ตัวเอกพวกนั้นฉันฆ่าเองแหละ (The Protagonist Are Murdered by Me) - ตอนที่ 82
‘คุณจะกลายมาเป็นตัวเอกค่ะ’
ฉันรู้สึกงุนงงสับสนกับสิ่งที่คุณลูกค้าได้พูดออกมา
มันคล้ายกับความรู้สึกที่ว่าคุณกำลังทวงเงินเดือนจากเจ้านายอยู่ดีๆแล้วก็ได้งานใหม่ที่มีเดตไลน์ส่งงานมาแทน
ตัวเอกเป็นคำที่ดูเหมือนว่าจะดีหากเพียงแรกมองแต่ว่ามันไม่ใช่แบบนั้นนะสิ
มันเป็นเพราะว่าฉันรู้ว่าทุกๆครั้งที่คนพวกนี้ได้กระทำอะไรบางอย่างลงไป ทุกสิ่งที่พวกได้ทำลงไปนั้นแทบจะเป็นการกระทำที่เป็นไปตามกระแสของความเป็นไปได้ที่ถูกตั้งค่าไว้โดยโลกใบนั้นๆแทบทั้งสิ้นและความตั้งใจของพวกเขาก็แทบจะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับมันเลย
ด้วยพลังอำนาจของความเป็นไปได้และพล็อตเรื่องซ้ำๆซากๆ ฉันคงจะได้รับหลายสิ่งหลายอย่างมาได้อย่างง่ายดายแต่ฉันรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นจะจากฉันไปในไม่ช้าก็เร็วหลังจากนั้นและโลกใบนี้ที่ฉันได้อาศัยอยู่ก็จะพังทลายลงเช่นเดียวกัน
“…ฉันจะหลีกเลี่ยงการกลายมาเป็นตัวเองได้ยังไง?”
<แน่นอนค่ะ ว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นปัญหาในตอนนื้แต่สิ่งที่ฉันกำลังพยายามจะบอกก็คือ…>
“เฮ้ ตั้งสติหน่อยสิ ทำไมเธอถึงได้พูดติดๆขัดๆกัน?”
ภาพของคุณลูกค้าในหัวของฉันคือหญิงสาวที่มีการแสดงออกที่สงบนิ่ง เป็นคนที่เยือกเย็นจนคล้ายกับว่าเป็นเครื่องจักรแต่เมื่อมีความเป็นไปได้นี้ที่อาจจะให้ฉันกลายมาเป็นตัวเอกได้เข้ามาเกี่ยวข้อง ฉันก็รู้สึกได้เลยว่าเธอเองก็กระสับกระสายเช่นเดียวกัน
“ถ้าหากว่าความเป็นไปได้นี้มันล้นออกมา งั้นพวกเราไม่สามารถที่จะใช้มันออกไปได้สักทางเลยหรือ?”
<ความเป็นไปได้จะยิ่งถูกสะสมมากขึ้นเรื่อยๆในขณะที่คุณใช้มันออกไปค่ะ เช่นหากว่าคุณได้รับสกิลเลเวล 1 มาคุณก็จะได้มันเป็นเลเวล 2 ในทันทีเลย มันเป็นปรากฏการที่เรียกว่า ‘ความเป็นไปได้ล้นทะลัก’ ซึ่งหมายความได้ว่าตัวเอกจะแข็งแกร่งมากขึ้นและมากจนกระตุ้นให้มันทรงประสิทธิภาพที่เหนือล้ำยิ่งกว่าก่อนหน้านี้อีกค่ะ>
“อย่ามาล้อเล่นแบบนี้สิ”
ฉันคิดอยู่สักพักหนึ่งแต่มันก็มีเพียงแค่ความคิดเดียวเท่านั้นที่ฉันคิดออกมามันสามารถที่จะใช้แก้ไขปัญหาในปัจจุบันของฉันได้
“เราทำมันแบบเมื่อก่อนไม่ได้หรอกเหรอ ก็แบบใช้ความเป็นไปได้ออกไปผ่านการเดินทางไปกลับระหว่างมิติอะไรแบบนี้อะ?”
<ปริมาณความเป็นไปได้ที่รวมอยู่รอบตัวคุณมันใหญ่มากเกินไปที่จะถูกใช้ออกไปด้วยการเดินทางข้ามมิติในครั้งเดียวค่ะ มากไปกว่านั้น การเดินทางข้ามมิติซ้ำๆกันหลายๆครั้งก็เป็นไปไม่ได้อีกเช่นกันเพราะว่ามันทำฉันเหนื่อยมากเกินไปค่ะ>
“ถ้างั้นแล้วมันมีอะไรที่เหนื่อยน้อยกว่านี้แต่ยังคงสามารถที่จะผลาญความเป็นไปได้ออกไปได้บ้างไหม?”
<…มันก็มีค่ะ>
“โอ้ว มันคืออะไรกันหละ?”
<การเดินทางข้ามเวลาค่ะ>
หืม?
ในตอนที่ฉันได้แสดงสีหน้าที่ไม่ทำใจเชื่อไม่ลงออกไป คุณลูกค้าก็ได้พูดต่อ
<มันมีรูปแบบของพล็อตเรื่องที่ซ้ำซากกันไปมามากมายในโลกแต่ละใบค่ะ>
ไม่ว่าจะเป็น การย้อนเวลา,การยึดครองร่าง,การเกิดใหม่,การย้ายร่าง
<ท่ามกลางทั้งหมดนี้เอง ‘การย้อนเวลา’ มีความใกล้เคียงกับการเดินทางข้ามเวลามากที่สุดค่ะ>
“อืม ถ้างั้นแล้วเธอจะบอกให้ฉันย้อนเวลากลับไปยังอดีตงั้นหรือไงกัน? บนโลกใบนี้อะนะ?”
<ไม่ค่ะ! คุณพูดพล่อยๆแบบนี้ออกมาได้ยังไงกันค่ะ!? ถ้าหากว่าคุณทำแบบนั้นแล้วคุณจะไปต่างอะไรกันกับตัวเอกคนอื่นๆกันหละค่ะถ้าคุณย้อนเวลาที่โลกนะ?>
“…เออ ก็ใช่แหะ”
<ในโลกใบนี้ พวกเราจะต้องไม่แตะต้องแกนเวลา อย่างพวก ‘การย้อนเวลา’ ซึ่งจะทำให้คุณย้อนกลับไปยังอดีตได้เป็นสิ่งที่ถือได้ว่าเป็นข้อห้ามโดยเด็ดขาดค่ะ เพราะว่ามันจะเป็นการเร่งกระบวนการของการที่จะทำให้คุณกลายมาเป็นตัวเอกให้เร็วขึ้นไปอีกค่ะ>
“ถ้างั้นแล้วฉันควรที่จะทำยังไงดีหละ?”
คุณลูกค้าครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะหนึ่งก่อนที่จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สดใสราวกับว่าเธอพบทางออกแล้วว่า
<แม้ว่าฉันจะไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน แต่ไม่ใช่ว่าคุณฮันเตอร์ยูซอดัมก็เป็นใครบางคนที่ได้เดินทางไปมาระหว่างมิติต่างๆและบิดเบื้อนเรื่องราวของตัวเอกคนอื่นๆโดยการเข้าไปแทรกแซงเรื่องราวของตัวเองคนนั้นๆและฆ่าพวกเขาลงไม่ใช่หรือไงกันค่ะ?>
“โอ้ว…”
มันเป็นงั้นจริงดิ? เพราะว่านี้มันเป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเกี่ยวกับมัน
<ในกรณีเช่นนั้นแล้ว มันก็ถือว่าเป็นไปได้ที่จะทำการย้อนเวลาแบบเต็มสูบและใช้ ‘การแทรกแซงช่วงเวลา’ ในขณะเดียวกันก็ทำการแทรกแซงเรื่องราวของตัวเอกไปด้วยค่ะ>
“การแทรกแซงเวลา?”
<ใช้แล้วค่ะ ด้วยการแทรกแซงซ้ำๆกันไปบนกระแสของเรื่องราวความเป็นไปได้ที่สะสมอยู่ในร่างกายของคุณก็จะถูกใช้ออกไป ในตอนนี้ด้วยสกิลนักล่าตัวเอกที่ไปถึงเลเวล 4 แล้ว มันเลยเป็นไปได้ที่จะแทรกแซงลงไปในช่วงเวลาต่างๆของเรื่องราวตัวเอกค่ะ>
“โอเค”
<แต่มันก็ไม่ใช่ว่าคุณจะสามารถเอาการแทรกแซงเวลาไปใช้โลกไหนก็ได้นะคะเพราะว่าการแทรกแซงเวลาที่มากเกินไปสามารถที่จะนำไปสู้ความขัดแย้งของความเป็นไปได้ก็ได้ค่ะ>
“แล้วโลกแบบไหนกันที่ฉันสามารถที่จะใช้มันได้หละ?”
<มันโอเคที่จะใช้มันในโลกที่ตัวเอกได้ดับสูญไปเรียบร้อยแล้วค่ะ หรือในอีกความหมายหนึ่งก็คือ มันใช่ได้ในโลกที่ได้ดับสูญไปเรียบร้อยแล้วนะคะ>
“อย่างนั้นเหรอ?”
<ในโลกเช่นนั้นแล้ว มันจะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นแน่นอนค่ะ>
ฉันไม่เคยได้เห็นโลกที่ดับสูบไปแล้วด้วยตาของตัวเองมาก่อนเลย อย่างไรก็ตามฉันกลับได้มีประสบการณ์แบบอ้อมๆจากการเห็นโลกที่ได้ดับสูญที่พังทลายลงไปแล้วและได้กลายมาเป็นดันเจี้ยนที่ปรากฎตัวขึ้นบนโลกcmo
ตัวเอกพวกนั้น คนที่ได้ดูดกลืนความเป็นไปได้ทั้งหมดของโลกที่ตนเองอยู่ ได้สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาเคยได้รับมันมาและโลกของพวกเขาก็ได้ล้มสลายลงไป สิ่งมีชีวิตและเหล่าอารายธรรมทั้งหลายต่างพากันสูญสิ้น ในกระบวนการเหล่านั้นมีเพียงแค่ตัวเอกที่ยังคงครอบครองความเป็นไปได้ที่เหลือเพียงน้อยนิดเท่านั้นเองที่อยู่รอดจนกระทั้งถึงจุดจบและมองดูการพังพลายของโลกใบนั้นๆ
<มันมีโลกอยู่หนึ่งใบค่ะที่เหมาะสมกับคีย์เวิร์ดของคำว่า ‘โลกที่ดับสูญ’ มันเป็นโลกที่ได้ไปถึงจุดจบเรียบร้อยแล้วและความเป็นไปได้ของตัวเอกก็ได้ทำให้มันกลายเป็นการ ‘ดับสูญ’ ของโลกไปจริงๆค่ะ>
“…เอาให้ฉันดูหน่อยสิ”
แฮชแท็กได้ปรากฎขึ้นตรงหน้าของฉัน
『นักรบที่ไม่สามารถที่จะปกป้องโลกใบนี้ไว้ได้』
#แฟนตาซี #นักรบ
#ปีศาจ #นักล่า
#เอาชีวิตรอด #ความสิ้นหวัง
……………………………………………………..
หากชอบเรื่องนี้สามารถให้กำลังใจและสนับสนุนผู้แปลได้ทาง mynovel.co หรือ
……………………………………………………..
<พล็อตเรื่อง>
โลกใบนี้ได้สิ้นสุดลงด้วยน้ำมือของปีศาจตนนั้น
ฮีโร่คนนั้นก็มิอาจที่จะปกป้องโลกใบนี้เอาไว้ได้
……………………………………………………..
หากชอบเรื่องนี้สามารถให้กำลังใจและสนับสนุนผู้แปลได้ทาง mynovel.co หรือ
……………………………………………………..
“…แฮชแท็กและพล็อตเรื่องนี้มันจะไม่ดูนองเลือดเกินไปหน่อยหรือ?”
หลังจากที่ได้อ่านพล็อตเรื่องแล้ว มันเป็นสถานที่ที่ฉันไม่อยากจะไปเลยจริงๆ
“ตัวเอกก็อยู่ที่นั้นด้วยใช่ไหม?”
<ใช่ค่ะ แต่อย่างไรก็ตามคุณมีโอกาส 0% ที่จะล่าตัวเอกคนนี้ลงได้ค่ะเพราะว่าตัวเอกคนนี้ไม่ได้ครอบครองความเป็นไปได้ที่จะตายค่ะ>
การตายโดยมองถึงความเป็นไปได้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในขณะที่เกิดการล่าตัวเอก ฉันได้ล่าตัวเอกไปมากมายหลายต่อหลายคนและโดยส่วนมากแล้วฉันจะทำให้พวกเขาทั้งหมดตายลงด้วย ‘ความตายที่ลงตัวกับความเป็นไปได้’
แม้แต่ว่าเอกเลเวล 500 เดอมาร์สูงสุดก็ได้ตายลงตามหลักความเป็นไปได้เช่นกัน แต่ในบ้างครั้งมันก็มีตัวเอกเช่นนี้เหมือนกันที่ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะตาย เหมือนกับตัวเอกของโลกที่ฉันกำลังจะไป
<แต่ว่า…ถ้าหากว่าคุณใส่ ‘เวลา’ ลงไปเป็นคีย์เวิร์ด โอกาสประสบความสำเร็จของคุณในการล่าตัวเอกคนนี้ก็จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยค่ะ นั้นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมฉันถึงได้เลือกโลกใบนี้ค่ะ แน่นอนว่าคุณไม่ได้จำเป็นที่จะต้องล่าเขาจริงๆหรอกนะคะเพราะว่าจุดประสงค์หลักของเราก็คือการใช้ความเป็นไปได้ที่มากเกินไปที่คุณได้ครอบครองเอาไว้ออกไปค่ะ>
“เข้าใจแล้วหละ”
<ถ้างั้นแล้วคุณต้องการที่จะออกเดินทางเลยไหมค่ะ?>
“อ่าหะ ไปกันเลย”
ไม่ว่าจะในกรณีไหนๆก็ตาม มันจะไม่มีปัญหาอะไรในเมื่อฉันแค่ต้องการที่ใช้ความเป็นไปได้จำนวนมากนี้ออกไปเท่านั้นเอง
[คำเตือน! คำเตือน!]
[มีอีกหนึ่งดวงวิญญาณที่ได้แบ่งปันสกิล ‘ห้องสมุดของแม่มดขาว (D)’ อยู่]
“หมายถึงเยคาเทริน่าอะนะ?”
[คุณต้องการที่จะแบ่งส่วนหนึ่งของสกิล ‘ห้องสมุดของแม่มดขาว (D)’ ให้เป็นอิสระในจิตใจของ ‘เยคาเทริน่า’ ไหม?]
จะว่าไปแล้ว
ดวงวิญญาณของเยคาเทริน่าก็อยู่ในหัวของฉัน ถ้าอย่างนั้นแล้วถ้าหากว่าฉันเอาวิญญาณของเธอและข้ามไปยังต่างมิติ ร่างกายของเธอก็คงจะยังอยู่ที่นี่และกลายเป็นเปลือกเปล่าๆ และนั้นจะทำให้เป็นเรื่องได้
“เอาตามนั้นเลย”
[ส่วนหนึ่งของสกิล ‘ห้องสมุดของแม่มดขาว(D)’ ได้รับการคัดลอกและเหลือไว้ในจิตใจของอีกตัวตนหนึ่งแล้ว]
ณ ตอนนี้ดวงวิญญาณของเยคาเทริน่าได้อยู่ปล่อยไว้ให้อยู่ที่โลกโดยสมบูรณ์
“ไปกันเถอะ”
[ทำการเคลื่อนย้ายเข้าสู่ ‘จักรวรรดิอันวาร์ คาร์เมล’ โลกเดิมของตัวเอกเลสคาปี้]
[10…9…8…]
รอบตัวของฉันบิดเบี้ยวและในทันใดนั้นเองแสงสีขาวก็ได้ระเบิดออกมา
[2…1…0]
[การเคลื่อนย้ายเสร็จสมบูรณ์]
[ช่วงเวลา ณ ปัจจุบัน : 30 พฤษภาคม 3070]
[ตำแหน่ง ณ ปัจจุบัน : ปราสาทของปีศาจโอเมก้า]
เมื่อฉันได้เปิดตาของตัวเองขึ้นอีกครั้ง ฉันเห็นได้ว่าโลกใบนี้กำลังแตกสลายเป็นชิ้น
“อะไรกันเนี่ย?”
มันไม่ใช่คำเปรียบเปรยหรอกนะ
โลกใบนี้นะกำลังแตกสลายกลายเป็นฝุ่นผง,ละอองแสงและอนุภาคเล็กๆ
แผ่นดินค่อยๆเริ่มที่จะหายไปและในที่สุดมันก็ได้กลายมาเป็นหน้าผาที่ล้อมรอบที่แห่งนี้ไว้ทุกด้าน ฉันหละสงสัยจริงๆว่าอะไรจะเกิดขึ้นกันนะหากว่าที่นี่ตกลงด้วยนะ?
ที่ศูนย์กลางของการพังทลายเช่นนี้เอง มันเป็นยักษ์ตนหนึ่งที่กำลังเดินขึ้นมาพร้อมกับเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า
เจ้ายักษ์ตนนี้ได้ปลดปล่อยละอองแสงออกมาคล้ายกับดวงอาทิตย์ทั่วทั้งร่างกายของตัวเอง มันคงจะไม่ใช่พระเจ้าที่ลงมาเยือนโลกใบนี้ใช่ไหมนะ?
โลกใบนี้ได้พังทลายลงไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างได้หายไปและในตอนนี้ก็มีเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้นที่ยังคงเหลืออยู่ พระอาทิตย์ได้ย้อมท้องฟ้าแห่งนี้ได้ด้วยสีแดงฉานราวกับว่ามันกำลังส่องสว่างให้กับโลกใบนี้เป็นครั้งสุดท้าย
ฉันมองไปยังภาพของโลกที่กำลังพังพินาศแห่งนี้
ฉันรับรู้ได้เลยว่ายักษ์นั้นไม่ได้ตัวตนที่สำคัญอะไรเลย มันแค่ดูเหมือนพระเจ้า มันไม่ใช่ทั้งพระเจ้าหรืออะไรทำนองนั้นเลย มันก็แค่สิ่งมีชีวิตที่ติดอยู่ในโลกที่กำลังพังพินาศแห่งนี้และร้องไห้ออกมาเพราะต้องการเอาชีวิตรอด
“…เจ้าเป็นใครกันแน่?”
ฉันหันหัวของตัวเองไปทางเสียงที่ดังมาจากด้านหลังของฉัน
มันเป็นหญิงสาววัยกลางคนที่กำลังมองมาที่ฉันอยู่ ร่างกายทั้งหมดของเธอเปรอะเปื้อนไปทั่วทั้งตัว เธอสวมใส่เสื้อผ้าขาดๆ แต่ว่าดวงตาสีน้ำตาลสดของเธอกลับส่องประกายออกมาอย่างสว่างไสว
ที่เหนือหัวของเธอ ฉันไม่เห็นว่ามันจะมีคำว่าตัวเอกอยู่ ฉันเลยถามเธอออกไปโดยสัญชาตญาณ
“แล้วผู้รอดชีวิตคนอื่นหละ?”
แล้วเธอก็มองมาที่ฉันด้วยดวงตาที่สั่นเทาแล้วส่ายหัวของเธอ
“ทั้งหมดตายแล้ว ในตอนนี้ มีเพียงแค่ฉันคนเดียวนั้นที่เหลืออยู่ ผู้รอดชีวิตทั้ง 7 คนรวมไปถึง ‘ผู้กล้า เลสคาปี้’ ได้ขึ้นเรือ ‘อาร์ก’ และจากไปยังโลกใบอื่นแล้ว ในตอนนี้โลกใบนี้ได้มาถึงจุดจบแล้ว เจ้านั้น เจ้า ‘โอเมก้า’ ราชาปีศาจแห่งภัยพิบัติได้ชักนำโลกใบนี้ลงไปสู่ความพินาศ…และทั้งหมดที่เหลืออยู่นี้ก็จะหายไป”
หญิงสาวที่มีหูแหลมคนนี้ได้จ้องไปยังราชาปีศาจ ดวงตาของเธอดูจะเต็มไปด้วยทั้งความเกลียดชังและความเห็นอกเห็นใจ แต่ฉันไม่สามารถที่จะเข้าใจมันได้ดีนัก ฉันไม่ได้เป็นคนที่คุ้นเคยกับการอ่านอารมณ์ความรู้สึกคน
“นักรบที่ไม่อาจจะปกป้องโลกใบนี้ไว้ได้ และมันก็อยู่ในระหว่างกระบวนการแล้ว ฉันไม่อาจที่จะทำอะไรกับมันได้อีกต่อไป”
ราวกับว่าฉันกำลังเขียนไดอารี่อยู่ ฉันฟังเสียงพึมพำนั้นและหลังจากนั้นฉันก็เปิดปากของตัวเอง
“เธอชื่ออะไร?”
“หะ เจ้ายังจะถามเช่นนั้นออกมาแม้ว่าโลกใบนี้กำลังอยู่ใจกลางของการล้มสลายลงไปเนี่ยนะ?”
“ฉันชื่อยูซอดัม และฉันก็เป็นฮันเตอร์นะ”
“…ชื่อของข้าคือนิชา คาร์เมล ราชินีของจักรวรรดิอันวาร์ คาร์เมลแห่งนี้และเป็นผู้รอดชีวิตคนสุดท้าย ไม่สิ ไม่ใช่ผู้รอดชีวิตคนสุดท้าย มันยังมีอีกหนึ่งตนที่ยังรอดอยู่อีก…”
นิชามองไปที่เจ้ายักษ์ตนนั้นด้วยสายตาที่ว่างเปล่า และอยู่ๆเธอก็เพ่งมองไปที่ดวงตาของมัน
แล้ว เธอก็เริ่มที่จะพึมพำอีกครั้ง
“แล้ว…”
เธอไม่ได้กำลังพูดกับฉันอยู่ คำพูดพวกนั้นที่เธอพูดออกมามันเต็มไปด้วยความเสียใจที่สื่อไปถึงอดีตที่ผ่านมา
“ถ้าหากว่าฉันไม่ได้พึ่งไอ้เจ้าฮีโร่นั้นหละก็…ไม่สิ ถ้าหากว่าฉันยอมรับเขาตั้งแต่แรก สิ่งต่างๆมันจะต่างออกไปไหมนะ…?”
คำพูดแบบนั้นมันช่าง…ไร้ความหมายเสียจริง
แต่ในวินาทีที่ฉันได้ยินมัน โลกใบนี้ก็ได้เริ่มที่จะบิดเบี้ยวในทันที
[กำลังทำการส่งผ่านเรื่องราวของตัวเอก ‘เลสคาปี้’]
[กำลังทำการย้อนกลับไปสู่อดีต]
[ช่วงเวลา ณ ปัจจุบัน : 30 พฤษภาคม 3020]
[ตำแหน่ง ณ ปัจจุบัน : จักรวรรดิอันวาร์ คาร์เมล เตียงนอนของจักรพรรดินี อคาเซีย ณ พระราชวังที่ 3]
ฉันเห็นดวงตาสีน้ำตาลใสแจ๋วกำลังจ้องมาที่ฉันในตอนที่ฉันเปิดตาขึ้นมา
“…นิชา?”
“ท่านรู้จักข้าด้วยหรือค่ะ?”
“…….?”
ฉันพยายาที่จะควบคุมมวลของเหลวที่กำลังจะพุ่งขึ้นมาที่ลำคอของฉันเพราะอาการโมชั่นซิกเนส(Motion Sickness)ของตัวเอง ในทันทีหลังจากที่ฉันรู้สึกตัวและตื่นขึ้นมา ดวงตาสีน้ำตาลที่อยู่เบื้องหน้าของเขาไม่ได้เป็นของนิชาคนเมื่อกี้นี้อีกแล้ว แต่กลับเป็นของเด็กสาวคนหนึ่งที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นตอนต้นที่มีอายุน้อยกว่านิชาที่ฉันได้เจอเมื่อตะกี้นี้มากนัก
“นี้มันอะไรกัน…?”
มองไปที่เธอ ห้องนอนในยุคกลางก็เข้ามาสู่สายตาของฉัน มันเป็นพระราชวังที่หรูหราและจากหน้าต่างที่อยู่ด้านหน้าของฉัน แสงอาทิตย์ก็ได้ส่องประกายเข้ามา
ฉันค่อยๆเดินเข้าไปหาหน้าต่างและมองออกไปด้านนอก
มันช่างเป็นปราสาทที่สูงโคตรๆ สูงราวกับว่ามันเสียบทะลุไปในท้องฟ้า โดดเด่นออกมาเป็นพิเศษจากสิ่งต่างๆโดยรอบ ปราสาททั้งหลังนี้เป็นสิ่งที่ได้รับการสนับสนุนโดยอุปกรณ์ไม่ทราบชื่อบางประเภทที่แม้แต่ห้องสมุดของแม่มดขาวก็มิอาจระบุได้ด้วยใช้เพียงแค่การมอง แต่มีความเป็นจริงหนึ่งอย่างที่ฉันมั่นใจได้แน่นอนเลยคือ
เทคโนโลยีเวทมนตร์ของโลกนี้จะต้องได้รับการพัฒนามาในระรับที่สูงเป็นอย่างมากเป็นแน่ บางทีนะ มันอาจจะมากเท่ากับที่จักรวรรดิวิเวียนด้าก็เป็นได้
<ประสบความสำเร็จในการแทรกแซงเรื่องราว คุณได้ย้อนกลับมาในช่วงเวลา 50 ปีก่อนหน้า>
‘หืม…นี่มันเจ๊งสุดๆไปเลย…’
มันเป็นโลกอันแสนสวยงามที่เต็มไปด้วยศาสตร์แห่งเวทมนตร์ซึ่งดูคล้ายคลึงกับที่จักรวรรดิวิเวียนด้า ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด
ฉันหันหน้าของตัวเองกลับไปอีกครั้ง
เด็กสาวที่มีดวงตาสีน้ำตาลยังคงจับจ้องมาที่ฉันอยู่
“เธอชื่อนิชาใช่ไหม?”
บางทีเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าของเขาคนนี้คงจะเป็นนิชาคนก่อนในเวอร์ชั่นที่เด็กลง
“ใช่ค่ะ แล้วท่านเป็นใครกันค่ะ?”
“ฉันเออ…ฉันเป็นแค่ฮันเตอร์ที่ผ่านทางมานะ…”
พอคิดดูแล้ว นิชาก็บอกว่าเธอเป็นเจ้าหญิงนิ และที่นี้ก็น่าจะเป็นห้องนอนที่เจ้าหญิงนิชาใช้เมื่อ 50 ปีก่อน ฉันในตอนนี้ซึ่งถ้าจะให้พูดก็ดูราวกับว่าเป็นคนที่ได้บุกรุกเข้ามาในห้องนอนของเจ้าหญิงเลย
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างเธอกลับไม่ได้กรี๊ดร้องหรือว่าเรียกองค์รักษ์ให้เข้ามาแต่ยังคงยิ้มและจ้องมาที่ฉันแทน
“ฉันคิดว่าฉันเคยเห็นท่านลุงมาก่อนหน้านี้ในความฝันนะคะ”
“หา? ฉันอะนะ?”
“ใช่แล้วค้า! ฉันคิดว่าท่านลุงได้พูดบางอย่างออกมาหลังจากที่ได้สบตากับฉัน…”
แล้วทำไมฉันได้ไปอยู่ในความฝันของเธอกันหละ?
“เออ เยี่ยม แล้ววันนี้วันอะไรนะ?”
นับตั้งแต่ที่ระบบได้บอกว่าฉันประสบความสำเร็จในการแทรกแซงในเรื่องราว มันจะต้องไม่ใช่วันธรรมดาๆทั่วไปเป็นแน่
แล้วนิชาก็ตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มกว้าง
“มันเป็นวันที่ข้าจะมีอายุ 9 ขวบค่ะ”
ฉันไม่ได้แม้แต่จะอยากรู้ในเรื่องนั้นเลยสักนิด
นอกไปจากนี้แล้ว ในขณะที่ฉันมองไปที่นิชา ฉันก็ได้เข้าใจพล็อตเรื่องของโลกใบนี้ในที่สุด
‘นักรบและราชาปีศาจ โดยปกติ พล็อตเรื่องที่จะถูกใช้ในสถานการณ์แบบนี้มัน…’
ในวินาทีนั้นเอง สัมผัสที่หกของฉันก็ได้ร้องเตือนให้ฉันรับรู้ได้ถึง ‘ตัวตน’ บางอย่าง
ในขณะที่ความรู้สึกอันน่าขนลุกเคลื่อนลงมาอยู่ที่ด้านหลังของฉัน ฉันรีบหันกลับไปยังนิชาอย่างรวดเร็ว
เธอยังคงกำลังยิ้มและมองมาที่ฉันอยู่
“…นิชา อย่าหันหลังกลับไปนะ เข้าใจไหม?”
“ค่ะ?”
อารมณ์ความรู้สึกอันแสนมืดมิดและโหดร้ายผุดขึ้นมาปกคลุมไปทั่วทั้งห้องนอนของเจ้าหญิง ฉันจะไปลืมการดำเนินของพล็อตเรื่องเกี่ยวกับพวกฮีโร่และราชาปีศาจได้ยังไงกันหละ?
‘เจ้าหญิงที่ถูกลักพาตัว’
ดังเช่นนั้นเอง มันก็โอเคเลยที่จะพูดว่าการดำเนินของพล็อตเรื่องในส่วนของการลักพาตัวเจ้าหญิงในวันเกิดของเธอเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย
ห่าเอ้ย!
บางสิ่งบางอย่างได้แอบรอดผ่านเข้ามาทางช่องวางระหว่างประตู มันดูราวกับความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุด เจ้าสิ่งนี้มันคงจะต้องเป็น ‘ปีศาจ’
“นิชา ตั้งใจฟังฉันดีๆนะ ตอนนี้เธอกำลังฝันร้ายอยู่เข้าใจไหม?”
“ค่ะ…”
เมื่อฉันเคลื่อนตัวไปถึงนิชาด้วยความระมัดระวัง เจ้าปีศาจตัวนี้เองก็ได้เข้ามาในห้องและพุ่งตรงมาที่ฉันอย่างรวดเร็วเสียยิ่งกว่าความเร็วเสียซะอีก
ฉึบ!!!
ฉันได้ตัดคอของเจ้าปีศาจตนนี้ลงด้วยดาบอีเทอร์ที่อยู่ในมือของตนเอง
[กระแสการไหลของเรื่องราวเกิดความผันผวน กำลังทำการเริ่มความเร็วของช่วงเวลา]