ตัวเอกพวกนั้นฉันฆ่าเองแหละ (The Protagonist Are Murdered by Me) - ตอนที่ 6
[ภารกิจเสร็จสิ้น กำลังดำเนินการกลับสู่โลกเดิม]
[ 400 วันของอายุขัยได้ถูกเพิ่มเข้ามา]
[อายุขัยคงเหลือ : 681 วัน 9 ชั่วโมง 34 นาที]
พร้อมกับเสียงป๊อปอัพที่ดังขึ้นในตอนที่ฉันได้นอนอยู่บนพื้นที่เย็นเยือกของห้องพัก ฉันได้สูดหายใจเข้าออกอย่างหนักหน่วง
ฉันโคตรเหนื่อยเลยตอนนี้
ถึงแม้ว่าจะไม่มีอุปกรณ์ของฉันอันไหนเลยก็ตามที่เสียหายอย่างสมบูรณ์เหมือนเมื่อครั้งก่อนแต่ กระสุนที่สุดแสนจะแพง ระเบิดสนามแม่เหล็ก 2 ลูก และ E4 ได้ถูกใช้ไป
ฉันต้องวิ่งเต้นไปรอบ ๆ อีกนานเลยเพื่อที่จะเติมเต็มเงินจำนวนนี้
มันเป็นสิ่งที่สามารถบรรยายออกมาได้ด้วยความขมขื่นเท่านั้น
ยิ่งคิดมากเท่าไหรเกี่ยวกับเงิน 100 ล้านวอน ในสัญญาเลิกจ้างนั้น ฉันก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเท่านั้น
บังคับร่างกายฉันให้ลุกขึ้นนั่ง ฉันพูด
“หน้าต่างสถานะ”
ชื่อ : ยูซอดัม (LV.22)
ความแข็งแกร่ง: 21 ความอึด: 20
ความว่องไว: 22 พลังงาน: 1
มานา: 5
พรสวรรค์
ความชำนาญดาบ (A+) สัญชาตญาณ (A)
นักแม่นปืน (C) การล่า (D)
การทำอาหาร(D-)
ทักษะ
นักล่าตัวเอก LV.1 เพลงดาบสีขาว (S)
การเพิ่มขึ้นของทักษะทำให้ฉันมึนงง
นั้นก็เพราะ ฉันได้รับสกิลแรงค์ S
บางทีอาจเป็นเพราะว่ามันเป็นดาบและมันไม่มีทักษะหรือพรสวรรค์ที่ฉันสามารถดูดกลืนเป็นสกิลได้
แต่ฉันก็เห็นเหมือนกันในตอนที่รูเล็ตหมุนอยู่ ว่ามันมีสกิลขยะที่ชื่อว่า ‘กลายเป็นดาบ (A)’
ซึ่งเป็นไปตามชื่อของมันคือมันสามารถเปลี่ยนฉันให้กลายเป็นดาบได้
และมันก็เป็นไปไม่ได้ด้วยที่จะคืนกลับมาเป็นร่างมนุษย์อีกครั้งด้วย
ฉันสงสัยว่าฉันจะทำอย่างไรถ้าฉันได้มันมา แต่โชคยังดีที่ฉันประสบความสำเร็จในการดูดกลืนสกิลแรงค์ S ที่ดาบศักดิ์สิทธิ์มี
มันเป็นสกิลที่ฉันต้องการมากที่สุดในตอนนี้เลยหละ
เพลงดาบ
ไม่สำคัญว่าพรสวรรค์แรงค์ A จะดีมากเท่าใด มันก็จะสะดวกมากกว่าที่จะเดินตามแนวทางที่เชื่อถือได้ดีกว่าที่จะบุกเบิกเส้นทางใหม่ด้วยตัวฉันเอง
และชำนาญดาบ (A+) นี้ก็เหมือนกันกับการปูถนนที่ราบเรียบให้กับรถสปอตคาร์
[เพลงดาบสีขาว (S) สกิลดาบที่สามารถกล่าวได้ว่าเป็นทุก ๆ ทักษะดาบในโลกล้วน มันไม่มีรูปแบบ แต่ก็เต็มไปด้วยรูปแบบจำนวนมาก มันไม่มีสไตล์แต่ก็มีมากมายหลายสไตล์ มันเป็นเหมือนพื้นผ้าที่ว่างปล่าวและคุณเป็นจิตกร นี้คือเพลงดาบสีขาว]
“…”
นี้คุณกำลังพูดถึงอะไรอยู่กันแต่เนี่ย?
ดังนั้นฉันเลยอ่านมัน อ่านแล้วอ่านอีก 30 ครั้ง และแล้วฉันก็เข้าใจ
“โอ้ ฉันสามารถใช้หรรมของฉันแทนดาบได้ใช่ไหม?”
<…>
มันไม่มีคำนิยามที่แน่ชัดให้กับเพลงดาบสีขาว
มันเป็นสกิลที่จะปรับปรุงรูปแบบดาบของฉัน ด้วยเวลาที่ผ่านไปเพื่อให้เหมาะสมกับการเหวี่ยงดาบของฉัน
นี้เป็นสกิลที่เปิดใช้งานสำหรับใครก็ตามครอบครองดาบศักดิ์สิทธิ์เบเร็ตเต้ให้กลายมาเป็นสุดยอดนักดาบ
ฉันไม่ได้รับวิสัยทัศใด ๆ ที่ได้รับการส่งต่อมากจากร้อยปีที่แล้ว
ไม่แม้กระทั้งจะเป็นสกิลที่ใช้สังหารศัตรูได้ในดาบเดียว
เป็นแค่สกิลดาบที่เปลี่ยนแปลงไปสู่รูปแบบที่เหมาะสมที่สุดสำหรับฉัน
มันคือเพลงดาบสีขาว
เมื่อฉันปิดตาลงและเพ็งจิต ภาพได้ถูกวาดในหัวของฉัน
ในท่าทางที่ฉันได้เหวี่ยงดาบ
ในจิตนาการของฉัน ฉันได้แกว่งดาบอีเทอร์ที่ยาว 1.2 เมตร กว้าง 2.5 เซนติเมตร และหนัก 1.4 กิโลกรัม
ทั้งสั้นกว่าและเบากว่าดาบที่ฉันใช้ในตอนนี้
ฉันเหวี่ยงมันเหมือนกับว่าฉันกำลังบินและรู้สึกเหมือนว่าร่างกายของฉันลอยไปในอากาศ
ฮึพ!
ฉันลุกขึ้นจากพื้น หยิบดาบอีเทอร์และหายใจเข้าเฮือกใหญ่
ทันทีที่ปอดของฉันเต็มไปด้วย ‘มานา’
‘นี้คือ…วิธีการดูดซับมานา?’
เมื่อก่อนฉันเคยได้ฝืนบังคับเพื่อให้มานาเคลื่อนผ่านร่างกาย
อย่างไรก็ตาม ในทันทีที่ฉันได้เรียนเพลงดาบสีขาว ฉันก็ได้เข้าใจเส้นทางการไหล่ของมานาผ่านร่างกายของฉันอย่างรวดเร็ว
มือของฉันกำลังสั่น
ในตอนที่ได้รับพรสวรรค์ชำนาญดาบระดับ (A+) ฉันคิดว่าฉันสามารถรับมือกับดาบทั้งหมดในโลกได้
แต่มันกลายเป็นว่าฉันแค่หลอนไปเอง
พรสวรรค์ระดับอัจฉริยะมันก็แค่สัญชาตญาณสัตว์ป่า
เหมือนเสือที่รู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าจะต้องกัดศัตรูของมันตรงไหนถึงจะเกิดประสิทธิมากที่สุดและฉีกศัตรูของมันเป็นชิ้น ๆ ได้
แต่ ตอนนี้มันมีเส้นทางที่ชัดเจน
“…”
ฉันต้องการที่จะทดสอบดาบนี้ในตอนนี้เลย
มองดูไปที่นาฬิกามันเป็นเวลา บ่ายโมง
มีแค่ที่เดียวที่ฉันสามารถทดสอบสิ่งนี้ได้ที่ กึมกังยิม
ทันทีทันใด ฉันก็คิดได้ว่ามีกระสอบทรายฝึกฝนระดับโกลอยู่ที่ยิม ดังนี้แล้วฉันจึงออกจากห้องไปในทันที
ฉันพึงจะผ่านการต่อสู้ครั้งใหญ่มาและร่างทั้งร่างของฉันแข็งเกร็ง แต่ฉันกลับไม่ได้อยู่ในโหมดที่ต้องการพักผ่อนเลยสักนิด
……………………………………………………..
เมื่อไหรก็ตามที่ฉันได้ออกมา ฉันมักจะพกกระเป๋าอีเทอร์ออกมาด้วยแต่โชคร้ายที่อุปกรณ์ส่วนใหญ่ของฉันมันได้รับความเสียหายดังนั้นฉันเลยเอามันมาไม่ได้
ฮันเตอร์ที่ร่ำรวยมักจะใส่ชุดสูทที่สามารถเปิดใช้งานได้เพียงแค่กดปุ่ม แต่ฉันไม่มีเงิน ดังนั้นแล้วฉันก็เลยใช้ได้แค่เสื้อโค้ทอีเทอร์แบบเก่า ๆ เท่านั้นเอง
ชุดสูทนั้นง่ายต่อการถอดออก ง่ายต่อการทำความสะอาด มีการพลังป้องกันที่ดี และสามารถควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสมกับร่างกายได้
ในทางตรงกันข้าม เสื้อโค้ทนั้นยุ่งยาก ไม่สะดวกต่อการเก็บ มีพลังป้องกันธรรมดา ๆ และมีข้อเสียใหญ่ที่สุดของมันคือการใช้งานมันในช่วงหน้าร้อนเนื่องความความร้อน
ฉันจะต้องซื้อชุดสูทให้ได้ในสักวัน
ฉันไม่มีทางเลือกทำได้แต่ต้องทิ้งเสื้อโค้ทของฉันไว้ที่ห้อง
ทั้งหมดที่ฉันเอาติดตัวมากก็มีแค่ปืนพกอีเทอร์ที่ง่ายต่อการพกพาและดาบอีเทอร์ที่สามารถถือไปได้ในรูปแบบที่ยังไม่ได้เปิดใช้งาน แล้วฉันก็ไปถึงที่รถไฟใต้ดินในสภาพที่ใส่กางเกงวอร์ม
จริง ๆ แล้วฉันซื้อมอเตอร์ไซค์ไว้ใช้ในการส่งของแต่จะไม่ใช้ถ้ามันไม่จำเป็นจริง ๆ
ในเวลาที่ฉันได้ไปถึงสถานีมหาวิทยาลัยคอนกุกพื้นที่โดยรอบได้มีเสียงดังมากมายเต็มไปหมด
มีการสั่นเตือนมากจากโทรศัพท์ของฉันมันทำให้เกิดเสียงที่ดังมาก
[เกตแรงค์ D ได้ถูกเปิดในรัศมี 30 เมตรจากสถานีมหาวิทยาลัยคอนกุก ประชาชนทุกคนโปรดอพยพ]
กาลเวลาได้แปรเปลี่ยนไปและตอนนี้ผู้คนไม่ได้มีความกลัวต่อมอนสเตอร์อีกต่อไป
ด้วยการคาดการณ์ล่วงหน้าที่แม่นยำมากกว่าการพยากรณ์อากาศเสียอีก ทำให้ผู้คนมีความสามารถดีเยี่ยมในการอพยพและถึงแม้จะมี ‘ความผิดปกติ’ ระดับต่ำเกิดขึ้นก็ยังมีคนจำนวนมากที่ได้มุงดูอยู่รอบ ๆ ที่นั้นอยู่ดี
ในความเป็นจริง ไม่มีแล้วคนที่จะจริงจังกับคำประกาศเรื่องการอพยพ
เนื่องจากเกาหลีเป็นหนึ่งใน 12 ประเทศที่มีอัตราล้มเหลวในการล่าต่ำที่สุดในโลก
“ห่าเอ้ย ฉันกำลังจะนัดบอดสายแล้ว”
“โชคร้ายชะมัด”
มีคนจำนวนมากที่กำลังบ่น
“โอ้ เราจะได้เห็นฮันเตอร์ใช่ไหม?”
“มาถ่ายรูปกันเถอะ”
บางคนก็กำลังตื่นเต้น
ฉันสามารถเห็นได้ว่าชานชลารถไฟใต้ดินได้ถูกปิดลงในตอนที่ฉันมาถึง
มันดูเหมือนว่ามีเกตอยู่ในบริเวณพื้นที่รถไฟใต้ดิน
ฉันไม่ใส่ใจที่จะตรงเข้าไปถ้าเป็นในกรณีนั้น แต่ฉันไม่ได้เข้าไปเพราะดูเหมือนว่าจะมีคนอื่นที่รับมือกันมันเรียบร้อยแล้ว
แม้ว่าฉันจะไม่ได้จัดการ เกตหรือดันเจี้ยนก็จะหายไปอยู่ดี
ฮันเตอร์จะจัดการมอนสเตอร์ในชั่วพริบตา
ตำรวจและเจ้าหน้าที่ก้าวเข้ามาอย่างช้า ๆ ดันประชาชนให้อยู่ด้านหลังเส้น ฉันได้ตัดสินใจที่จะทำตามและรอคอยอย่างอดทน
แต่มันมีอะไรบางอย่างแปลก ๆ
ตามขั้นตอนถ้ามีเกตเกิดขึ้นที่ใต้ตินมันจะต้องถูกย้ายขึ้นไปบนดินด้วยการใช้เครื่องมือย้ายเกตแต่นี่กลับไม่มีวี่แววของการทำแบบนั้นเลย
มันเหลือเวลามีอีกไม่มากแล้ว
ในที่สุดฉันก็ได้หลบหลีกแล้วเขาหาชายคนหนึ่งที่ดูเหมือนว่ากำลังคุมสถานการณ์และกำลังพูดอยู่
“คุณไม่ย้ายเกตไปบนดินหรือ?”
“หืม? ฮ่าฮ่า คุณต้องเคยไปได้ยินมากจากที่ไหนสักที่แต่มันไม่จำเป็นเลยสำหรับเกตแรงค์ D ครับ”
“ทำไมหละ?”
“เหตุผลที่ต้องย้ายเกตใต้ตินไปบนดินนำเป็นถ้ามันมี ‘สายพันธุ์ขนาดกลาง’ อยู่ภายใน แต่มันไม่มีมอนสเตอร์แบบนั้นอยู่ภายในเกตแรงค์ D ครับ”
“…นี่คุณกำลังพูดอะไรอยู่? จะรู้ได้ไงว่าไม่มีจริง?”
ในตอนที่ฉันได้เริ่มที่จะโต้เถียงกับเขา เขาเริ่มที่จะรำคาญและถอนหายใจออกมา
“คุณแค่ประชาชนธรรมดาอย่างคุณจะไปรู้อะไรหละ”
ฉันเอา ID ของฉันออกมาจากกระเป๋า
ฮันเตอร์แรงค์ F #15
คนที่พูดอยู่สีหน้าบูดบึ้งในทันทีหลังจากที่เห็นแรงค์ของฉันแต่ตาของเขาเบิกกว้างเมื่อได้เห็นที่ต่อท้ายมาจากมัน
#15 หมายถึงฮันเตอร์ผ่านศึกที่มากด้วยประสบการณ์ถึง 15 ปี เต็ม
“นี่ไม่ใช้ครั้งแรกที่ฉันได้เห็นอะไรแบบนี้เกิดขึ้นแค่ไปบอกเจ้านายของคุณในสิ่งที่ฉันพึ่งได้พูดไปอย่าไปโทษว่าเป็นความผิดของคนอื่น”
“อ้า ได้ครับสำหรับในตอนนี้…”
แล้วอยู่ ๆ ก็มีใครบางคนตะโกนขึ้นมา
“ฉันคิดว่าฉันได้ยินเสียงคนคุ้นเคยนั้นแกหรือป่าวยูซอดัม?”
เมื่อฉันหันหน้าไป มีชายคนหนึ่งสวมใส่ปลอกแขนของกิลลอสเดย์กำลังเข้ามาหาฉัน
ฉันจำหน้าเขาได้
คิมจีแท
จากความทรงจำของฉันเขามีทักษะแรงค์ D
“ฉันได้ยินมาว่าแกเกษียณแล้วแต่ดูเหมือนว่าแกยังอยู่ดีนิ แกต้องการที่จะใช้เครื่องมือย้ายเกตที่แสนแพงเพียงเพราะความกลัวอันเล็กจ้อยของแกเนี่ยนะ”
“นี้แกกำลังพูดบ้าอะไร? ความปลอดภัยของประชาชนนั้นมาเป็นอันดับแรกสำหรับฮันเตอร์ถ้านี่มันเป็นมอนสเตอร์ระ…”
“รุ่นพี่”
คิมจิเทยักไหล่ ยิ้ม และชี้ไปที่ด้านหลังของเขา
“ฮันเตอร์แรงค์ D 5 คน และมีหัวหน้าทีมเป็นฮันเตอร์แรงค์ C (พวกยอดมนุษย์) แกอาจจะกลัวแต่จำนวนเท่านี้มันก็เพียงพอแล้วที่จะรับมือ มันออกจะมากเกินไปด้วยซ้ำ”
เมื่อมองไปที่ด้านหลัง มีฮันเตอร์ห้าคนยืนอยู่โดยมีปลอกแขนกิลลอสเดย์สวมอยู่ที่แขนของแต่ละคน
‘มีแต่คนแบบนี้หรือไงเนี่ย?’
มันเป็นเช่นนี้สำหรับกิลด์ขนาดใหญ่ที่ฉันไม่แม้แต่จะจำหน้าทุก ๆ คนได้
แล้วอยู่ ๆ ก็มีหนึ่งในนั้นที่รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลก ๆ เช่นกัน
มันดูมีบรรยากาศที่มืดครึ้มและฉันก็รู้สึกอยากอาหารอย่างแปลก ๆ
นี้ฉันดื่มมารึป่าวเนี่ย?
ฉันได้พูดอะไรก็ตามที่ต้องการจะพูดออกไปแล้วและรู้สึกว่ามันไร้จุดหมายที่จะฝืนพูดมันต่อไป
“ดี รับมือกันเองแล้วกัน”
“แน่นอน เราสามารถจัดการกันเองได้อยู่แล้ว”
ในความเป็นจริงแล้ว คิมจีแทพูดถูกแล้ว
ในขณะที่ฮันเตอร์แรงค์ F อย่างฉันต้องเตรียมตัวสำหรับการล่าในทุก ๆ ครั้ง มันต่างกับพวกยอดมนุษย์
พวกเขาได้รับสิทธิ์ให้ละเลยความผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆได้
เพราะพวกเขาสามารถรับมือกับมันได้
แต่ในมุมมองของฉันไม่ใช่ว่าพวกเขาจะสามารถรับมือกับมันได้หรือไม่
ท่ามกลางมอนสเตอร์แรงค์ D มีมอนสเตอร์ขนาดกลางหลายตัวและถ้าพวกมันหลุดออกมาได้ สถานีรถไฟใต้ดินนี้จะต้องเกิดเรื่องที่น่าสยดสยองขึ้นอย่างแน่นอน
ดังนี้ฉันเลยคิดว่ามันจะปลอดภัยกว่าที่จะย้ายเกตขึ้นไปด้านบน
แต่โอกาสที่มันจะเกิดก็น้อยมาก ๆ ทำให้ทุก ๆ คนเลือกที่จะละเลยมันไป
วิง!
ในตอนที่เกตได้เปิดขึ้น ฮันเตอร์ทั้งหลายรวมถึงคิมจีแทได้หายได้จากสถานีรถไฟใต้ดินอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นเองฉันก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น
เห็นได้ว่ามันไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นบนดินฉันรู้แล้วว่ามันไม่มีมอนสเตอร์ขนาดกลาง และฉันคงกังลงมากเกินไปเอง
แต่
มีบางอย่างผิดที่ผิดทางอยู่
เมื่อการล่าประสบความสำเร็จเท่านั้นถึงจะได้ยินเสียงของระเบิดดังขึ้นแต่กลับมีเสียงทำไมถึงได้มีเสียงกรีดร้องของสัตว์ป่าดังมาจากภายในสถานีรถไฟใต้ดิน?
“กำลังเกิดห่าอะไรขึ้นที่…?”
แล้ว
มีใครบางคนได้ตะโกนออกมาดัง ๆ ผ่านลำโพง
“แย่แล้ว มีมอนสเตอร์ที่ระบุไม่ได้ปรากฎตัวขึ้น! ประชาชนทุกท่านโปรดอพยพเดี่ยวนี้!”
“อ-อะไรนะ?”
ต-ตูม…!!
รางรถไฟตรงบริเวณระหว่างสี่แยกเริ่มแตกออกแล้วมันได้ทรุดตัวลงอย่างช้า ๆ
ฉันได้ยินเสียงกรีดร้องในสถานีรถไฟใต้ดินนี้แต่ครั้งนี้มันเป็นเสียงมนุษย์
“นี้มันเกิดอะไรขึ้นในตอนนี้กันเนี่ย?”
พูดตามตรงฉันก็สับสนเช่นกัน
บางครั้งมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งจะปรากฏตัวขึ้นในดันเจี้ยนที่อ่อนแอ่แบบนี้
มีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นเสมอ
แต่ฉันไม่เคยเห็นสถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาก่อน
‘ฮันเตอร์แรงค์ C 1 คน,ฮันเตอร์แรงค์ D 5 คนและมีทหารมากกว่า 10 คนแต่พวกเขายังคงดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด?’
เมื่อความคิดนั้นเข้ามาในหัวบางสิ่งบางอย่างได้กระแทกไปที่พื้นและวิ่งเข้ามา
มันมีผิวสีแดงปกคลุมทั้งร่าง เกิดมาจากมวลกล้ามเนื้อที่ไม่มีผิวหนังปกคลุมที่ดูมีรูปแบบผิดแปลกไปจากปกติ และมีขนาดใหญ่โตที่ดูเหมือนว่าจะสูงเกินกว่า 5 เมตรซะอีก
มันเป็นมอนสเตอร์อย่างแน่นอนแต่มันก็ดูเหมือนมนุษย์เช่นกัน
“บ้าไปแล้ว….! นี้มันเหี้-อะไรวะเนี้ย!”
“ฮ-ฮันเตอร์! นั้นมันตัวห่าอะไรกันวะ?”
หัวหน้าภาคสนามที่ดูตื่นตระหนกและถามฉัน แต่ด้วยความสัตย์จริงฉันก็ไม่รู้เหมือนกันหวะครับ
ฉันเป็นฮันเตอร์ที่สู้แนวหน้ามาเป็นทศวรรษแต่ฉันไม่เคยเห็นมอนสเตอร์ที่ดูมีรูปร่างคล้ายมนุษย์เช่นนี้
ไม่สิ
เดี่ยวก่อนนะ
ฉันเคยเห็นกรณีแบบนี้เมื่อนานมาแล้ว
แต่มันดูต่างออกไปจากอะไรก็ตามที่ฉันจำได้มันเลยทำให้ฉันไม่แน่ใจ
“แย่แล้ว เรียกกำลังเสริมเดียวนี้!”
หลังจากการตะโกนขอกองหนุนฉันได้ดึงดาบอีเทอร์ของฉันออกมาและกระโดดเข้าไป
อุปกรณ์ของฉันในตอนนี้นั้นขาดแคลนเป็นอย่างมาก
มีเพียงแค่ปืนพกอีเทอร์ 1 กระบอก และดาบอีเทอร์ 1 เล่มเท่านั้น
ไม่มีแม้อุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสมดังนั้นแล้วฮันเตอร์ธรรมดาเหมือนฉันคนที่ไม่ได้มีร่างกายที่แข็งแกร่งอาจจะตายได้โดยการโจมดีเพียงครั้งเดียวจากเจ้าสิ่งนั้น
มอนสเตอร์นั้นน่าจะเป็นอย่างน้อยก็แรงค์ B
แต่ถ้าฉันมีอุปกรณ์ที่มากพอหละก็ฉันน่าจะเจาะทะลุเกราะป้องกันของมันได้ด้วยปืนพกและดาบ
มอนสเตอร์ทุก ๆ ตัวจะมีชั้นป้องกันที่สร้างจากอีเทอร์หรือส่วนประกอบอื่นที่คล้ายกับพลังฉี
และมันเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่สามารถเจาะทะลุเนื้อของมอนสเตอร์ได้
อย่างไรก็ตามฮันเตอร์ธรรมดาจำเป็นจะต้องทำลายชั้นของเกราะป้องกันนั้นก่อน
ดังนั้นแล้วปืนอีเทอร์จึงได้ถูกคิดค้นขึ้น
ปืนไรเฟิลทั่ว ๆ ไปสามารถทำลายชั้นป้องกันของมอนสเตอร์ได้และสร้างความเสียหายจำนวนมากในเวลาเดียวกันแต่กับปืนพกขนาดเล็กมันทำได้แค่สร้างรอยขีดขีดบนเกราะนั้นเท่านั้นเอง
นอกจากนี้แล้ว บริเวณเกราะป้องกันที่ได้รับรอยขีดขวนจะต้องถูกโจมตีอย่างแม่นยำด้วยดาบเพื่อจะทำลายเกราะนั้นลง
นี้เป็นวิธีการที่ฮันเตอร์ธรรมดาที่ไม่ใช้พวกยอดมนุษย์จัดการกับมอนสเตอร์
ฉันควรลองมันไหม?
ในความเป็นจริงมันยากมาก ๆ
ดังนั้นฉันเลยไม่เคยที่จะลองทำมันเลยในชีวิตนี้
แต่ในตอนนี้
‘ฉันสามารถทำมันได้’
มองไปที่ดาบในมือฉัน ฉันเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
“อ้า! เหี้-เอ้ย…”
เป็นคิมจีแทที่กำลังคลานออกมาจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน
ทักษะด้านความแข็งแกร่งของเขาดีเยี่ยมในหลาย ๆ ทาง แต่ข้อเสียเปรียบของเขาอยู่ที่มันจะเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะใช้ความแข็งแกร่งของเขาในการต่อกรกับศัตรูที่มีทรงพลังกว่าเขา
ฉันรีบวิ่งไปหาคิมจีแทและตบไปที่หน้าของเขา
เพราะฉันต้องการคำตอบในตอนนี้
“เฮ้ ตื่นสิ!”
“ร-รุ่นพี่ แย่แล้ว ถอยเร็ว! มันไม่ใช่สิ่งที่เราจะสามารถต่อกรด้วยได้!”
“นี้แกกำลังจะบอกอะไรกันแน่? มีแค่เราเท่านั้นที่เป็นฮันเตอร์ที่อยู่ที่นี้ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราถอย?”
“ยังไงพวกเขาก็ตายอยู่แล้ว! มันจะดีกว่าที่จะถอยและรอกำลังสนับสนุน..”
“ไม่ได้ ตอนนี้แกดูเหมือนไอ้โง่พวกนั้นเลย”
คิมจีแท
นี้เขากำลังพูดสิ่งที่ฮันเตอร์มืออาชืพที่ทำงานเข้าสู่ปีที่สองควรพูดงั้นหรือ?
ฮันเตอร์จากในเมืองนั้นมันเข้าขั้นสิ้นหวังแล้ว
พวกเขายังขาดทักษะในการจัดการกับสถานการณ์ฉุกเฉิน พวกเขาทำได้แค่ล่าในตอนที่เขาอยู่ในสภาวะที่ดีที่สุดพร้อมด้วยอุปกรณ์ที่เยี่ยมที่สุดเท่านั้นและมีความแน่นอนที่จะชนะ
ยิ่งไปกว่านั้น คิมจิแทดูเหมือนจะมีทักษะดีเยี่ยมเมื่อมันเกี่ยวกับการต่อสู้ระยะประชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับความสามารถของเขา
“เฮ้ หุบปากซะและบอกฉันมา มอนสเตอร์นั้นมันอะไร?”
“น-นั้นมัน…”
“มันคือมานาที่เป็นพิษใช่ไหม?”
คิมจีแทส่ายหัวของเขาให้กับคำถามของฉัน
ดูเหมือนมันจะเป็นสถานการณ์ที่เขาคงจะไม่ได้รับคำตอบใด ๆ แต่นั้นก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของฉันอยู่แล้ว
‘ในท้ายที่สุดแล้วมันก็เป็นแค่งานล่ามนุษย์อีกงานหนึ่ง’
ฉันไม่รู้ว่าทำไมคน ๆ นั้นถึงได้ปรากฏตัวที่นี้อย่างทันทีพร้อมกับมานาที่เป็นพิษ
นี้เป็นเพราะว่าพวกเขาได้ดูดซับมานาที่มากเกินไปเมื่อมันมากเกินกว่าที่ร่างกายของพวกเขาจะรับได้มันจะกลายเป็นแบบเจ้านั้น
แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร
อย่างแรก เมื่อมีบางสิ่งมาให้ล่าอยู่ตรงหน้าฉันงั้นฉันก็จะล่ามัน
มันเป็นอะไรที่ฮันเตอร์ทำ
คิมจีแทดูเหมือนว่าจะไร้ประโยชน์ในตอนนี้ แล้วก็ฉันโหลดปืนพกของฉันด้วยความตั้งใจที่จะจัดการกับมันด้วยตัวคนเดียวแต่เขาก็จับข้อเท้าฉันไว้
“เอ้อ แกกำลังจะไปทำอะไรด้วยอุปกรณ์พวกนั้น?”
“ไอ้ห่าเอ้ย ปล่อยฉันซะ”
หลังจากที่เหวี่ยงเท้าของฉันอย่างหยาบ ๆ และกระทืบไปที่หน้าเขา ฉันพูด
“ฉันดูเหมือนมือใหม่แบบแกหรือไง?”
“ช-ใช่”
แรงค์ C
มันแข็งแกร่งพอที่จะเป็นภัยคุกคาม
คิมจีแท คนที่ไม่มีประสบการณ์ออกมาล่าพร้อมกับพวกยอดมนุษย์แรงค์ C และทำตัวเหมือนว่าตนเองคงกระพัน
แต่แค่มอนสเตอร์เหนือกว่าแรงค์ B ที่ระดับสูงกว่าเขา ก็อาจจะเหนือไปกว่าขีดกัดของเขาดัวยซ้ำ
แต่มันไม่ใช่ฉัน
มันแค่เป็นอะไรที่ฉันคุ้นเคยที่จะจัดการเมื่อฉันล่า