนามรบที่แท้จริง’
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ท่ามกลางเหล่าฮันเตอร์แรงค์ S ทั้งหมดในกิลด์นี้ ลีจุนซอกเป็นเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถเอาชีวิตรอดจาก ‘สนามรบที่แท้จริง’ ได้และสามารถที่จะต่อสู้กับบางสิ่งที่เหมือนกับรอยแยกลึกลับในครั้งนี้ได้
การให้ตำแหน่งผู้บัญชาการกับใครสักคนแทนเขาหนะเหรอ?
โอฮยอนจุนไม่สามารถทำแบบนั้นแม้ว่าเธอจะต้องการก็ตาม ดังนั้นแล้วเธอไม่มีทางเธออื่นเลยนอกจากการเสนอชื่อลีจุนซอกซึ่งเป็นคนที่มีนิสัยกระด้างกระเดื่องมากที่สุดจากสมาชิกภายในกิลด์ทั้งหมด
“…ได้ๆ ทำอะไรก็ได้ที่นายต้องการเลย ฉันรับรู้อะไรด้วยแล้วนะ ฉันจะรายงานเรื่องนี้ให้กับหัวหน้ากิลด์ไปทั้งๆแบบนี้เลยหละกัน”
“แน่นอนครับ”
หลังจากที่โอฮยอนจุนได้จากไปด้วยการกระแทกไปที่ประตูด้านหลังของเธอ ลีจุนซอกได้วางห่อมันฝรั่งทอดลง
ไม่ว่าจะกรณีไหนก็ตามระบบภายในของกิลด์นี้ก็ได้ล้มสลายไปแล้วและเขาก็เริ่มที่จะเบื่อหน่ายมัน
ไม่ใช่แค่เพียงรองหัวกิลด์แม้แต่ตัวหัวหน้ากิลด์เองก็ได้ออกจากสนามรบมาตั้งแต่เมื่อห้าปีที่แล้ว
แม้แต่เมื่อห้าปีที่แล้วเองก็มีเหล่าฮันเตอร์แรงค์ S หลายสิบแล้วที่ได้ถูกโฆษณาทางทีวี
กิลด์นี้ได้กลายมาเป็นสถานที่ซึ่งไม่เหมาะสมกับลีจุนซอก คนที่สามารถจะเอาชีวิตรอดในสนารบที่แท้จริงได้อีกต่อไปแล้ว
แต่แค่ว่าในตอนนี้เขาไม่มีที่ไหนให้ไปดังนั้นเขาจึงได้ติดแหง็กอยู่ที่นี้มาสักพักแล้ว
เหม่อลอยไปสักพักก็มีเสียงของใครบางคนที่ได้เคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามา”
มันเป็นอันฮีจอง
คนที่ได้ปลุกพลังที่แรงค์ A ซึ่งหาได้ยากเป็นอย่างมากขึ้นมา
ลีจุนซอกเชื่อว่าด้วยความทะเยอทะยานอันสูงส่งของเธอ เธอจะต้องกลายมาเป็นฮันเตอร์คนสำคัญในอนาคตเป็นแน่
เธอก็แค่มาลงเอยผิดกิลด์
มันชัดเจนว่ามันขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นเองก่อนที่ชื่อเสียงของอันฮีจองจะทะยานขึ้นไป
แต่ถึงอย่างนั้นไม่นานนักพรสวรรค์ของเธอก็จะค่อยลดลงเหลือเพียงแค่ความสามารถที่ไว้ใช้แสดงละครสัตว์เหมือนอย่างคนพวกนั้น
ด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม เธอมองไปที่ใบหน้าของลีจุนซอกชั่วขณะหนึ่งแล้วพูดขึ้น
“รุ่นพี่ค่ะ”
“อ่าหะ มีไรก็ว่ามา”
ลีจุนซอกพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนทำให้อันฮีจองถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ใบหน้าที่แสนเย็นชาและไร้เยื้อไยจากวันก่อนที่งานอภิปรายวิชาดาบนั้นให้ความรู้สึกที่ฝั่งใจกับเธอ
“มันเป็นเพราะความโง่เขลาของฉันเองค่ะ”
“เยี่ยม ถ้าเธอเข้าใจอย่างนั้นแล้วทำไม…”
“ไม่ค่ะ ไม่ใช่แบบนั้นค่ะรุ่นพี่”
“หา?”
ขณะที่ลีจุนซอกมองไปที่อันฮีจองด้วยความสงสัยว่าเธอกำลังพูดถึงอะไรกันแน่ เธอก็พูดออกมาด้วยสีหน้าอันแน่วแน่ของเธอ
“แต่ว่าฉันยังเชื่อในการตัดสินใจของรุ่นพี่อยู่เสมอค่ะ”
มันเป็น…
เรื่องง่ายๆ อันฮีจองนั้นมีอารมณ์ความรู้สึกซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งที่มนุษย์ทุกคนพึ่งจะมี
‘อ้า ด้วยเส้นทางนี้แล้ว ฉันจะประสบความสำเร็จถ้าฉันใช้มัน’
ความปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จ,ความต้องการที่จะมีชื่อเสียง หรืออยู่เหนือกว่าคนอื่นในอนาคต
ความทะเยอทะยาน
เมื่อคิดเกี่ยวกับมันตามหลักเหตุผลแล้วถ้าคุณต้องการที่จะประสบความสำเร็จจริงๆแล้วหละก็ เส้นทางปกติก็คือการเข้าร่วมกิลด์ที่มีแรงค์ระดับสูงตั้งแต่เริ่ม
และด้วยความเป็นจริงข้อนี้กิลด์เวลเว็ทนั้นนับเป็นเส้นทางที่มั่นคงทางหนึ่งซึ่งได้ขยายออกไปทั่วโลกแล้ว
พูดตามตรงเลยก็คือเมื่อเธอได้คิดเกี่ยวกับมันด้วยเหตุผลแล้วมันกลับไม่มีเหตุผลเอาซะเลย
และเธอเพียงแค่ทำตามสัญชาตญาณของตัวเธอเอง แม้ว่าเธอจะยังคงรู้สึกสับสนอยู่ก็ตาม
‘เกิดอะไรกับฉันกันแน่? นี่ฉันเป็นบ้าไปจริงๆแล้วอย่างนั้นเหรอ? ก็แค่ทำทุกอย่างด้วยความด้วยความระมัดระวังและไม่ทำอะไรเลยไง…!’
ในทางตรงกันข้ามสิ่งที่เธอคิด ปากของเธอได้พูดในสิ่งที่แตกต่างออกไป
“ฉันแน่ใจว่าจะต้องมีสมาชิกทีมจำนวนมากที่ต่อต้านการตัดสินใจของคุณดังนั้นฉันจะสนับสนุนรุ่นพี่ค่ะ…ตามจริงแล้วฉันยังไม่เชื่อฮันเตอร์แรงค์ F คนนั้นแต่ว่าฉันเชื่อในตัวรุ่นพี่ของฉันเองที่เชื่อมั่นในตัวฮันเตอร์เช่นนั้น”
“…ฉันเข้าใจแล้ว”
ลีจุนซอกได้จ้องไปที่อันฮีจองเป็นเวลานาน
แล้วในทันทีที่เขาได้ยิ้มออกมา
“ฮีจอง”
“อะไรเหรอค่ะ?”
“ขอบคุณนะ”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น อันฮีจองก็ได้พึมพำออกมา
“ฉันไม่ได้ทำแบบนี้เพื่อจุดประสงค์ของรุ่นพี่ซะหน่อย…”
……………………………………………………..
……………………………………………………..
ณ เขตชอวอน คังวอน
ในพื้นที่ซึ่งคาดว่ารอยแยกลึกลับจะปรากฏขึ้นมานั้นได้รับการเตรียมการไว้อย่างเต็มที่จากทางกองทัพตั้งแต่เมื่อหนึ่งสัปดาห์ที่แล้ว
นับตั้งแต่ที่มีการปรากฏตัวขึ้นมาของเหล่ายอดมนุษย์ ลำดับชั้นทางการทหารก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วด้วยการที่ตำแหน่งลำดับสูงส่วนมากนั้นถูกแทนที่ด้วยเหล่ายอดมนุษย์แทน
ถึงแม้ว่าแรงค์ของเหล่ายอดมนุษย์จะไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่สอดคล้องกันกับแรงค์ทางการทหารโดยตรงแต่มันก็ยังเป็นเรื่องธรรมชาติที่ยอดมนุษย์ซึ่งมีแรงค์ที่สูงกว่าจะสามารถปีนปายขึ้นไปยังยศทางการทหารที่สูงกว่าได้
ด้วยเหตุผลนั้นเองที่ทำให้มีทีมทหารสองทีมซึ่งประกอบไปด้วยเหล่ายอดมนุษย์ได้ถูกส่งมายังรอยแยกครั้งนี้เป็น 100 นายจากหน่วยปราบปรามความผิดปกติแห่งชาติและอีก 50 นายจากสมาคนฮันเตอร์แล้วยังคงเหลืออีกหลายทีมที่จัดขึ้นจากเหล่าฮันเตอร์ซึ่งมาจากกิลด์อิสระอื่นๆ
แม้ว่ารอยแยกลึกลับจะเกิดขึ้นที่เกาหลีก็ตามแต่การแข่งขันสำหรับสิทธิในการเข้าสู่ภายในรอยแยกนี้นั้นก็ยังคงรุนแรงซึ่งส่งผลให้อีก 9 ทีมที่เหลือล้วนประกอบด้วยฮันเตอร์จากกิลด์ที่แตกต่างกันมากมาย
ด้วยการที่มีสมาชิกจากกิลด์ที่แตกต่างกันมากมายภายในทีมๆหนึ่งแต่ก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความชัดแข้งภายใน
เพราะว่าในอดีตเคยมีอยู่หลายครั้งหลายคราวที่มีความขัดแย้งภายในเช่นนั้นเกิดขึ้นและมันได้ทำให้ทีมทั้งหมดพังพินาศลง
‘นี้มันน่าอึดอัดจังแหะ’
ซอดัมค่อยๆมองไปยังโดยรอบไปที่ดวงตาอีก 49 คู่ที่กำลังมองตรงมาที่เขา
แท็บเล็ตในมือของเขาได้แสดงข้อมูลโดยสรุปของพวกเขาไม่ว่าจะเป็นกิลด์,พลังพิเศษ,แรงค์ และ ประสบการณ์
ถ้าหากว่าซอดัมนั้นเป็นหนึ่งในกิลด์พวกนั้นแล้วหรือมีคนรู้จักบางคนหรือไม่ก็คนหนุนหลังบางคนแล้วหละก็ เขาคงจะไม่ต้องรับมือกับสถานการณ์ที่เป็นปัญหาเช่นนี้
มันเป็นสายตามุ่งร้ายที่มองตรงมาจากทุกทิศทาง
และมันไม่ได้แค่มาจากทีมของเขาเท่านั้น
แม้แต่ทีมอื่นๆเองก็มองมายังเขาด้วยสายตามุ่งร้ายเช่นกัน
“ฉันเคยได้ยินมาว่าผู้บัญชาการของทีม 7 เป็นแรงค์ F อย่างนั้นเหรอ?”
“นี้มันสมเหตุสมผลแล้วอย่างนั้นเหรอ?”
“นี้เป็นรอยแยกลึกลับเลยนะเว้ย”
“เหอะๆ ในอดีตแล้วฮันเตอร์แรงค์ F ทุกคนที่ได้เข้าไปในรอยแยกก็ล้วนตกตายกันหมดดังนั้นทำไมเขาถึงได้เลือกทำแบบนี้ก็ไม่รู้นะ?”
ซอดัมยิ้มออกมาด้วยความขมขื่น
ในความเป็นจริงแล้ว ฮันเตอร์แรงค์ F ได้พยายามมากกว่าหลายต่อหลายครั้งเพื่อที่จะปราบรอยแยกลึกลับแต่ว่าส่วนมากแล้วมันมักจะลงด้วยความล้มเหลว
…มันมีเหตุผลสำหรับความล้มเหลวที่เกิดขึ้นแต่ว่าข้อแก้ตัวพวกนั้นก็ล้วนไร้ความหมายใดๆ
มีเพียงแค่ความจริงที่ว่าพวกเขาล้มเหลวในตอนจบเท่านั้นที่สำคัญ
และบางทีลีจุนซอกคงจะได้คาดการณ์สถานการณ์เช่นนี้ไว้แล้ว ว่าผู้คนเหล่านี้จะต้องไม่เชื่อถือในตัวของผู้บัญชาการที่เป็นเพียงแค่แรงค์ F และเขาก็คงคิดว่าถ้างั้นแล้วทำไมถึงไม่ให้คนเช่นนี้ได้แสดงออกอย่างผ่าเผยถึงทักษะทางด้านการวางแผนและการตัดสินใจของพวกเขาแทนหละ?
ถึงแม้ว่าคนพวกนี้จะไม่ได้มีพลังพิเศษใดๆแต่พวกเขาก็ยังคงแข็งแกร่งเช่นเดิมนิ!
ลีจุนซอกต้องการที่จะให้โลกทั้งใบได้รับรู้ถึงความจริงข้อนี้
นั้นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมลีจุนซอกและอันฮีจองถึงได้กำลังโน้มน้าวทีมที่ 7 อยู่ในตอนนี้
“เขาคุ้มค่าสำหรับการเป็นผู้บัญชาการมาเลยนะครับ ด้วยทักษะการตัดสินใจที่เฉียบแหลมของเขาไม่มันเหมือนกับผมที่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการเพ่งสมาธิไปที่การต่อสู้เท่านั้น…”
“แต่ถึงอย่างนั้นก็เหอะยังไงผมต้องการผู้บัญชาการที่สามารถจะนำอยู่ด้านหน้าของการรบได้ด้วยตัวเองนะครับ!”
“ผู้บัญชาการเช่นนั้นนะแน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ดีค่ะแต่ว่าเขาคนนี้สามารถที่จะนำกองทัพของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งกว่าอีกนะคะจากทางด้านหลัง…!”
มองไปที่ชายและหญิงสองคนนั้นที่กำลังพยายามโน้มน้าวคนอื่นอย่างสิ้นหวังแล้ว ซอดัมได้ยิ้มออกมา
ตามจริงแล้วซอดัมไม่ได้มีความตั้งในที่จะทำอย่างที่ลีจุนซอกต้องการหรอก
การตัดสินใจ,การวางแผน และความรู้จากคนธรรมดาคนหนึ่งยังจำเป็นสำหรับโลกใบนี้อีกอย่างนั้นหรือ?
เรื่องพวกนั้นคงไม่จำเป็นที่จะต้องพิสูจน์ด้วยซ้ำ
อย่างดีที่สุดแล้วมันจะแค่ทำให้เขาได้อาชีพครูหรือไม่ก็นักเขียนหนังสือ
‘แน่นอนว่ามันก็สำคัญเช่นกัน’
แต่ก็นะ นั้นคือทั้งหมดแล้ว
ดังนั้นสำหรับรอยแยกลึกลับนี้แล้ว แผนของซอดัมก็คือการพิสูจน์ว่าแม้แต่คนธรรมดาทั่วไปก็สามารถที่จะกลายมาเป็นคนที่แข็งแกร่งได้ผ่าน ‘พลังแฝง’ ซึ่งไม่ใช่จาก ‘พลังพิเศษ’
พลังพิเศษและพลังแฝง
ในบางส่วนแล้วมันอาจที่จะดูเหมือนกันแต่ในความเป็นจริงแล้วมันมีความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างทั้งสองสิ่งนี้อยู่
ด้วยการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์นั้นได้กล่าวไว้ว่าพลังพิเศษนั้นได้รับมาทางกรรมพันธุ์ผ่านทางการดูดซับอีเทอร์
ส่วนอีกอย่างหนึ่งนั้นจนถึงทุกวันนี้แล้วก็ยังไม่มีความรู้มากนักเกี่ยวกับ ‘พลังแฝง’ มากไปกว่าเรื่องที่มันเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
ตั้งแต่ที่ฮันเตอร์ราวๆ 99.99% ในโลกนั้นเป็นยอดมนุษย์ทำให้แทบจะไม่มีใครรู้จักเกี่ยวกับ ‘พลังแฝง’ เลย
ดังนั้นด้วยเพลงดาบและเวทมนตร์ของเขาทำให้ซอดัมนั้นตั้งใจที่จะเปลี่ยนสิ่งพวกนี้ให้เป็นบางสิ่งที่ไม่ใช่พลังพิเศษอย่างเช่น ‘พลังแฝง’
‘เพื่อที่จะทำเช่นนั้นแล้ว…ฉันคงจะต้องใส่ความพยายามให้กว่านี้แล้วสินะ’
มันยังอีกไกลนัก ตอนนี้เขาเพียงแค่สามารถใช้เวทมนตร์แรงค์ D ได้ความช่วยเหลือจากเวทมนตร์ของจิตวิญญาณเท่านั้นเอง
อย่างไรก็ดีเขาไม่ได้กำลังที่จะเปิดเผยความชำนาญในเวทมนตร์ของตัวเขาเอง
เขาคงจะต้องต่อสู้แบบเอาชีวิตเขาแลกเพื่อที่จะโดดเด่นออกมาจากเหล่ายอดมนุษย์แรงค์ A และ S ที่มีรวมตัวกันที่นี้
นั้นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมสำหรับเพื่อนร่วมทีมทั้ง 49 คนที่กำลังรอคอยซอดัมแล้วนั้น เขาจึงได้พูดออกมาเป็นครั้งแรก
“ทุกๆท่านครับ”
“…!”
สายตาของคนทั้ง 49 คู่เพ่งเล็งไปที่จุดเดียวกัน
“ผมก็ตั้งใจที่จะสู้ในแนวหน้าเช่นกันครับ”
“…อะไรนะ?”
เหล่าผู้บัญชาการนั้นมีหน้าที่ที่จะต้องนำการต่อสู้
“แค่เพราะว่าผมเป็นแรงค์ F มันไม่ได้หมายความว่าผมตั้งใจที่จะที่จะละทิ้งหน้าที่ของผมซะหน่อยนิครับ”
มันค่อนข้างที่จะเป็นโอกาสมากกว่า
เป็นโอกาสที่จะได้รับความประทับใจที่มากขึ้นจากคนอื่นต่างหาก
“ผมรู้ว่าได้แต่พูดไปมันก็ไม่มีความหมายใดๆ นั้นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผมเปลี่ยนจากคำพูดของผมให้เป็นการกระทำต่อหน้าของพวกคุณทั้งหมดแทนครับ”
เมื่อจบประโยคของเขาลง เขาได้หันหลังกลับไปอย่างช้าๆ
เบื้องหน้าของเขาในตอนนี้เป็นรอยแยกลึกลับ เป็นรอยฉีกสีแดงที่ลากยาวตั้งแต่ท้องฟ้าลงมาจนถึงพื้นดินด้วยความสูงราวๆ 15 เมตร
ในขณะที่แต่ละทีมกำลังเข้าไปด้านในรอยแยกนั้น ซอดัมก็ได้ก้าวไปยังด้านหน้า
ในขณะที่สมาชิกทีม 7 ยังคงมองไปที่คนอื่น ลีจุนซอกและอันฮีจองได้แต่ต้องตามซอดัมไปอย่างไม่มีทางเลือกเป็นการบังคับให้คนที่เหลือในทีมนั้นตามพวกเขาไป
ยังไงก็ตามเขาก็เป็นผู้บัญชาการและจะทำการต่อสู้ในแนวหน้าดังนั้นไม่มีอะไรที่พวกเขาจะทำได้
มองไปที่สมาชิกทีมของตนที่กำลังตามมาอยู่ทางด้านหลัง ซอดัมได้เข้าไปในรอยแยก
วิ้ง-งง!
“…!”
เนื่องจากการที่อยู่ๆก็มาเจอกับพายุเข้าอย่างกะทันหันทำให้เขาค่อยปิดตาลงและเปิดมันขึ้นอีกครั้ง
โลกทั้งใบนี้ล้วนเต็มไปด้วยสีแดงอีกทั้งยังเต็มไปด้วยหน้าผาสีแดงที่กลับหัวกลับหางอยู่
และราวกับว่าเป็นการกลั่นแกล้งกัน มีบางสิ่งที่มีขนาดใหญ่เป็นอย่างมากและมีผิวเป็นตะปุ่มตะป่ำโผล่ขึ้นมากจากพื้นสีแดงนี้
[สกิล ทำอย่างไรถึงจะราวกับเป็นสายลม (A) ได้ถูกเปิดใช้งาน]
แม้ว่าพายุนี้จะรุนแรงแต่มันก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้ร่างกายของเขาสั่นไหวหรือปลิวไปกับพายุ
ไม่ว่าจะด้วยอะไรก็ตามมันทำให้เขาเคลื่อนที่ได้โดยปราศจากอุปสรรคใดๆ
‘เยี่ยม ฉันดีใจที่ฉันสามารถทนมันได้’
ค่อยๆมองลึกเข้าไปด้านในของรอยแยกคุณลูกค้าได้พูดขึ้น
<โลกใบนี้นั้นเป็นส่วนหนึ่งของ ‘ราชันยักษ์แดงอันทรงเกียรติที่ร่วงหล่น’ ค่ะ>
‘อะไรนะร่วงหล่นอย่างนั้นเหรอ?’
<มันหมายความว่าโลกใบนี้ได้ล้มสลายลงเป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ>
‘เหมือนกับครั้งที่แล้วอะนะ?’
<ถูกต้องแล้วหละค่ะ>
เพียงแค่ชำเลืองมองไปดูเหมือนว่าจะมีบางสิ่งบางอย่างที่ได้ตกลงมา
<ที่นี้คือผาพายุแดง เป็นสถานที่ที่เหล่ายักษ์จะมาเพื่อทำการทดสอบของตนก่อนหน้าที่โลกนี้จะล้มสลายค่ะ>
‘โห้ เธอรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไงกัน?’
<มันเป็นเพราะว่าสกิลนักล่าตัวเอกในตอนนี้มีเลเวล 3 แล้วค่ะทำให้แม้ว่าโลกจะล้มสลายไปแล้วก็ตามพวกเราก็ยังสามารถที่จะสัมผัสได้ถึงพล็อตอยู่ค่ะ>
‘โอ้ว? เฮ้ถ้างั้นแล้ว…’
ซอดัมเห็นว่ามีหุบเขาสีแดงขนาดยักษ์ที่มากถึง 12 หุบเขา
แต่ละหุบเขาขนาดยักษ์พวกนั้นมีขนาดเทียบเท่ากับภูเขาลูกหนึ่งเลยนั้นหมายความว่าแต่ละหุบเขาจะถูกจัดให้แต่ละทีม
‘…เธอรู้หรือเปล่าว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่นี่นะ?’
<ฉันไม่รู้รายละเอียดทั้งหมดหรอกค่ะรู้แค่เพียงเศษเล็กเศษน้อยเท่านั้น>
เมื่อได้ยินคำพูดของเธอแล้วซอดัมได้กำมือของตนแน่น
การที่ได้รู้และสามารถที่จะเตรียมพร้อมรับมือสำหรับความท้าทายที่กำลังจะเข้ามาได้นั้นน
สำหรับซอดัมแล้วเขารู้ดีเลยว่ามันเป็นสิ่งยอดเยี่ยมมากเพียงใดเนื่องจากว่ามันสามารถที่จะเพิ่มอัตราการรวดชีวิตของพวกเขาได้
ด้วยความปิติยินดีบนใบหน้าเขา เขาได้หันหลังกลับไปและมองไปที่สมาชิกในทีมของตน
“ทุกคนๆนับจากนี้ไปพวกเรา….เออ?”
ในตอนนี้ซอดัมสามารถที่จะมองเห็นได้เพียงแค่เงาร่างที่เลือนรางของเพื่อนร่วมทีมเขาเท่านั้นเอง
พวกเขาทั้งหมดกำลังหมอบตัวลงและจับยึดร่างของตนเองไว้ด้วยท่าทางซึ่งค่อนข้างที่จะน่าตลกเลยทีเดียว
“…นี้ทำอะไรกันนะ?”
ซอดัมได้ถามออกไป
ลีจุนซอกที่อยู่ในสภาวะที่ค่อนข้างดีกว่าคนอื่นได้ถามกลับไปด้วยความงุนงง
“คุณยูซอดัมครับ…นี่คุณไม่ได้รับผลกระทบจากพายุนี้เลยหรือครับ?”
พึ่งจะตอนนี้เท่านั้นเองที่ซอดัมได้มองดูไปที่สภาพแวดล้อมโดยรอยเขา
มองไปที่มันในตอนนี้แล้วไม่ใช่เพียงแค่ทีม 7 เท่านั้นแต่ว่าเป็นทั้งหมดทั้ง 12 ทีมเลยที่กำลังถูกพายุพัดใส่และไม่สามารถที่จะเคลื่อนที่ได้เลย
‘หา บ้าน่า’
สกิลของเขาได้ทำให้เขาผสานไปกันสายลมดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วมันทำให้เขาไม่ได้รู้ตัวเลยจนกระทั้งถึงตอนนี้
ว่าตามจริงแล้วพายุลูกนี้ก็เป็นหนึ่งในอุปสรรคที่ขวางการสำรวจรอยแยกครั้งนี้ของพวกเขาอยู่เช่นกัน