ตัวเอกพวกนั้นฉันฆ่าเองแหละ (The Protagonist Are Murdered by Me) - ตอนที่ 89
ในเวลาเดียวกันกับที่ยูซอดัมกําลังอยู่ที่สหรัฐอเมริกาเพื่อที่จะค้นหามิติเลื่อนลอยสําหรับยุทธภพจุงวอน เทเลอร์ไนน์ก็ได้กลับไปยังบ้านเกิดของเธอ รัสเซีย
มันเป็นสหพันธรัฐขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างอยู่บนที่ดินอันกว้างใหญ่ที่ใช้เวลากว่าสิบชั่วโม งกว่าแสงจากแสงจากดวงอาทิตย์จะปกคลุมไปยังทุกตารางนิ้วของดินแดนที่ปกคลุมได้ด้วยหิมะเช่นนี้
เทเลอร์ไนน์ที่อยู่ในชุดเดรสีเงินนั่งอยู่บนเก้าอี้พร้อมกับถือตราสีเงินอย่างเงียบๆ มันเป็นสัญลักษณ์ของตระกูลเธอ เส้นผมของเธอถูกตัดแต่งให้เรียบร้อย
“ยินดีที่ได้เจอเธออีกครั้งนะ เทเลอร์”
พี่ชายและพี่สาวของเธอได้มารวมตัวกันอยู่รอบตัวเธอเพราะการประชุมของตระกูล ไม่เหมือนกับเมื่อ 16 ปีก่อน พวกเขาไม่ได้เป็นเฉยต่อตัวตนของเธอและพยายามที่จะพูดคุยกับเธอ
“เธอใช้ชีวิตแปดเปื้อนมาเป็นปีๆเลยน ระวังอย่าเผลอไปทําตัวหยาบคายต่อหน้าค นอื่นเข้าหละ”
แน่นอนว่า พวกเขาไม่ได้พูดคุยกับเธออย่างเป็นมิตร
เทเลอร์จ้องไปที่หนึ่งในญาติพี่น้องของเธอด้วยสายตาที่ไม่แยแส พวกเขาต้องกลับมาที่เธอด้วยด้วยความดูถูก ตรงไปที่ผมบ๊อบของเทเลอร์ มันก็ดีที่ภูมิใจในเส้นผมที่ยาวลงมาถึงเอว องพวกเขา แต่เทเลอร์คิดว่ามันจะดีกว่าที่จะแสดงให้เห็นว่าทรงผมสั้นที่สุดแสนจะเร่าร้อนของเธอที่ได้รับความนิยมในทุกวันนี้นะดีกว่าของพวกเขา
“ไอ้สารเลวพวกนี้ไม่รู้จักแม้แต่เอด้า หว่องด้วยซ้ำ ยังไงก็ตาม ที่นี่แม่งก็รวมแต่พวกหัวโบราณเอาไว้อยู่แล้วนี่หว่า
ในอดีต เธอกลัวสถานที่แห่งนี้
ตระกูลขุนนางที่อยู่ในโลกยุคปัจจุบันที่ซึ่งเหล่าขุนนางได้จางหายไปแล้ว
เหตุผลที่พวกเขายังสามารถที่จะแกล้งทําตัวเป็นขุนขางอยู่ได้จนถึงตอนนี้เป็นเพราะว่าความไม่สมดุลของพลังอํานาจที่อยู่เหนือกว่าหลักสามัญสํานึก,ชื่อเสียง และพลังพิเศษ
นานกว่า 15 ปีมาแล้วที่กลุ่มของเหล่าวายร้ายเหนือมนุษย์กลุ่มแรกได้ปรากฏตัวขึ้น คนพวกนั้นได้พิชิตโลกด้วยการใช้พลังของตนเองและแล้วพวกเขาก็ถูกปราบลงด้วยกลุ่มคนที่ผู้คนต่างพากันเรียกพวกเขาว่า “ฮันเตอร์ปราบปราม” หลังจากที่เหตุการณ์นั้นได้เกิดขึ้น การสร้างลําดับชนชั้นด้วยการใช้พลังพิเศษก็ถูกแบนไปทั่วทั้งโลก
แน่นอนว่า มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่จะแบนพลังพิเศษแม้ว่าพวกเขาจะได้แบนระบบชนชั้นไปแล้วก็ตาม ตระกูลจากรัสเซียหลายตระกูลได้ผลิตเหล่าอัศวินยอดมนุษย์ที่โดดเด่นออกมาและได้รับอํานาจบางส่วนมาอย่างชัดเจน ซึ่งได้ส่งเสริมสถานของพวกเขาสูงขึ้นไปอย่างรวดเร็วคล้ายกับระบบขุนนางแบบดั้งเดิม
อิทธิพลของเทเลอร์ไนน์ภายในตระกูลนั้นแทบที่จะเป็นศูนย์ บลิสแตนมีธรรมเนียมพิเศษซึ่งให้สิทธิในการพูดคุยกันผ่าน “พลังพิเศษ” อย่างเดียวเท่านั้น มันเป็นเพราว่าประวัติศาสตร์ของตระกูลบลิสแตนที่ได้รับยศขุนนางมาได้ก็ด้วยพลังพิเศษเพียงหนึ่งเดียวของพวกเขา
มันคงจะเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมหากว่าธรรมเนียมเหล่านี้ไม่มีอยู่ตั้งแต่ต้น เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ทําให้เกิดการแบ่งแยกดูถูกกันภายในตระกูลแห่งนี้ พวกเขาทั้งหมดต่างดูถูกเหยียดหยามเทเลอร์เพียงเพราะว่าพลังพิเศษที่อ่อนแอของเธอ คุณภาพชีวิตของเทเลอร์ไนน์ในวัยเด็กนั้นภายในตระกูลอย่างย่ำแย่เสียยิ่งกว่าสัตว์เลี้ยงในตระกูลซะอีก
สําหรับตัวเทเลอร์ไนน์ บลิสแตนเปรียบเสมือนขุมนรกที่เธอไม่เคยต้องการที่จะกลับไปเลยสักครั้งเดียว
ในความเป็นจริง ณ วินาทีที่เธอได้กลับมาเหยียบที่นี่อีกครั้ง เธอรู้สึกอึดอัดใจ
อย่างไรก็ตาม
เธอเข้าใจมันดี
“นี่ฉันกลัวงั้นเหรอ?”
เหล่าญาติที่น้องทั้ง 2 คนได้มาอยู่ตัวกันอยู่ที่นี่ในตอนนี้ทั้งหมดเป็นเหล่ายอดมนุษย์แรงค์ S ที่มีพลังทําลายของความสามารถที่ดีกว่าเธอ พวกเขาทั้งหมดต่างได้รับการศึกษาในระดับสูง และเป็นขุนขางที่แท้จริงท่ามกลางเหล่าขุนนางทั้งหลาย..แต่ว่าพวกเขาทั้งหมดก็เป็นเพียงแค่เด็กน้อยที่ไม่มีประสบการณ์จริงเท่านั้นเอง
เหล่าเด็กน้อยที่ลุ่มหลงมัวเมาไปกับเสื้อผ้าราคาแพง, อาหารหรูหรา และ วอดก้าราวกับว่าพวกเขาเป็นขุนนางจริงๆ
เมื่อตอนที่เธอได้วิ่งหนีไปจากตระกูลแห่งนี้ เธอรู้ดีว่าเธอขี้ขลาด
เธอรู้สึกว่านั้นมันเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ที่จะปฏิบัติกับเธอแย่เสียยิ่งกว่ามนุษย์ เพราะว่าพลังพิเศษที่อ่อนแอของเธอเท่านั้นเอง
เธอรู้เพียงว่าหากเธอไม่มีพลังพิเศษหละก็ เธอคงจะไม่มีค่าอะไรเลยบนโลกใบนี้
แต่นั้นมันไม่ใช่เรื่องจริงเลย
ด้วยความบังเอิญ เธอได้เจอกับเด็กหนุ่มที่ไม่มีพลังพิเศษใดๆที่มีเป้าหมายที่ชัดเจนและความกล้าที่สูงล้ำเสียยิ่งกว่าใครๆก็ตาม ถึงแม้ว่าจะไม่มีพลังพิเศษและพรสวรรค์ใดๆ เขาก็มักจะยืนอยู่ที่ด้านหน้าของเหล่ายอดมนุษย์คนอื่นเสมอและคอยนําคนพวกนั้น ทุกคนต่างพากันพึ่งพิงเขา
“…คิดแบบนั้นแล้ว หรือว่าฉันควรที่จะบอกว่ายูซอดัมในปัจจุบันนั้นโชคดีมากใช้ไหมนะ?”
ด้วยเวลาที่ได้ล่วงเลยไป ความมั่นใจของคนๆนั้นก็ได้ล่วงโรยลงไปถึงจุดที่เทเลอร์ได้ตั้งคําถามกับการต้นสินใจของตัวเธอเองเกี่ยวกับเด็กชายคนนี้
เมื่อทุกๆคนได้ปลุกพลังของตัวเองขึ้นมาและประสบความสําเร็จ ก็เหลือเพียงแค่เขาคนเดียวเท่านั้นที่ยังไม่ได้รับตําแหน่งทางสังคมที่เหมาะสมกับตัวเองเลย เพราะยังไงซะ สังคมนี้ก็ยังเป็นที่ๆ ยึดถือพลังพิเศษเป็นหลักอยู่ดี
ดังนั้น ในช่วงที่เธอยังเป็นเด็ก เทเลอร์ไนน์ที่ได้หลับไหลในทุกๆคืนได้เฝ้าอธิฐานให้เธอสามารถที่จะมอบพลังของตนเองให้กับยูซอดัมได้ แน่นอนว่าสิ่งนั้นไม่ได้เกิดขึ้น
เมื่อ 16 ปีก่อน เขาได้มอบความกล้าให้กับเธอ เขาเป็นเพียงคนเดียวที่ได้เฝ้าสังเกตคนที่อ่อนด้อยและเป็นยอดมนุษย์ที่ไร้ประโยชน์เช่นเธอมากกว่าทุกๆคน เขาเป็นคนๆนั้น คนเพียงหนึ่งเดียวที่ได้ช่วยเหลือให้เธอได้กลายมาเป็นฮันเตอร์ที่เหมาะสมดังเช่นทุกวันนี้
และแม้แต่ในตอนนี้เอง ในอีก 16 ปีให้หลัง
เขาก็ยังคงคอยมอบความกล้าให้กับเธอในยามที่เธอต้องการ ในครั้งนี้เขาอยู่ในตําแหน่งที่เขาสามารถที่จะสบตากับฉันได้โดยตรงแล้ว
“…ฉันไม่สามารถหาความสนุกจากที่นี่ได้เลย
ช่วงเวลา 16 ปีให้หลัง ที่เธอได้ใช้ชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ล้ำค่าที่ไม่อาจจะแทนที่ได้ด้วยสิ่งใดก็ตามในโลกใบนี้ ช่วงเวลาเหล่านั้นไม่เคยถูกละเลย
“ พวกเธอทุกคนมากรวมตัวกันแล้ว ดีที่สุดก็คือแม่หนูน้อยที่เด็กที่สุดได้กลับมาก่อนที่งานเลี้ยงสําคัญจะเริ่มขึ้น”
ห้องโลกที่มีแต่เสียงน่ารําคาญตกลงสู่ความเงียบสงบเพียงแค่ประโยคเดียวจากอเล็กซานเดร บลิสแตน ชายที่เป็นผู้มีอํานาจสูงสุดของตระกูลบลิสแตนอีกทั้งยังเป็นพ่อของเธอ แสงอาทิตย์อ่อนๆได้สาดส่องลงมาผ่านทางกรอบหน้าต่างสีเงินลงมาที่เส้นผมสีเงินของอเล็กซานเดร แต่มันก็ไม่ได้ดูมีออร่าอะไร แม้ว่าบางทีมันอาจจะเป็นแค่ในสายตาของเทเลอร์คนเดียว
อเล็กซานเดรมองไปโดยรอบห้องโถงแห่งนี้และในทันทีที่สายตาของพวกเขาทั้งคู่ได้มาสบกัน ราวกับว่าเขาได้หมดสิ้นความสนใจในตัวเทเลอร์ เขาได้มองผ่านเธอไปในทันที
ถึงแม้ว่าลูกสาวคนเล็กสุดของเขาจะกลับมาหลังจากที่ผ่านไปแล้ว 16 ปี มันเป็นเพียง การรวมตัวกันของครอบครัวที่ไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกร่วมใดๆ อเล็กซานเดรเพียงแค่กล่าวถึงตัวตนของเทเลอร์แค่ครั้งเดียวเท่านั้นและนั้นคือทั้งหมด
“…ชัดเจนเลย ฉันต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้”
จนกระทั้งถึงทุกวันนี้ เทเลอร์ได้หนีออกไปจากตระกูลแห่งนี้สําหรับช่วงเวลาที่ผ่านมา(16 ปี) เธอสามารถที่จะทํามันได้ก็เพราะว่าตระกูลได้ปล่อยเธอไป อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ ตอนที่เธอสามารถที่จะใช้พลังของเธอเองได้ อเล็กซานเดรคิดว่ามันเป็นเรื่องทั่วๆไปสําหรับเธอที่จะต้องหยุดทําเรื่องต่ำๆและกลับมาทํางานด้วยการเป็น “อัศวิน” เสียที
การที่ปล่อยเธอไปในครั้งนั้นนะ ในอีกความหมายก็คือเมื่อไหรก็ตามที่ตระกูลต้องการให้เทเลอร์กลับมา พวกเขาก็สามารถที่จะพาเธอมาที่นี้ได้ด้วยการบังคับ
นอกจากนี้แล้ว อเล็กซานเดรไม่เคยให้ความสนใจกับเรื่องของเธอเลยแม้แต่เพียงครั้ง เดียวเกี่ยวกับเทเลอร์ที่ได้เดิมพันชีวิตของตัวเธอเองในสนามรบตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมา ส่วนว่าที่อยู่ๆเขาต้องการให้เธอกลับมาก็เพราะว่าพลังของเธอสามารถที่จะใช้ประโยชน์ได้แล้วต่างหาก
“เอาจริงๆ แม่งโคตรไร้สาระเลย
เทเลอร์ไม่สามารถแม้แต่จะเข้าร่วมกิลด์ใดๆที่เธอต้องการได้เลยเพราะว่าตระกูลนี้อนุญาติเพียงแค่ให้เธอออกไปแต่ไม่ให้เข้าร่วมกิลด์ไหนเลย งานต่างๆที่เธอได้ทําอยู่ในทุกวันนี้ก็เป็นเพียงแค่การทํามันร่วมกันในบางงานพร้อมกับคนที่เธอไว้ใจและมันเป็นสิ่งที่ยังคลมเคลือว่าองค์กรไหนที่เธอสังกัดอยู่กันแน่
เพื่อที่จะเข้าร่วมกับกิลด์ของยูซอดัมที่พึ่งจะสร้างขึ้นมาใหม่ “อนาเตอร์กิลด์”
เธอจะต้องก้าวข้ามประตูที่เรียกว่าอเล็กซานเดรไปให้ได้
ผู้พยากรณ์ไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว
แม้ว่ามันจะผ่านมาเกือบที่จะถึงครึ่งปีแล้ว กิลด์โมเรียนก็ยังไม่ได้ประกาศความจริงออกไปให้กับโลกได้รับรู้ พวกเขายังคงแกล้งทําเป็นว่าพวกเขายังมีผู้พยากรณ์อยู่ท่ามกลางพวกเขาอยู่ อย่างไรก็ตาม โมเรียนอยู่ในสถานะที่ผู้พยากรณ์ของพวกเขาไม่สามารถที่จะส่งคําพยากรณ์ใดๆออกมาได้เลยในช่วงเวลาที่ผ่านมาด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่พวกเขากลับพยายามที่จะซื้อเวลาต่อไปด้วยการแถไปเรื่อยๆ
มันดูเหมือนกับว่าพวกเขามีหนทางที่จะสามารถทดแทนชื่อเสียงที่พวกเขามีได้หากว่าพวกเขายังซื้อเวลาแบบนี้ต่อไป
เยคาเทริน่ามองตรงไปยังห้องโถง
แชนเดอเรียได้ห้องลงมาจากบนเพดานราวกับว่าเป็นหมู่ดาว โถงงานเลี้ยงที่แสนหรูหราได้เข้ามาสู่สายตาที่พล่ามัวของเธอ เธอได้สูญเสียการมองเห็นของตัวเองไป แต่เมื่อเธอใช้เวทมนตร์ของตัวเธอเองจากความช่วยเหลือของ “ห้องสมุดของแม่มดขาว” เธอสามารถที่จะมองเห็นโลกทั้งใบได้สักพักหนึ่ง
โถงงานเลี้ยงแห่งนี้เต็มไปด้วยผู้คน
งานเลี้ยงแห่งนี้ถูกเรียกว่า “งานเลี้ยงอัศวิน” เป็นงานที่ถูกจัดขึ้นที่รัสเซียเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ในแต่ละปีมีเพียงแค่เหล่าผู้คนที่เรียกตนเองว่า “ขุนนาง” เท่านั้นที่สามารถจะเข้าร่วมงานเลี้ยงนี้ ได้แต่ในตอนนี้กลับไม่ได้มีเพียงแค่เหล่าอัศวินเท่านั้นที่อยู่ที่นี่มันมีทั้งเหล่าสมาชิกของ กิลด์โมเรียนรวมถึงตัวตนสําคัญๆจากทั่วทุกมุมโลกได้เข้าร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้เพื่อที่จะสร้างคอนเน็คชั่นกับคนอื่นๆ
เหตุผลที่เยคาเทริน่าสามารถที่จะปรากฏตัวที่นี่ได้แบบตัวเป็นๆนั้นเป็นเพราะว่าคนๆนั้น หัวหน้าของกิลด์โมเรียน เอวาน เดิมทีแล้วเธอเป็นผู้หญิงที่ไม่เคยยอมที่จะทําอะไรก็ตามแล้วปล่อยให้ตัวตนอยู่เยคาเทริน่าได้หลุดออกมาสู่สายตาของโลกใบนี้เลย แต่ว่าเธอกลับรู้สึกสงสัยเมื่อเธอได้เห็นเอวานที่ทําตัวเหมือนกับว่าตัวตนของเธอไม่ได้สําคัญอีกต่อไปแล้ว
ฉันกําลังคิดที่จะขอท้าประลองกับเธอด้วยกฎของแม่มดแต่แผนการนั้นดูเหมือนว่าจะ ผิดพลาด
เดิมที ฉันไม่ได้มีความตั้งใจที่จะเข้ามาในสถานที่แห่งนี้เลยสักนิด
เยคาเทริน่านั่งลงอย่างเงียบๆที่มุมๆหนึ่งและปิดตาของเธอลงในขณะเดียวกับก็จิบไวน์ในแก้วของเธอ ในช่วงชีวิตที่ผ่านมาของเธอ เธอไม่มีประสบการณ์ใดเลยไม่ว่าจะทั้งเครื่องดื่มมึนเมาหรือเรื่องผู้ชาย อย่างหลังนั้นเป็นเพราะว่าเอวานห้ามเธออย่างเข้มงามกับเรื่องพวกนั้น เธอค่อนข้างที่จะรู้สึกอึดอัดใจกับเรื่องนั้น เหล่าแม่มดคนอื่นๆต่างพากันควงคู่กับใครสักคนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในขณะที่เธอได้แต่นั่งอยู่เพียงลําพังในมุมๆหนึ่งของโถงแห่งนี้ ในหัวใจของเธอ เธอหวังว่ายุขอดั้มจะปรากฏตัวขึ้นมาและพาเธอไป แต่ความคิดนั้นก็ได้ถูกลบออกไปจากหัวของเธอในทันที
“นับจากตอนนี้ ฉันจะต้องพึ่งตัวเอง”
ยูซอดัมได้ช่วยเธออกมาจากนรกนั้น,มอบโอกาสให้เธอได้ศึกษาเวทมนตร์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอหวังมาทั้งชีวิต คืนเสียงดนตรีในกับเธอ และยังสัญญาว่าจะให้ที่อยู่กับเธอในตอนที่เธอได้ออกจากกิลด์โมเรียนได้แล้ว เธอได้รับจากเขามามากพอแล้ว เธอไม่สามารถที่จะทําตัวเป็นภาระให้กับเขาได้มากกว่านี้อีก
“โอ้ว นี้เป็นครั้งแรกที่กระผมได้พบคุณเลยครับนะเนี่ย ทําไมผมถึงไม่รู้เลยนะว่ามีสาวสวยเช่นนี้อยู่ในกิลด์โมเรียน?”
ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ มีคนมาเข้าหาเธอ อย่างไรก็ตาม เยคาเทริน่าปฏิเสธพวกเขาเสมอด้วยการพูดข้ออ้างต่างๆออกไปอย่างเช่น
“เพราะฉันรู้สึกไม่ค่อยดีนะคะ…”
ตรงตามตัวเลย เธอมีใบหน้าที่ซูบผอม รูปลักษณ์ของเธอในตอนนี้นั้นดีกว่าเมื่อตอนที่เธอเคยได้เจอกับยูซอดัมซะอีก แต่ถึงอย่างนั้นร่องรอยของการใช้ชีวิตอยู่กับฝันร้ายเช่นนั้นในทุกๆวันแถมยังต้องติดอยู่ในห้องของเธอมาตลอด 10 กว่าปีโดยปราศจากการเห็นแสงตะวันใดๆมาจนถึงตอนนี้ก็ยังคงมีอยู่
ผู้คนที่ได้เข้าหาเธอต่างเชื่อข้ออ้างของเธอย่างง่ายดายและจากไป เธอพยายามที่จะหาข้อมูลเกี่ยวกับงานเลี้ยงแห่งนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
“อัศวินทั้งหมดจากทั้ง 7 ตระกูลมาร่วมตัวกับอยู่ที่นั่งั้นหรือ?”
ด้วยการใช้ข้อได้เปรียบจากสายตาที่พล่ามัวของเธอ เธอมองไปที่หน้าของคนในงานที่ละคน และพบกับหญิงสาวที่ดูโดดเด่นออกมาจากจุดที่เธอนั่งอยู่ เธอคือเทเลอร์ไนน์ หญิงสาวที่เธอได้เห็นในคําพยากรณ์ที่อยู่ด้วยกันกับยูซอดัม
“เธอเองก็เป็นคนจากตระกูลอัศวินงั้นเหรอ?”
ด้วยเหตุใดก็ไม่ทราบแต่การแสดงออกของเทเลอร์ไนน์ดูจะไม่ค่อยจะดีเลย เธอคิดที่จะเดินไปหาและพูดคุยด้วย แต่แล้วเธอก็จําได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้รู้จักเธอเป็นการส่วนตัวเธอ
ทันใดนั้นเองเธอก็ได้มองดูเหล่าผู้เข้าร่วมงานคนอื่นๆโดยรอบที่ไม่ใช่เหล่าอัศวิน
มันเป็นงานเลี้ยงพิเศษที่เต็มไปด้วยเหล่าผู้คนที่มีชื่อเสียงจากทั่วทุกมุมโลก ถึงแม้ว่าจะมีเพียงแค่สมาชิกกิลด์อย่างเป็นทางการไม่กี่คนที่ปรากฏตัวก็ตาม แต่ตัวตนของพวกเขาแต่ละคนก็ไม่อาจดูเบาได้ อย่างชายคนที่กําลังยืนอยู่ข้างเอวานในตอนนี้ที่ซึ่งดูเหมือนจะเป็นหัวหน้านั้นก็เป็นเลขา องกิลด์ ลอสเดย์”
“คิดๆดูแล้วไม่ใช่ว่าเธอบอกเองว่าเธอกําลังทําวิจัยค้นคว้าในเรื่องของการทําอย่างไรถึงจะรับรู้เวทมนตร์ผ่านวิทยาศาสตร์อยู่ไม่ใช่หรือไง?”
เธอได้ยินมาครั้งสองครั้งถึงเหตุผลที่ว่าทําไมโมเรียนถึงได้สามารถที่จะทําการทดลองไร้สาระ ในเรื่องการผสมผสานวิทยาศาสตร์กับเวทมนตร์นั้นได้ มันเป็นเพราะเงินทุนจํานวนมหาศาลของลอสเดย์ แถมการทดลองพวกนั้นได้ถูกเริ่มมานานแล้ว
ราวๆเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว เยคาเทริน่ายังคงจําได้ว่าเอวานโมโหออกมาอย่างรุนแรงเพราะว่าการ ทดลองทางเวทมนตร์ในดันเจี้ยนที่บิดเบี้ยวในตอนนั้นพบเจอกับความล้มเหลวอย่างใหญ่หลวงด้วยน้ำมือของยูซอดัม
“เดียวก่อนนะ…นั้นอะไรนะ?
การผสมผสานกับของเหล่าผู้คนที่ได้มาร่วมตัวกันที่นี่นั้นดูแปลกๆ มันไม่ได้มีสมาชิ กกิลด์หรือเหล่าฮันเตอร์ที่นี่ ส่วนมากของผู้เข้าร่วมกลับเป็นคนที่มีอิทธิพลเป็นอย่างมาในสังคม ณ ตอนนี้ มันเป็นครั้งแรกที่เธอได้เข้าร่วมงานเลี้ยงอัศวินแต่งานเลี้ยงแห่งนี้ดูจะจัดอยู่ยิ่งใหญ่ว่าสิ่งเธอได้คิดไว้ตอนแรกมากนัก
“ใช่แล้ว…”
ทันใดนั้นเอง ความคิดหนึ่งก็ได้เข้ามาในใจของเธอ
เอวานได้ก้าวขึ้นไปยังโพเดียมและเรียกความสนใจของทุกคนไปที่เธอ
“ฉันคือหัวหน้าของกิลด์โมเรียน เอวาน เป็นเกียรติที่ได้เจอทุกคนในวันนี้นะคะ”
เธอพูดอย่างช้าๆเหมือนอย่างเคย
“ตามจริงแล้ว ในวันนี้ฉันได้มาที่นี่ด้วยหัวใจที่หนักแน่น ก็เหมือนกับทุกๆท่านรู้ ฉันกําลังจะนําเสนอบางสิ่งบางอย่างที่สําคัญเป็นอย่างมาให้กับทุกท่านที่อยู่ที่นี่ได้รับรู้ ฟู่ว..อย่างแรกเลย ฉันอาจจะไม่สามารถพูดมันทั้งหมดออกไปได้เพราะว่าหัวใจของฉันกําลังสั่นไปหมดเลยด้วยความคิดที่ว่าตัวเอกต้องมาพูดต่อหน้าคนมากมายแบบนี้นะคะ ฮ่าฮ่า”
เธอเล่นมุขออกไปเล็กน้อย
“โอ้วมายก็อด….มิสเตอร์ขานก็อยู่ที่นี่ด้วย ลูกสาวคนที่สามของคุณเป็นยังไงบ้างคะ?”
เธอทําให้ทุกคนรู้สึกคุ้นเคย
ในท้ายที่สุดเธอก็เข้าประเด่น
“ทุกๆท่าน หัวข้อที่ฉันจะมาพูดในวันนี้เป็นเรื่องของ “เครื่องราง” ค่ะ”
เสียงพูดคุยมากมายในห้องโถงแห่งนี้เงียบลงอย่างรวดเร็ว
เครื่องราง
มีเพียงเหล่าฮันเตอร์ผ่านศึกไม่มากและองค์กรบางแห่งที่มีข้อมูลกว้างขวางที่รู้เกี่ยวกับตัวตนของเครื่องราง อย่างไรก็ตาม ทุกคนที่ได้มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ในวันนี้รู้จักมันเป็นอย่างดี เครื่องรางเป็นสิ่งที่พิเศษเป็นอย่างมากและเป็นสิ่งที่ลึกลับที่อนุญาตให้ใครก็ตามที่แม้ว่าจะไม่ได้มีพลังพิเศษใช้มันได้
เยคาเทริน่าก็รู้จักมันเป็นอย่างดีว่าเครื่องรางพวกนี้เป็นไอเทมที่ดีที่สุดที่ใช้ดึงดูดความสนใจของชาวมูริมที่มีความสามารถอันลึกลับที่เรียกว่า “มูกง” ที่มีชื่อเสียงดังไปทั่วในทุกวันนี้
เยคาเทริน่ารีบมองดูไปโดยรอบ เหมือนกับที่เธอคาดไว้ กล้องกําลังแพนไปทั่ว
“ทุกๆท่านค่ะ สิ่งที่ฉันกําลังจะบอกก็คือเครื่องรางไม่ได้เป็นเรื่องของไสยศาสตร์ มันไม่ใช่ความสามารถที่ไม่เป็นที่ระบุไม่ได้ มันเป็นศาสตร์ ศาสตร์หนึ่งค่ะ ทั้งตัวอักขระและตัวเลขเป็นข้อพิสูจนในตัวของมันมัน และฉันก็ใช้ชื่อของศาสตร์นี้ว่า “เวทมนตร์ ค่ะ”
“เวทมนตร์..?”
ผู้คนทั้งหลายต่างตั้งคําถามในสิ่งที่เอวานพูดออกมา แต่พวกเขาไม่ได้ขัดขวางสิ่งที่เธอกําลังพูดอยู่ พวกเขาต่างก็อยากรู้อยากเห็นเช่นเดียวกัน ถึงสิ่งที่เรียกว่าเครื่องรางที่เป็นความสามารถลึกลับอีกอย่างหนึ่งเช่นเดียวกันกับมูกง
เอวานยกมือของเธอขึ้นเพื่อแสดงสร้อยข้อมือที่เธอกําลังสวมใส่อยู่
“เหนือกว่านั้น เวทมนตร์ไม่ได้ใช้อีเทอร์ เหมือนกับมูกงมันใช้พลังงานชนิดใหม่ที่มีตัวตนอยู่ในธรรมชาติด้วยตัวมันเอง พวกเราเรียกมันว่า “แก่นพลังงาน และนี้ก็เป็นผลลัพธ์ของการใช้งานมันคะ”
วิ่งงงงง!
เปลวไฟได้ผุดขึ้นมาบนฝ่ามือของเธอ แรกมองมันนั้นมันอาจจะดูไม่ได้แตกต่างอะไรกันมาจากพลังพิเศษทั่วไป เพื่อที่จะพิเศษพิสูจน์สิ่งที่เธอพูด เอวานได้ติดตั้งเครื่องตรวจจับอีเทอร์ไว้รอบตัวของเธอ พวกมันจะตรวจจับได้ในทันที่และกระตุ้นสัญญาณเตือนออกไปเมื่อเหล่ายอดมนุษย์ใช้งานความสามรถของพวกเขาเอง และมันยังตราวจับการเปลี่ยนแปลงจากคลื่นความยาวของอีเทอร์ได้อีกด้วยเช่นกัน
ระยะการตรวจจับก็มีตั้งแต่แบบถูกๆที่ใช้บนถนนหรือสิ่งที่สร้างทั่วไป ไปจนถึงอันที่มีประสิทธิภาพสิ่งที่ถูกใช้โดยเหล่าสถาบันลับระดับท็อป แต่ไม่มีเครื่องตรวจจับอีเทอร์สักอันที่ตอบสนองกับเวทมนตร์
“มันเป็นเวทมนตร์คะ”
แม้ว่าโลกในยุคปัจจุบันเอง เวทมนตร์ก็มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน มันได้รับการส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น อย่างไรก็ดี ด้วยความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ เหล่าแม่มดทั้งหลายจําเป็นที่จะต้องซ่อนตัวอยู่ในสังคมมนุษย์ และส่วนมากของเวทมนตร์ที่เคยมีตัวตนอยู่ก็ได้สูญหายไปแล้ว เหล่าแม่มดที่ได้สูญเสีย “วงเวทย์” ไม่สามารถที่จะหาหนทางที่จะเรียกใช้งานเวทมนตร์ของพวกเธอเองได้อีก และจําเป็นที่จะต้องซ่อนตัวต่อไปอีกหลายร้อยปี
แต่ในวันนี้!! ด้วยการรวมกันระหว่างวิทยาศาสตร์และเวทมนตร์วงเวทย์ได้ ถูกขับเคลื่อนด้วยวิทยาศาสตร์ในท้ายที่สุด!
สร้อยข้อมือที่อยู่ที่แขนของเอวานเป็นข้อพิสูจน์ที่โมเรียคัดลอกและทําซ้ำ ไม้เท้า” ออกมาได้สําเร็จ สิ่งที่เคยถูกใช้โดยเหล่าแม่มดในอดีตอันแสนห่างไกลผ่านการใช้วิทยาศาสตร์เข้าช่วย
* โอ้วมายก็อด
ในตอนที่ผลลัพธ์ที่เธอไม่เคยคาดคิดเอาไว้ได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าของเธอ เยคาเทริน่าตกอยู่ในความประหลาดใจเพราะว่า
“มันต่างกันมากไปไหมนะ..?
มันเป็นเพราะว่าเวทมนตร์ทางวิทยาศาสตร์ผ่านความทะเยอทะยานของเอวานนั้น มันช่างอยู่ต่ำเกินไปกว่าเวทมนตร์ที่ยูซอดัมเคยใช้งานมากมายนัก