ตัวเอกพวกนั้นฉันฆ่าเองแหละ (The Protagonist Are Murdered by Me) - ตอนที่ 62
“คราวนี้อะไรอีกนะเนี่ย?”
ห้องสมุดของแม่มดขาวคือโลกในจิตนาการของตัวเขาเองซึ่งหมายความว่ามันไม่ควรที่จะมีใครอื่นนอกไปจากตนเองกับแม่มดผู้คุมสิทธิอยู่ที่นี้แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้เขาสามารถที่จะสัมผัสได้ถึงตัวตนของใครบางคนหรือให้ชัดเจนกว่านั้นก็การจ้องมองมาจากใครบางคน
อย่างไรก็ตามในจังหวะที่ฉันได้หันหน้าของตนเองไปเพื่อค้นหา ‘ใครคนนั้น’ ก็ไม่พบว่ามีใครอยู่อีก
ความรู้สึกอย่างนั้นเหรอ? มันดูราวกับว่าเป็นสกิลสัญชาตญาณ (A) ในพรสวรรค์ของเขาได้ถูกเปิดใช้งานเสริมด้วยสกิลสัมผัสที่หกอีกอันซะมากกว่า
<พื้นที่แห่งนี้นั้นมีการเชื่อมต่อกับโลกแห่งความเป็นจริงค่ะ>
<มันยังมีคนบางคนที่สามารถจะแทรกแซงเวลาและพื้นที่ได้ค่ะ>
“อย่างงั้นเหรอ?”
ฉันรู้สึกไม่สบายใจเกี่ยวกับการจ้องมองนั้นเลยแต่ฉันจะไปทำอะไรได้หละในเมื่อระบบก็ยังไม่มีปัญหาอะไรกับมันเลย? เพราะงั้นแล้วฉันได้ตัดสินใจที่จะเลิกสนใจในเรื่องนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือจะเข้าไปยังห้องสมุดแรงค์ E
“ไปกันเถอะ”
โลกที่สับสนวุ่นวายได้ย้อนกลับคือสู่สิ่งที่มันควรจะเป็นเมื่อแม่มดผู้ดูแลสิทธิได้จางหายไป ในตอนนี้เบื้องหน้าของฉันคือห้องสมุดแรงค์ E ฉันค่อนข้างจะตึงเครียดเล็กน้อยเพราะว่าฉันไม่สามารถที่จะแน่ใจได้เลยว่ามันจะปลอดภัยเมื่อตนเองเดินเข้าไป
หลังจากสูดหายใจเข้าลึกๆไปหนึ่งทีและเปิดใช้งาน [เพ่งจิต] และเดินผ่านประตูเข้าไป
เริ่มกันเลย!
[สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ซึ่งมีเพียงแค่แม่มดที่แท้จริงเท่านั้นจึงสามารถเข้ามาได้]
[ส่วนหนึ่งในจิตของของคุณกำลังเริ่มต้นเปลี่ยนเป็นแม่มด]
[สกิลเพ่งจิตของคุณได้ทำการปิดกันอิทธิผลจากห้องสมุดแรงค์ E]
[ร่างกายของของคุณกำลังเริ่มต้นเปลี่ยนเป็นแม่มด]
นี้เป็นสิ่งที่ฉันกังวลเกี่ยวกับมันมากที่สุด
แม้ว่าฉันจะมีจิตใจที่แข็งแกร่งก็ตาม แต่การเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายก็ยังคงยากทำหรับฉันที่จะทานทนอยู่ดี โดยทั่วไปแล้วร่างกายของแม่มดนั้นมีลักษณะเป็นร่างของหญิงสาวซึ่งมีรูปลักษณ์หน้าตาที่สวยสดงดงามและคงความเป็นสาวตลอดไป มากไปกว่านั้นมันยังเป็นร่างกายที่ถูกสร้างขึ้นมาให้เหมาะสมกับการใช้เวทมนตร์ แต่การเปลี่ยนแปลงที่ฉันหวาดกลัวที่สุดก็คือ…
การสูญเสียการมองเห็น
[แม่มดไม่สามารถที่จะมองเป็นโลกได้ด้วยตาของเธอเอง]
นั้นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมแม่มดพวกนั้นถึงได้ไม่มีทางเลือกใดในการต่อการกับ ‘การล่าแม่มด’ เลย ไม่ใช่ว่ามันเป็นเรื่องที่แสนง่ายดายอย่างนั้นหรอกเหรอที่จะทำการค้นหาหญิงสาวที่ตาบอดแล้วก็ฆ่าเธอลง?
สำหรับแม่มดที่ได้ยกระดับตนเองไปถึงขั้นที่สูงมากพอแล้วพวกเขาจะรับรู้ถึงโลกได้ด้วยการใช้หัวใจของตนเอง ตัวตนที่แท้จริงของความสามารถเช่นนั้นก็คือความสามารถในการตรวจจับ แต่การที่จะต้องตาบอดก็หมายความคนๆนั้นจะไม่ได้เห็นแสงสีของโลกใบนี้อีกต่อไป
ฉันไม่ได้ต้องการที่จะเป็นเช่นนั้นดังนั้นแล้วฉันจึงต้องจำใจใช้มานาในร่างกายตนเองต่อต้านการกลายสภาพเป็นแม่มดอย่างไม่มีทางเลือก
วูฟ!
บางสิ่งบางอย่างที่คล้ายกับกระแสไฟฟ้าได้เริ่มที่จะไหลผ่านร่างกาย ห้องสมุดของแม่มดขาวเริ่มที่จะต่อต้านความตั้งใจของฉัน ไม่สิถ้าจะให้ถูกต้องก็คือมันเริ่มที่จะ ‘ทำความสะอาด’ ตัวฉันห้องสมุดของแม่มดขาวเริ่มที่จะจำกัดส่วนที่ไม่จำเป็นในร่างกายของฉันทิ้งไปเพื่อที่จะทำให้ร่างกายของฉันเหมาะสมสำหรับการกลายเป็นแม่มด
‘แต่ว่านี้มันออกจะอ่อนแอเกินไปหน่อยไหม!’
จนกระทั้งถึงตอนนี้ฉันก็ยังสามารถที่จะต่อต้านมันได้เพราะว่าสกิลนี้เป็นเพียงแค่แรงค์ E ฉันสามารถที่จะหยุดการเปลี่ยนแปลงที่ค่อยๆเริ่มเปลี่ยนขึ้นมาจากเท่าของฉันได้ ถ้าหากว่าจะมีผลข้างเคียงบางอย่างของมันก็คงจะเป็นการที่ผิวของฉันไม่สามารถที่จะต่อต้านมันได้ มันเป็นเรื่องยากที่จะป้องกันการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายของฉันแต่มันกลับเป็นเรื่องที่ยากเย็นยิ่งกว่าอีกกับการป้องการไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับร่างกายภายนอกเมื่อกระบวนการของห้องสมุดแม่มดขาวได้ขึ้นไปถึงส่วนขาและไต่ขึ้นมาเรื่อยๆจนถึงช่วงท้องมันได้ผ่านหัวใจและในท้ายที่สุดก็ไปถึงส่วนหัวของฉัน ฉันสามารถที่จะรู้สึกถึงเม็ดเหงื่อมากมายที่ไหลบ่าออกมาทั่วร่างกายและร่างกายของฉันก็ชาไปทั้งร่างราวกับว่าถูกไฟซ็อต
แต่ฉันก็ยังปล่อยให้มันผ่านร่างกายของฉันไป
[คุณได้ต่อต้านบางส่วนของกระบวนการกลายเป็นแม่มด]
[ขอแสดงความยินดีด้วย]
[สกิล ‘ห้องสมุดแม่มดขาว (F)’ ได้รับการยกระดับขึ้นเป็นแรงค์ (E)]
และแล้วฉันก็ได้เปิดตาของตนเองขึ้นอีกครั้ง
– เฮ้ แม่มด ตาของนาย….
“หา?”
ดวงตาของฉันได้กลายเป็นสีขาวทั้งหมด มันเป็นผลข้างเคียงที่ไม่ได้คาดคิดไว้
เส้นผมและส่วนอื่นๆของร่างกายล้วนปกติดี ไม่มีปัญหาใดๆจากส่วนของฟังก์ชันการทำงานในร่างกายและการมองเห็น แล้วฉันก็ไม่เคยคิดเลยว่าตาของตนเองจะกลายมาเป็นสีขาวเช่นนี้ได้
“อืม ฉันเดาว่าฉันจำเป็นที่จะต้องใส่คอนแทคเลนส์ซะแล้วสิ”
สิ่งที่ฉันกังวลก็คือฉันไม่รู้ว่าเลนส์พวกนั้นมันจะทนต่อมานาที่ถูกปลดปล่อยออกมาระหว่างการต่อสู้ที่รุนแรงได้ไหมนะสิ แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ร้ายแรงถึงชีวิตและมันก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีปัญหาอื่นใด
ฉันได้ทำให้ตนเองสงบลงและมองไปโดยรอบห้องสมุดแรงค์ E แห่งนี้
“นี่มันกว้างสุดๆ”
นี้ฉันอ่านถึง 10% ของห้องสมุดแรงค์ F ไปแล้วหรือยังนะ? ตามจริงแล้วฉันคิดว่านี้มันยอดไปเลยแต่ว่าหลังจากที่ได้เห็นห้องสมุดของแม่มดแรงค์ E ซึ่งดูเหมือนว่าจะใหญ่กว่าห้องสมุดแรงค์ F เป็นสิบเท่า ทำให้ความเชื่อมันของฉันว่าตนเองจะอ่านพวกมันได้หมดพังทลายลง
นอกจากนี้แล้วที่นี้ยังมีหนังสือบางเล่มที่นอกเหนือไปจากหนังสือเวทย์ได้ถูกเก็บไว้ที่นี้
[เจตจำนงของแม่มด]
“นั้นมันบ้าอะไรนะ?”
มันค่อนข้างจะมีหนังสือบางส่วนที่ได้บันทึกประวัติและความสามารถต่างๆของแม่มดที่เคยมีตัวตนเอาไว้
– ฉันชอบพวกนี้~
“ดูเธอมีความสุขกับของพวกนี้นะ?”
– ช่ายยย!!
ฉันมีลางสังหรณ์ว่าเจ้ากระถางดอกไม้นี้จะต้องอ่านหนังสือที่อยู่ตรงนี้ทั้งหมดแน่
มันคงถึงเป็นเรื่องที่สูญเปล่าหากว่าฉันจะออกไปจากที่แห่งนี้ทันทีเลยหลังจากที่ได้ผ่านการต่อสู้พวกนั้นมา ดังนั้นฉันเลยตัดสินใจที่จะเดินดูไปรอบๆอีกสักนิด
“น-นี่มัน…”
และฉันก็ตกตะลึก
ห้องสมุดแรงค์ F นั้นจริงๆแล้วก็เป็นเหมือนกับตัวอย่างหนังโรงก่อนเข้าฉาย หนังสือเวทมนตร์ที่ถูกเก็บไว้ที่นี้นั้นเหนือล้ำยิ่งว่าหนังสือเวทมนตร์ที่ถูกเก็บไว้ในห้องสมุดของวิเวียนด้าเสียอีก
“ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันจะมีเวทมนตร์เช่นนี้อยู่”
ฉันอ่านพวกมันไปทีละเล่มๆโดยที่ได้รู้สึกตัวเลยว่าเวลาได้ผ่านไปนานเท่าใดทันใดนั้นเองฉันก็ได้พบกับหนังสือที่มีชื่อแปลกๆเล่มหนึ่ง
[การสืบทอดของแม่มด]
“นี้มันอะไรนะ?”
เหล่าแม่มดทั้งหลายรวมไปถึงพวกมังกรนับว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่สร้างภูมิปัญญาที่เรียกว่า ‘เวทมนตร์’ ขึ้นมา พวกเขาเหล่านี้ได้เผยแพร่หนังสือซึ่งเป็นภูมิปัญญาของพวกเขาเอาไว้ให้กับเหล่าผู้สืบทอดของตนเอง
[มันเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง ยากถึงที่สุดที่เหล่าแม่มดนั้นจะมีทายาท]
[มีในบางกรณีที่พวกเขาจะมีทายาทซึ่งหาได้ยาก ปกติแล้วเหตุการณ์แบบนั้นจะเกิดขึ้นเนื่องมาจากความจำเป็นบางอย่าง]
[เป็นเพราะว่าพวกเขาค้นพบกับบางสิ่งที่เรียกว่า ‘ความรัก’]
[และพวกเขาก็รู้สึกว่ามันจำเป็นที่จะต้องส่งต่อบางสิ่งให้กับทายาทของตน]
[ดังนั้นแล้วเหล่าแม่มดจึง…]
ฉันได้อ่านข้ามพวกข้อมูลที่ไร้ประโยชน์ ฉันไม่ได้ต้องการที่จะอ่านหนังสือเล่มนี้ทั้งเล่มนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ในขณะที่ฉันได้พลิกหน้าหนังสือพวกนี้ไปเรื่อยๆอยู่ฉันก็ได้เจอกับบางอย่างที่น่าสนใจและหยุดลง
[พลังอำนาจในการพยากรณ์จะถูกส่งมอบให้กับแม่มดที่มีศักยภาพมากที่สุดท่ามกลางพวกเขาทั้งหมด]
[แต่ว่ามันมีผลข้างเคียงหนึ่งอย่างที่คนซึ่งเกิดมาพร้อมกับพลังอำนาจแห่งการพยากรณ์จะได้รับ]
[พวกเขาเหล่านี้นั้นจะไม่สามารถใช้เวทมนตร์อื่นใดอีกนอกจากอำนาจนี้ได้]
[ถือเป็นข้อแลกเปลี่ยนของการที่สามารถจะมองเห็นถึงอนาคตที่ไม่ปะติดปะต่อได้ แม่มดซึ่งแบกรับพลังเหล่านี้ไว้จะอาศัยพึ่งพิงแม่มดคนอื่นๆไปทั้งชีวิตที่เหลืออยู่ของพวกเขา เพราะว่าพวกนั้นสูญเสียไปทั้งการมองเห็นและมานาของตนไป]
“การพยากรณ์อย่างนั้นหรือ?”
มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจ
คิดๆดูแล้วฉันเคยได้ยินมาว่ามีผู้พยากรณ์อยู่บนโลกด้วยนิ แน่นอนว่าฉันไม่ได้เหมารวมว่าคนๆนั้นเป็นแม่มดไปแล้วหรอกนะ ฉันยังไม่รู้เพศของผู้พยากรณ์คนนี้เลยด้วยซ้ำ
มันมีเรื่องลึกลับมากมายเกี่ยวกับการพยากรณ์ มันมีเรื่องลึกลับในยุโรปทางตอนเหนือซึ่งกล่าวไว้ว่ามันเป็นไปได้ที่จะเห็นอนาคตสามวินาทีหนังจากที่ควักลูกตาออกมาหนึ่งลูก ซึ่งช่วยไม่ได้เลยที่ฉันจะสนใจในเรื่องนี้
จากนั้นฉันก็ได้อ่านหนังสือที่ชื่อว่าการสืบทอดของแม่มดต่ออีกมาเป็นเวลานาน หลังจากนั้นฉันจะได้หยิบหนังสืออีกเล่มออกมาและอ่านมัน ฉันอ่านทุกสิ่งทุกอย่างไม่เกี่ยงว่ามันจะเป็นหนังสือที่เกี่ยวข้องกับเวทมนตร์หรือประวัติของ
แม่มด
ฉันตกอยู่ในห่วงภวังค์ ไม่รู้สึกถึงเวลาที่ได้ผ่านไปดังนั้นฉันเลยไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่าเจ้ากระถางดอกไม้เองก็กำลังเดินตามฉันมาและอ่านหนังด้วยตัวของมันเองอยู่
……………………………………………………..
……………………………………………………..
“นี่เจ้าจะกลับไปแล้วอย่างนั้นเหรอ?”
“ใช่แล้ว”
มันได้ล่วงเลยมานานถึงสามเดือนแล้วนับตั้งแต่ที่นับได้มาถึงทวีปรอสติสลาฟแห่งนี้
ฉันได้เรียนรู้เทคนิคของมิสคลีนได้อย่างครบถ้วนแล้ว
ฉันในตอนนี้สามารถที่จะใช้ได้ทั้งดาบและเวทมนตร์อย่างเต็มประสิทธิภาพ มันเป็นสามเดือนที่คุ้มค่าเป็นอย่างมาก
“ข้าก็คิดเช่นนั้นถ้างั้นแล้วเจ้าจะกลับบ้านงั้นเหรอ?”
“อ่าหะ”
“ข้าชักอย่างจะรู้ซะแล้วสิ บ้านของเจ้าอยู่ที่ไหนกัน?”
“มันเป็นที่ๆไกลจากที่นี้มากๆเลยหละ”
“นั่นสินะ ข้าก็คิดว่างั้นเหมือนกัน”
มิสคลีนยิ้มออกมา ฉันไม่รู้มาก่อนเลยว่าเธอเป็นคนที่ยิ้มเก่งเป็นอย่างมาก ภายนอกเธอดูเป็นคนที่เย็นชาเนื่องมาจากการที่เธอเข้าสังคมไม่เก่งแต่ว่าเมื่อพวกเราได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นเธอก็ได้กลายเป็นคนที่อบอุ่นเป็นอย่างมาก
“ข้าก็คงจะต้องออกเดินทางเช่นกัน”
“เธอกำลังจะไปที่ไหนอย่างนั้นเหรอ?”
“ระดับของข้ากำลังเพิ่มขึ้นดังนั้นข้าเลยคิดว่าจะไปต่อสู้กับชายทุกคนที่เคยคุกคามข้าในอดีต”
มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะปีนขึ้นไปให้สูงขึ้นอีกตอนที่คุณได้เป็นนักรบที่มีระดับสูงมากพออยู่แล้ว นอกจากนี้แล้วมิสคลีนยังมีความเกี่ยวข้องกับตัวเอกและ ‘การแก้ไข’ ที่ยังส่งผลกระทบกับเส้นทางของเธอในบางส่วน และเธอก็ยังเป็นคนที่มีความสามารถมากเพียงพอที่จะใช้ประโยชน์จากเรื่องพวกนั้นได้
ทักษะใหม่ที่เธอได้รับมา ‘การลงค่าสถานะ’ ได้เพิ่มความสามารถของเธอขึ้นไปยังอีกระดับหนึ่ง
เธอได้ผูกดาบยาวไว้ที่หลังของตนเองและตบไปที่ไหล่ของฉัน
“เจ้าได้เรียนรู้เพลงดาบของข้าไปแล้วดังนั้นอย่าไปถูกอัดเละเทะจากคนอีกเข้าหละ”
“ไม่ต้องกังวลไปหรอกน่า เรื่องแบบนั้นไม่เกิดขึ้นหรอก”
เราทั้งคู่มองไปที่อีกคนสองสามวินาทีก่อนที่หลังให้กันและกันเพื่อจากไปตามทางของตนเอง
มิสคลีนคงจะเดินทางไปรอบโลกใบนี้เพื่อค้นหาชายที่แข็งแกร่งคนอื่นๆ
และฉันจะคงจะกลับไปที่โลก
[กำลังดำเนินการกลับสู่โลก]
[ช่วงเวลาได้กลับมาเป็นปกติ]
เมื่อฉันได้เปิดตาของตนเองขึ้นอีกครั้ง ฉันก็ได้กลับมาอยู่ที่ห้องของตนเองเรียบร้อยแล้ว ฉันมองดูไปโดยรอบเพื่อค้นหาใครบางคนอยู่สักพักหนึ่งแต่โชคไม่ดีเลยที่ฉันไม่สามารถจะพบใครเลยสักคน
เมื่อฉันมองไปที่สมาร์ทโฟนและเช็คไปที่ข่าวสารต่างๆ เทเลอร์ไนน์นั้นกำลังทำการคุ้มกัน ‘เฮโลนี่’ ดาราดังระดับโลกอีกทั้งยังเป็นเทพธิดาแห่งเพลงป๊อปอีกด้วย
[เทเลอร์ : เฮ้ ไอ้เจ้าคนเหลวแหลก เฮโลนี่จะเปิดการแสดงที่เกาหลีในเร็วๆนี้นะ!! 5555]
[เทเลอร์ : ฉันก็กำลังจะกลับไปที่เกาหลีในเร็วนี้เหมือนกัน…]
“เฮโลนี่เหรอ?”
อยู่ๆเรื่องราวเกี่ยวกับเธอก็ปรากฏขึ้นมาในใจของฉัน เธอคนนี้ได้ออกจากการเป็นฮันเตอร์ด้วยความตั้งใจของตัวเธอเองและฉันก็ไม่ได้คิดมากอะไรในเรื่องนี้ อนาคตของเธอมันเป็นสิ่งที่เธอต้องตัดสินใจเอง มันเป็นเรื่องที่เห็นแก่ตัวหากว่าจะไปตำหนิอีกฝ่ายสำหรับการที่เธอออกไปจากเส้นทางของการเป็นฮันเตอร์แค่เพราะว่าความฝันของฉันยังคงต้องการเป็นฮันเตอร์อยู่เหมือนเดิม
เริ่มจากการเปลี่ยนค่าสเตตัสในโซเชียลมีเดียไปเป็น ‘กลับมาแล้ว’ และคุยกับคนบางคนก่อนละกัน
ตึ้ง!
ใครบางคนได้ติดต่อฉันมา
[วีฮุน : ซอดัม ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ทำไมช่วงหลังมานี้นายถึงไม่ได้ติดต่อฉันมาเลยหละ? ฮ่าฮ่า ฉันคิดถึงนายเสมอเลยนะในช่วงหลังมากนี้ ตอนนี้ฉันอยู่ที่เกาหลีนะพวกเรามานัดเจอกันที่ร้านกาแฟสักร้านหน่อยไหม?]
วีฮุน ฉันขมวดคิ้วในทันทีที่ได้เห็นชื่อนี้ เขาเป็นคนที่น่าขยะแขยงที่สุดท่ามกลางสมาชิกทั้งแปดคนที่ได้ปลุกพลังขึ้นมาเป็นฮันเตอร์ในเวลาเดียวกันกับฉัน
ถ้าจะให้พูดตรงกว่านั้นเลยก็คือ ไอ้สารเลววีฮุนคนนี้ เขาได้ทิ้งฉันไว้
‘ฉันได้ยินมาว่าเขาได้เกษียณออกไปแล้วไปทำธุรกิจอะไรสักอย่างนิ’
เรื่องที่เขาต้องการจะเจอกับฉันก็คงจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับกิลด์หรืออะไรทำนองนั้นฉันเดาว่าเขาคนสนใจในชื่อเสียงของฉันที่กำลังพุ่งทะยานขึ้นในช่วงหลังมานี้
ในเรื่องเกี่ยวกับจิตวิยาของมนุษย์นั้นมันมองเป็นได้อย่างง่ายดายขนาดนี้เลยหรือแม้ว่าจะเป็นแค่ข้อความในหน้าจอก็ตาม? แม้ว่าเขาจะแกล้งทำเป็นว่าตนเองกำลังสงบมันก็ดูออกว่ามีเรื่องเร่งด่วนอะไรสักอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเขาจากข้อความที่เขาได้พิมพ์มาในตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าธุรกิจของเขาจะดำเนินไปได้ไม่ดีและเขาคงจะสิ้นหวังเกินพอถึงได้ติดต่อฉันมา
ฉันอ่านมันอีกครั้งก่อนที่จะเลื่อนไปยังข้อความถัดไปมันเป็นข้อความจากริวจินซู ริวจินซูก็เป็นหนึ่งในสมาชิกทั้งแปดคนเช่นกัน (ผู้แปล : ริวจินซูเป็นคนที่ส่งข้อความมาหาซอดัมพร้อมกับเทเลอร์ตั้งแต่ตอนที่ 1 เลยนะครับเพื่อลืมกัน)แต่เขาไม่เหมือนกับวีฮุน ริวจินซูเป็นเพื่อนที่ดีที่มักจะมาเยี่ยมฉันที่เกาหลีพร้อมกับเทเลอร์ในตอนที่ฉันอยู่ที่โรงพยาบาลเสมอ ริวจินซูดูแลฉันคนที่ไม่มีพลังพิเศษราวกับว่าฉันเป็นสมบัติสำหรับเขา จนกระทั้งถึงในตอนนี้ฉันก็ยังคงรู้สึกหางเหินกับเขาอยู่ดี ฉันรู้สึกไม่สะบายใจกับความใจดีของเขาเลย
[ริวจินซู : คุณซอดัม เรามาเจอกันที่ร้านกาแฟสักร้านดีไหมครับ?]
[ริวจินซู : แต่มันไม่เป็นไรนะครับถ้าหากว่าคุณจะปฏิเสธเพราะว่าคุณยังยุ่งอยู่]
ริวจินซูเป็นเจ้าของกิลด์ขนาดเล็กแห่งหนึ่งอยู่แต่เขาค่อนข้างที่จะเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะของปรมาจารย์ในวงการฮันเตอร์
แต่เรื่องที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างริวจินซูและวีฮุนนั้นย่ำแย่เป็นอย่างมาก
ฉันลูบคางของตนเองคิดไปถึงความจริงที่ว่า พวกเขาทั้งคู่ทำธุรกิจเกี่ยวกับกิลด์เหมือนกันดังนั้นฉันเลยคิดว่ามันอาจจะมีบางสิ่งบางอย่างที่สามารถจะช่วยฉันได้
[ยูซอดัม -> วีฮุน : แน่นอนไว้เจอกัน]
[ยูซอดัม -> ริวจินซู : ฉันไม่ได้ยุ่งเลย เราจะนัดเจอกันเมื่อไหรดีหละ?]
เพราะงั้นฉันเลยได้ติดต่อพวกเขาทั้งคู่ไป
……………………………………………………..
……………………………………………………..
“ทำไมฉันถึงไม่สามารถที่จะออกไปได้กันค่ะ?”
เมื่อเยคาเทรีน่าตะโกนออกมา อัลฟ่ายอดมนุษย์แรงค์ SS ได้ก้าวถอยหลังออกไป
อย่างไรก็ตามหญิงสาวคนนี้ก็ยังขวางทางของเยคาเทรีน่าอยู่ เธอทำแค่เพียงยิ้มออกมาในขณะที่ดวงตาของเธอกำลังปิดอยู่เท่านั้น
“เทรีน่า พวกเรา ชาวโลกทั้งหมด จำเป็นที่จะต้องพึ่งพาพลังของเธอนะ เธอเป็นเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นที่สามารถจะทำนายได้ถึงภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ถ้าหากว่าเธอไม่สามารถที่จะเห็นถึงภัยพิบัติในอนาคตได้ในขณะที่เธอไม่อยู่ที่นี้หละ มันจะเกิดอะไรขึ้นกัน?”
เยคาเทรีน่ากำหมัดของตนเองแน่นด้วยความหงุดหงิดใจเมื่อเธอได้ยินคำพูดของอัลฟ่า
เธอรู้ดีว่าคำพูดพวกนั้นไม่ได้นับว่าเป็นอะไรเลยนอกไปจากคำหลอกลวง
คนพวกนี้ใช้พลังของเธอในการที่จะทำให้ตำแหน่งของตนเองมั่นคง ใช้ในการเก็บเกี่ยวทั้งเงินทองและชื่อเสียงเข้าสู่ตนเอง พวกเขายังได้คุกคามโลกทั้งใบด้วยการพูดว่าโลกจะไม่ปลอดภัยถ้าหากว่าปราศจากการช่วยเหลือของพวกเขาความจริงแล้วแม้ว่าจะไม่มีคำพยากรณ์ก็ตาม โลกใบนี้ก็ยังปกติดีอยู่แล้ว
จากทั้งหมด 100 คำพยากรณ์ มนุษย์ชาติสามารถที่จะรับมือกับพวกมันได้ 99 ครั้งจากทั้งหมดโดยที่เกี่ยวข้องกับเธอเลย
เยคาเทรีน่าค่อยๆเงยหน้าของเธอขึ้น
เธอสามารถที่จะเห็น ‘เครื่องราง’ กระจายอยู่ในห้องนี้เต็มไปหมด เครื่องรางเหล่านี้ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นจากวิทยาศาสตร์ไม่ใช่ทั้งจากพลังพิเศษ พวกมันเป็นไอเทมที่ถูกสร้างขึ้นโดย ‘เวทมนตร์’ ที่ไม่ได้รับการเปิดเผยสู่โลกใบนี้ หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าของเธอคนนี้ก็เป็นหนึ่งในคนที่ใช้งานเครื่องรางเหล่านี้
‘ฉันนะ ถ้าหากว่าฉันมีความแข็งแกร่งหละก็ ฉันคงไม่ต้องเป็นแบบนี้’
ชัดเจนเลยว่าในหัวของเธอนั้นมีพลังของความรู้ และพลังที่สามารถจะใช้ฉีกระฉากเครื่องรางพวกนี้ได้แต่ร่างกายของเธอกับไม่สามารถทำในแบบที่เธอคิดได้ เยคาเทรีน่าก็ไม่เข้าใจในตัวเธอเองเช่นกัน
ทำไมเธอถึงไม่สามารถที่จะใช้เวทมนตร์ได้อย่าง ‘คนพวกนั้น’ หละ?
ทำไมพวกเขาถึงไม่สามารถที่จะเห็นอนาคตได้เช่นเดียวกับเธอกัน?
ไม่มีใครที่รู้ความจริงในข้อนี้
“เยคาเทรีน่า กลับไปเถอะ เธอมีสิ่งที่ต้องทำเพื่อโลกใบนี้อีกมากนัก”
มันเป็นการถูกควบคุมโดยสมบูรณ์ เธอไม่ได้มีสิทธิแม้จะทั้งการเข้าถึงโลกภายนอกด้วยผ่านทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ โทรศัพท์มือถือหรือแม้แต่สิ่งต่างๆทำนองนี้เลย
‘นี้ฉันเป็นแค่เครื่องจักรที่ใช้ในการพยากรณ์ที่ติดอยู่ในมุมหนึ่งอันแสนหนาวเย็นของกรุงมอสโกงั้นเหรอ?’
อัลฟ่าแตะไปที่ไหล่ของเธอเบาๆ แต่เยคาเทรีน่าสะบัดมันออกไปและกลับไปที่ห้องของตนเอง
เธอกระแทกไปที่เก้าอี้อย่างแรง เยคาเทรีน่าได้นั่งลงและยืดมือของเธอออกไปอย่างช้าๆ
ตรงหน้าของเธอเป็นเปียโนที่พ่อของเธอได้มอบให้ คนที่ไม่สามารถจะเล่นมันได้อีกต่อไปเมื่อเธอได้รับพลังแห่งการพยากรณ์ของตนเองมาและได้สูญเสียการมองเห็นของตนเองไป เธอได้วางปลายนิ้วของตนเองลง
เธอพยายามที่จะกดไปที่คีย์พวกนี้แต่มันกลับไม่ได้มีเสียงที่ไพเราะดังออกมาจากมัน ด้วยการแลกเปลี่ยนกับพลังของการพยากรณ์ เธอไม่สามารถที่จะสัมผัสได้ถึงความงดงามของดนตรีอีกต่อไป
เพียงเพราะการแลกเปลี่ยนกับความสามารถในการพยากรณ์เธอได้สูญเสียไปมากนัก
เธอกลับมาที่เตียงนอนของตนเอง กอดเข่าและซุกหน้าของตนเองลงไป
เธอได้พลอยหลับไปในท่านั้นและฝัน
ในวันนี้เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เธอไม่ได้ฝันร้ายใดๆ