ตัวเอกพวกนั้นฉันฆ่าเองแหละ (The Protagonist Are Murdered by Me) - ตอนที่ 75
<ลองมองดูไปที่สกิลพิพิธภัณฑ์แห่งฝันร้ายของตัวเอก เยคาเทริน่าสิค่ะ>
<ว่าเงื่อนไขการเปิดใช้งานของมันคือตอนที่เธอหลับนะคะ>
<ในทันทีที่เธอหลับสนิท เธอจะอัญเชิญโลกใบนี้ขึ้นมาค่ะ>
อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขของการ ‘หลับ’ ก็เป็นปัญหาดัวยตัวของมันเองอยู่แล้ว
<สมมุติฐานว่าตายก็นับเป็นส่วนหนึ่งของ ‘การหลับ’ เช่นกันค่ะ>
<แล้วอะไรจะเกิดขึ้นกันหละค่ะถ้าหากว่าส่วนนี้ตกไปสู่การหลับไหลชั่วนิรันดร์หละคะ?>
‘เธอก็จะไม่ตื่นขึ้นมาอีกตลอดไป’
<ใช่แล้วค่ะ เธอจะติดอยู่ที่นี้ตลอดไป>
แต่นั้นไม่ได้ถือเป็นจุดจบของเรื่อง
<แล้วแถม แกนเวลาของโลกนี้ก็ยังบิดเบี้ยวเนื่องมาจากความเป็นไปที่ได้ที่มากเกินไปซึ่งเป็นผลมาจาก
ความสามารถที่เป็นเอกลักษณ์ของแม่มดด้วยค่ะ>
<ทำให้ทั้งอดีตและอนาคตถูกผสมรวมเข้าไปไว้ด้วยกัน>
<นั้นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมแม่มดคนนี้ที่มาจากอนาคตที่ได้สูญเสียร่างกายของเธอและตกลงไปสู่การหลับไหลชั่วนิรันดร์ กับตัวตนของแม่มดคนนี้ในอดีตที่ยังไม่ได้สูญเสียร่างกายของเธอไปถึงสามารถที่จะอยู่รวมกันภายในสถานที่แห่งนี้ได้ค่ะ>
(ผู้แปล : น่าจะอารมณ์ประมาณว่าเยคาริน่าในอนาคตได้ตายลงไปก็เลยติดพิพิธภัณฑ์นี้แล้วพอเยคาเทริน่าคนปัจจุบันใช่งานความสามารถนี้ก็เลยเจอกับตัวของเยคาเทริน่าจากอนาคตที่ติดอยู่ที่นี่ด้วยนะครับ น่าจะเป็นอย่างนี้มั้งครับ 555)
<บางที ในโลกใบนี้หากปล่อยทิ้งไว้แบบนี้ต่อไปมันก็คงจะไม่พังทลายไปเช่นกันค่ะ>
<เพราะว่านี้ก็คือว่าเป็นบทส่งท้ายของเรื่องด้วยตัวมันเองอยู่แล้วค่ะ>
แม่มดในอดีตที่ได้เสียชีวิตลงในที่สุดและกลายมาเป็นแม่มดในอนาคต แล้วจากนั้นตัวเธอเองก็ได้เซาะแสวงหาตัวของแม่มดในอดีตเพื่อเรียกคืนร่างกายของตนเองคืนมา และแม่มดในอดีตคนนี้เองก็จะกลายมาเป็นแม่มดในอนาคตในเวลาที่เหมาะสมหลังจากที่เธอได้ตายลงไปในขณะที่วิ่งหนีการไล่ล่าไปตลอดทั้งชีวิตของเธอ
มันจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำกันไปมานั้นครั้งไม่ถ้วน
นี้เป็นจุดจบที่ไม่มีวันสิ้นสุดของโลกใบนี้
การตายไม่ใช่ทางออก
มันไม่มีทางเลยสำหรับเยคาเทริน่าที่จะออกไปจากที่นี้ได้
“…จริงหรือค่ะ?”
เยคาเทริน่าถามฉันด้วยดวงตาที่สั่นไหว เธอกำลังหวาดกลัว เธอไม่สามารถที่จะทำใจเชื่อลงได้เลยว่าเจ้ามอนสเตอร์ที่น่าสะพรึงกลัวและขนลุกซูชั่นเมื่อได้เห็นตัวนี้จะเป็นตัวของเธอเองในอนาคต ร่างกายของเธอสั่นไหวราวกับว่าเป็นใบไม้ที่ปลิวไปตามสายลม เธอดูน่าสงสารเป็นอย่างมาก
ฉันไม่ได้ล่าตัวเอกมาก็นานพอดูแต่เธอคนนี้เป็นตัวละครที่ดูไม่ปกติมากที่สุดท่ามกลางตัวเอกทั้งหมดที่ฉันได้เจอ
เธอไม่ได้เป็นตัวตนที่ฉันจำเป็นจะต้องล่า
“ล-แล้วฉันควรจะทำอะไรต่อดี?”
มันเป็นโชคชะตาของเธอที่จะต้องเร่รอนไปรอบๆพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ไปชั่วนิรันดร์
มันเป็นไปไม่ได้แม้แต่จะตายในโลกแห่งความฝันนี้ ฉันไม่สามารถที่จะฆ่าเยคาเทริน่าได้เช่นกัน แม้ว่าฉันจะยิงไปที่หัวของเธอเป็นร้อยๆนัดด้วยปืนที่ฉันมี เธอก็จะตื่นขึ้นมาและกลับไปยังสถานที่ที่เธอได้ตกลงสู่ห้วงแห่งนิททราจากที่โลกแห่งความเป็นจริงอยู่ดี
“อืมมมม…”
ในความเป็นจริงแล้ว มันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมานั่งคิดมากเรื่องช่วยเยคาเทริน่าออกไปจากที่นี้เลย ในเมื่อเธอเป็นตัวเอกของที่นี่ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว มันก็ไม่ได้ผิดอะไรหากว่าฉันตัดสินใจที่จะฆ่าเธอที่นี่แต่ว่ามันจะไปได้อะไรกันหละจากการล่าตัวเอกที่มีเลเวลเพียงแค่ 6 เท่านั้นเอง? มันคงจะดีกว่าที่จะล่าเยคาเทริน่าเลเวล 500 จากในอนาคตแต่ว่านั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะไปจัดการกับเจ้าสัตว์ประหลาดแม่มดจากอนาคตตัวนั้นลงได้อีกอยู่ดีนั้นแหละ
สุดท้ายแล้วทางเลือกเพียงอย่างเดียวที่เหลืออยู่ของฉันก็คงเป็นต้องจ่ายอายุขัยของตัวเองบางส่วน เพื่อออกไปจากพิพิธภัณฑ์แห่งฝันร้ายนี้
‘…นอกจากนี้แล้ว…มันก็น่าเสียดายเกินไปที่จะฆ่าเธอเพราะว่าเธอเป็นผู้พยากรณ์เพียงแค่คนเดียวที่โลกมีอยู่’
ถ้าหากว่าเขาหยุดวงจรของฝันร้ายนี่และช่วยชีวิตของเยคาเทริน่าเอาไว้ คนจากกิลด์โมเรียนจะให้อะไรตอบแทนฉันบ้างไหมน้า?
“เธอมีตำแหน่งสูงแค่ไหนกันในกิลด์โมเรียน? เป็นผู้บริหารรึป่าว? หรือเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง? หรือเป็นแขกผู้ทรงเกียรติหละ?”
เธอเป็นถึงนักพยากรณ์เพราะงั้นเขาเลยคิดว่าเธอจะต้องได้รับการดูแลเป็นอย่างดีแน่นอน
“…ไม่ ฉันนะได้รับการปฏิบัติเพียงแค่ราวกับว่าตัวเองเป็นเครื่องหยอดเหรียญในกิลด์เท่านั้นเอง”
“อะไรนะ?”
“นับตั้งแต่ที่ฉันได้ปลุกพลังอำนาจในการพยากรณ์ขึ้นมาในตอนที่อายุเพียงแค่สิบสี่ปี ฉันไม่เคยที่จะได้ก้าวออกไปข้างนอกอีกเลย มีเครื่องรางจำนวนมากถูกติดตั้งเอาไว้รอบตัวฉันมันเป็นคุกที่อยู่ในชื่อของอุปกรณ์ป้องกันตัวฉันเท่านั้นเอง และยังมีเหล่าฮันเตอร์หญิงอีกนับไม่ถ้วนที่คอยจับตาฉันอยู่”
“จริงดิ? คนพวกนั้นปฏิบัติกับผู้พยากรณ์อย่างนี้จริงดิ?”
“…ใช่แล้ว”
เธอกำมือของตนแน่นด้วยความโกรธ
“ถ้าหากว่าฉันสามารถที่จะใช้ ‘เวทมนตร์’ ได้อย่างเธอหละก็…”
“เวทมนตร์?”
มันเป็นคิดที่ฉันไม่ได้คาดไว้เลยว่าจะได้ยินจากใครสักคนที่อยู่บนโลก
แล้ว ข้อความบางอย่างจากคุณลูกค้าก็ได้เด้งขึ้นมา
<ฉันวิเคราะห์ได้ไว้แล้วค่ะว่าทำไมพวกเราถึงได้มาอยู่ในมิตินี้กัน>
<สกิล ‘ห้องสมุดของแม่มดขาว’ ของคุณและสกิล ‘พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งฝันร้าย’ ของเธอได้ถูกเชื่อมต่อเข้าด้วยกันเนื่องจากว่ามันมาจากโลกประเภทเดียวกันค่ะ นั้นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเราสามารถที่จะมาโผล่ที่นี้ได้ค่ะ>
‘…อย่างนี้นี่เอง’
ห้องสมุดของแม่มดขาวก็เป็นหนึ่งในโลกแห่งจิตของแม่มดเหมือนกันกับที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะนี้เป็นเช่นกัน เนื่องจากว่ามันเป็นโลกแห่งจิตที่ถูกสร้างขึ้นโดยฝีมือของแม่มด ดังนั้นพวกเราเลยมาติดอยู่ที่นี้เพราะว่าเงื่อนไขของมาตรการหลบหลีฉุกเฉินคือมิติที่ ‘ใกล้ที่สุด’
หืม เดี่ยวกันนะ
‘มิติทั้งสองเชื่อมต่อกันงั้นหรือ?’
<ใช่แล้วค่ะ>
“เธอพาฉันมาที่นี้เพราะว่าฉันมีโอกาส 90% ที่จะล่าตัวเอกคนนี้ลงได้สำเร็จใช่ไหม?”
<ถ้าหากวิเคราะห์ตามหลักของ ‘โชคชะตา’ แล้วคุณมีโอกาสที่จะล่าตัวเอกคนนี้สำเร็จอยู่ที่ 99% ค่ะ>
ฉันกลืนน้ำลายของตัวเองลงไปและมองขึ้นมา
“เปิดใช้งานห้องสมุดของแม่มดข่าว”
แล้ว ก็เหมือนกับปกติ ประตูของห้องสมุดแม่มดขาวได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าของฉัน มันก็ดูปกติดีเหมือนอย่างทุกครั้งที่เรียกใช้งาน แต่มันจะเป็นเรื่องปกติจริงๆหากว่ามีเพียงแค่ตัวฉันเองคนเดียวเท่านั้นที่สามารถมองเห็นมันได้เนื่องจากว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของจิตใจฉันในขณะที่คนอื่นมองมันไม่เห็น
“หะ….หา?”
เยคาเทริน่าที่อยู่กับฉันอีกคนก็สามารถที่จะมองเห็นห้องสมุดของแม่มดขาวที่ถูกอัญเชิญขึ้นมาได้ เยคาเทริน่าเต็มไปด้วยความรู้สึกประหลาดใจ
“นี้มันประตูบ้าอะไรกันคะเนี่ย?”
“นี้เป็นทางหนีของพวกเรา”
“ค่ะ?”
อย่างไรก็ตาม เจ้าประตูนี้เป็นส่วนที่แสดงออกให้เห็นถึงโลกในจิตใจของตัวฉันเอง
เยคาเทริน่าจะเข้าไปได้ไหมนะ? ฉันถามคำถามกับเธอด้วยความไม่แน่ใจ
“ลองแตะประตูหน่อยสิ”
“หืมม ฉันนุ่มจัง”
เยคาเทริน่าสามารถที่จะแตะห้องสมุดของแม่มดขาวที่ฉันมีได้ในทันทีที่ฉันได้ยืนยันเรื่องนั้น ฉันก็ได้เปิดประตูและเผยให้เห็นด้านใน
“โอ้ว ว้าว อู้ววววว!”
เมื่อได้เห็นสถานที่ที่ลึกลับแห่งนี้ เยคาเทริน่าได้เดินตรงไปด้านหน้าในขณะที่ได้อุทานออกมา
“เยคาเทริน่า นั้นเป็นทางออกไง”
“อะไรนะ? ที่ไหน?”
เธอเข้าไปสู่ห้องสมุดแห่งนี้และได้กลิ่นของหนังสือพวกนั้น มันดูเหมือนว่าที่นี้จะมืดกว่าทุกวัน เยคาทาริน่ามองโดยรอบห้องสมุดแห่งนี้โดยที่อ้าปากค้าง และดูเหมือนว่าเธอจะอยากวิ่งไปที่ไหนสักที่ในตอนนี้เลย แต่ก่อนหน้าที่เธอจะได้ทำแบบนั้นมันมีบางสิ่งที่ต้องเคลียร์ให้ชัดเจนกับเธอก่อน
“เยคาเทริน่า ถ้าหากว่าเธอได้ปิดประตูนี้ลงไปแล้ว เธอจะไม่สามารถกลับไปยังพิพิธภัณฑ์นั้นได้อีกแล้วนะ”
“…อ้า!”
“และ บางทีตัวเธอเองก็อาจที่จะสูญเสียความสามารถในการพยากรณ์ของเธอ ความสามารถทั้งหมดของเธอในการทำแบบนั้นด้วย”
นั้นก็ถูกแล้ว
แม้แต่ในตอนนี้เอง ที่ฉันสามารถที่จะพูดออกไปแบบนั้นได้นะเป็นเพราะว่าคุณลูกค้าที่รักของฉันได้ส่งข้อความมาให้ฉันอย่างต่อเนื่อง
<นั้นเป็นทางเลือกที่ดีค่ะ>
<ในโลกแห่งนั้นช่วงเวลาจะเกิดขึ้นซ้ำไม่มีที่สิ้นสุด ถึงอย่างนั้นก็เถอะถ้าหากว่าคุณส่งวัตถุที่ตกอยู่ในห้วงเวลาเช่นนี้ไปยังมิติอื่น หากทำแบบนั้นแล้วลูปจะหยุดลงและบทส่งท้ายจะหยุดลงไปหละค่ะ>
<นี้จะถูกนับว่าเป็นการตายของตัวเองเช่นกันค่ะ>
<ในจังหวะที่ตัวเอกคนนั้นได้ไปยังโลกใบอื่นแล้ว คนๆนั้นก็จะสูญเสียความสามารถในการเป็นตัวเอกไปในตอนนั้นเลยค่ะ>
ความสามารถในการเห็นอนาคตได้อย่างชัดเจนเป็นการแลกเปลี่ยนสำหรับการที่ตัวเองต้องตกอยู่ในฝันร้ายที่ไม่มีที่สิ้นสุดที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งนั้น อย่างไรก็ตามหากว่าเธอวิ่งหนีไปจากพิพิธภัณฑ์นั้นแล้วเธอจะสูญเสียความสามารถของการเป็นตัวเอกไป หรือในกรณีของเธอก็คงจะเป็นความสามารถใน ‘การพยากรณ์’ ที่จะต้องเสียไป เยคาเทริน่าจะโอเคกับเรื่องนี้รึป่าวนะ? นั้นเลยเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมฉันถึงได้ต้องถามเธอก่อน
“ฉ-ฉันนะ…ฉันนะหวังให้มันเป็นแบบนี้มาตลอดทั้งชีวิตของฉันเลยหละ”
นับตั้งแต่วันแรกที่เธอได้ปลุกความสามารถพิเศษของตัวเองขึ้นมาในตอนที่อายุได้สิบสี่ปี เธอก็ถูกใช้งานเหมือนกับว่าตัวเป็นเพียงเครื่องจักรแห่งการพยากรณ์มาโดยตลอด ที่ชีวิตของเธอยังดีอยู่ได้ก็เพราะตนเองสามารถที่จะดึงเอาคำพยากรณ์ออกมาได้เท่านั้นเอง
“แต่ว่าฉันไม่อยากจะใช้ชีวิตอยู่แบบนั้นอีกต่อไปแล้ว”
เธอพูดออกมาในขณะที่เธอมองตรงมาที่ฉันด้วยประกายจากดวงตาที่ชัดเจนราวกับว่าเป็นลูกแก้ว
“ฉันนะต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างไม่มีความสุขนับตั้งแต่ที่ฉันได้รับความสามารถในการพยากรณ์ที่ทำให้มาเห็นได้ถึงอดีตและอนาคตได้นี้มา แต่ถ้าหากว่าฉันสามารถที่จะเปิดดวงตาของตัวเองได้อีกครั้งและได้เห็นสิ่งต่างๆด้วยดวงตาคู่นี้อย่างชัดเจนแล้ว ฉันมั่นใจว่าฉันคงเลือกที่ขายจะวิญญาณของตัวเองได้อย่างไม่ลังเลเลย”
“ครับ ครับ คร้าบบบ…แต่ว่า”
“อะไรหรือคะ?”
บางทีเหตุผลที่เธอพูดออกมาว่า ‘ฉันมั่นใจว่าฉันคงเลือกที่จะขายวิญญาณของตัวเองได้อย่างไม่ลังเลเลย’ ก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่แน่วแน่ของเธอเอง
“เธอต้องการที่จะขายวิญญาณของเธอจริงๆใช่ไหม?”
“….คะ?”
ฉันต้องอธิบายอีกครั้งหนึ่งเมื่อดูเหมือนว่าเยคาเทริน่าจะดูเขินอายที่เธอไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาจะสื่อออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“พิพิธภัณฑ์ศิลปะเป็นโลกแห่งจินตนาการของเธอ และฉันก็อยู่ในโลกแห่งจินตนาการของเธอ แต่กับสถานที่ที่เธอยืนอยู่ในตอนนี้มันเป็นโลกในจินตนาการของฉันในอีกความหมายหนึ่งก็คือเธอจะกลายมาเป็นสิ่งที่อยู่ในจิตใจของฉัน”
“ค่ะ ค่ะ”
“ถ้าหากว่าเธอวิ่งหนีไปจากพิพิธภัณฑ์แห่งนี้และเข้ามาอยู่ในห้องสมุดของฉันแทน มันหมายความว่าจิตวิญญาณของเธอจะต้องติดอยู่ในจิตใจของฉันตลอดไป”
ใช่แล้วเธอไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าฉันเป็นใคร เธอทำอย่างนั้นได้งั้นไงกัน? ฉันพูดพร้อมกับที่ฝามือของฉันกดลงไปที่ประตูของห้องสมุดนี้เบาๆ
“จากวินาทีที่ฉันได้ปิดประตูนี้ลง เธอจะเข้ามาสู่โลกของฉันในขณะที่เธอหลับอย่างแน่นอน ถ้าหากว่าฉันต้องการที่จะล็อคประตูของห้องสมุดแห่งนี้เอาไว้เธอก็จะไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้เลยอีกต่อไปหรือไม่ฉันก็อาจจะทรมานเธอไว้ที่นี้ก็ได้ พูดอีกอย่างก็คือมันหมายความได้ว่าชีวิตของเธอต่อจากนี้จะถูกผูกไว้กับฉัน แล้วเธอนะมั่นใจแล้วหรือพร้อมที่จะละทิ้งพลังอำนาจในการพยากรณ์ของตนเองลงและยอมขายวิญญาณของตัวเองให้กับฉัน?”
อย่างไรก็ตาม สำหรับตัวของเยคาเทริน่าแล้วดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้มีความกังวลเรื่องพวกนี้อยู่ในใจเธอเลยทั้งแต่แรก
“ฉันไม่ได้สนใจว่านายจะเป็นปีศาจหรือป่าวหรอกนะยังไงซะที่พิพิธภัณฑ์นั้นก็นรก ฉันนะตกอยู่ในนรกนี้ในทุกๆวันอยู่แล้ว แล้วมันจะไปมีอะไรแย่กว่านี้หรือไงกัน?”
แตะ แตะ
เยคาเทริน่าเดินเข้าหาประตูและปิดมันด้วยตัวของเธอเอง
เธอหันหน้าของเธอ มองมาที่ฉันและยิ้มมาที่ฉันอย่างสดใส
“ในตอนนี้ ฉันจะไม่ต้องฝันร้ายอีกต่อไปแล้ว”
[วิญญาณของตัวเอก เยคาเทริน่าได้ถูกเพิ่มเข้าไปในสกิล ‘ห้องสมุดของแม่มดขาว (E)’ ของคุณ]
[คุณประสบความสำเร็จในการล่าตัวเอกเลเวล 6]
[เนื่องจากการล่าตัวเอกด้วยวิธีการที่พิเศษเป็นอย่างมาก เลเวลของคุณเพิ่มขึ้น 1]
[ 60 วันของอายุขัยได้ถูกเพิ่มเข้ามา]
[อายุขัยคงเหลือ : 4,697 วัน 14 ชั่วโมง 28 นาที]
[เนื่องจากตัวเอกไม่ได้ตาย คุณไม่สามารถที่จะดูดกลืนพรสวรรค์และทักษะของตัวเอกได้]
เธอปิดประตูโดยไม่ลังเลเลยสักนิดได้ยังไงกัน? ถ้าหากว่าการกระทำบางอย่างของตัวฉันเองอาจจะทำให้ชีวิตของฉันตกอยู่ในอันตรายแล้วหละก็ ฉันคงจะต้องใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่กลับเธอแล้ว เธอเป็นคนที่มีความเด็ดเดี่ยวและกล้าหาญถึงขนาดที่ว่าฉันยังมีไม่เท่าเธอเลย เธอทำในหลายสิ่งหลายอย่างที่ฉันไม่กล้าทำ
เธอยิ้มออกมาและก้าวเท้าลึกเข้าไปในห้องสมุดแห่งนี้
“ที่นี่ดูดีมากเลย ขอฉันเดินดูรอบๆหน่อยได้ไหม?”
แล้วในตอนที่เธอเดินไปรอบห้องสมุดแห่งนี้ด้วยย่างก้าวที่แผ่วเบา ทั้งใดนั้นเธอก็ได้หยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาและเปิดมันออก
แต่ในทันทีหลังจากนั้นเธอถึงกับตกตะลึงไป
“หา!?!? นี้มันหนังสือเวทมนตร์งั้นเหรอ?”
“อ่าหะ มันคือหนังสือเวทมนตร์”
“ไม่มีทางน่า! หนังสือทุกเล่มที่นี่…?”
“อ่าหะๆ ทุกเล่มนั้นแหละ”
ขณะที่เธอมองไปรอบๆห้องสมุดขนาดยักษ์แห่งนี้ด้วยปากที่เปิดกว้างออก ทันใดนั้นเธอก็ได้ฝั่งหัวของตัวเองลงไปที่หนังสือที่เธอได้หยิบออกมาแล้วเธอก็มองผ่านหนังสือเล่มนั้นไปและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สับสนว่า
“นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลย หนังสือของที่นี้มันไม่สามารถจะนำไปเทียบกับหนังสือเวทที่ฉันเคยเห็นจากที่อื่นมากก่อนได้เลย”
คิดๆดูแล้ว เหล่าคนที่ใช้เวทมนตร์ที่โลกก็ยังไม่ได้เปิดเผยตัวเลยนิ ฉันเดาว่าคนพวกนั้นคงจะไม่กล้าที่จะเปิดเผยตนเองออกมาหรือไปก็ต้องเป็นเพราะเหตุผลอะไรสักอย่างเป็นแน่
‘ถ้างั้นพวกสิ่งประดิษฐ์เวทมนตร์ที่ฉันเคยได้เห็นเมื่อตอนนั้นก็คงจะมาจากกิลด์โมเรียนใช่ไหมนะ?’
มันยำเตือนให้ฉันคิดไปถึงอารอน คนที่มีสิ่งประดิษฐ์เวทมนตร์จำนวนมากถึงเจ็ดชิ้นที่ถูกสร้างขึ้นด้วยฝีมือของใครบางคนถึงแม้ว่าระดับของสิ่งประดิษฐ์เหล่านั้นจะแย่จนเข้าขั้นน่าสะพรึงกลัว แต่ความจริงในเรื่องที่ฉันได้เห็นสิ่งประดิษฐ์พวกนี้บนโลกก็ค่อนข้างที่จะสร้างความประหลาดใจให้กับฉันได้ไม่น้อย ฉันสามารถที่จะค้นหาต้นต่อของเวทมนตร์นี้ได้เร็วกว่าที่คิดไว้ซะอีก
“ด้วยเล่มนี้ เล่มนี้ และก็เล่มนี้ด้วย หนังสือพวกนี้อาจจะทำให้ฉันสามารถหนีจากในโลกของความเป็นจริงได้ก็ได้นะ”
เยคาเทริน่ามองมาที่ฉันด้วยดวงตาที่สั่นไหว
“ขอฉันอ่านหนังสือเวทมนตร์ที่นี่ได้ไหมคะ ขอร้องนะคะ?”
“ไม่มีปัญหา เธอสามารถที่จะเข้าและออกไปจากที่นี้ได้เมื่อไหรก็ตามตลอดทั้งชีวิตของเธอและเดียวเธอก็จะอ่านมันจนเบื่อไปเองแหละ”
จิตวิญญาณของเยคาเทริน่าอยู่กับฉันแล้วในตอนนี้ ดังนั้นฉันไม่กลัวเลยว่าความลับของเวทมนตร์ที่นี่จะลั่วไหลออกไป
“โอ้ ว้าว อุ้ววว”
เธอก้มหัวลงเมื่อได้รับคำอนุญาตจากฉัน นี่เธอตื่นเต้นเกินไปจนอุทานคำพวกนั้นออกมาเลยงั้นเหรอ? ฉันหละสงสัยว่ามันเป็นแบบนั้นใช่ไหมนะ?
ไฟ!
“หืมมมมมม?”
ไข่มุกเวทย์สีแดงปรากฏขึ้นมาเหนือหัวของเธอและเริ่มที่จะเผาไหม้ เยคาเทริน่าสามารถที่จะร่ายเวทมนตร์ได้สำเร็จในระยะเวลาอันสั้น!
“ม-มันเป็นเวทมนตร์! มันเป็นเวทมนตร์! เย้! ฉันกำลังใช้เวทมนตร์อยู่จริงๆ!”
ฉันประหลาดใจเสียยิ่งว่าที่เธอประหลาดใจหลังจากที่ได้ใช้เวทมนตร์ระดับต่ำออกมาเสียอีก นี่มันโอเคแล้วใช่ไหมกับการที่เป็นเผ่าพันธ์แม่มดแสดงอารมน์ประหลาดใจออกมากับเวทมนตร์ระดับแค่นี้?
<เธอได้รับการสืบทอดด้วยสายเลือดแม่มดที่บริสุทธิ์เป็นอย่างมาก ดังนั้นทั้งอารมณ์ความรู้สึกจากความเป็นมนุษย์ของเธอและความสามารถของแม่มดเลยโดดเด่นอย่างน่าทึ่ง แต่เธอกลับถูกบังคับให้รับการสืบทอดพลังอำนาจการพยากรณ์และไม่สามารถที่จะใช้เวทมนตร์ได้แทนค่ะ>
<ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะว่าพลังทั้งหมดของเธอก็ใช้ในการเติมเต็มคำพยากรณ์แทนค่ะ>
แต่ในตอนนี้ ความสามารถในการพยากรณ์ของเธอได้หายไปแล้ว
พรสวรรค์ด้านเวทมนตร์ของเธอซึ่งทั้งล้นหลามและรุนแรงกว่าคนอื่นเสียอีกจึงได้ระเบิดออกมา!
หลังจากนั้น เธอก็ได้นั่งลงไปที่พื้น ลืมไปด้วยซ้ำว่าฉันเองก็อยู่ที่นี่ด้วยและเริ่มอ่านหนังสือเวทมนตร์ต่อไปอย่างเหม่อลอย หลังจากที่มองดูเธอเป็นเวลานาน ฉันได้มองไปที่อากาศอีกครั้ง
“กลับกันเถอะ”
[ย้อนกลับไปยังโลกเดิมโดยการบรรลุเป้าหมาย]
โลกใบนี้เริ่มที่จะสลายหายไป
[การเลือกตำแหน่งย้อนกลับไปสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ตามที่ใจต้องการในทันทีหลังจากที่ได้มาตรการหลบหนีฉุกเฉินได้รับการใช้งาน]
“เถือกเขาหิมาลัย ณ จุดที่ชอนมา ซอลจองยอนอยู่”
[อายุขัย 30 ปีจะถูกหักออกไปเพิ่มเติม]
“โอเค”
ฉันได้จบเรื่องของตัวเอกในโลกนี้ไปเรียบร้อยแล้ว
ในตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่ฉันจะต้องไปจบเรื่องของตัวเอกในโลกยุคปัจจุบันเสียที