ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 10 วาจานี้ถือเป็นสิ้นสุด ส่งเยี่ยจิ่งไป
เยี่ยนจ้าวเกอและคนอื่นๆ เดินทางอยู่ในปราการมังกรโดยการชี้นำจากแรงสั่นสะเทือนของคาถา
อาหู่จับแสงสีแดงที่วิ่งผ่านไปมาเป็นครั้งคราวราวกับฟ้าผ่านั้นเอาไว้ แล้วใช้ปราณจิตราของตนกักขังมัน จากนั้นก็ปิดผนึกด้วยผลึกแก้วแบบพิเศษอีกชั้นหนึ่ง
หลังจากที่ทุกคนเดินทางมาอย่างยาวนาน จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนว่าปราณพิษที่อยู่ในรูปหมอกดำนั้นสงบและเบาบางลงเล็กน้อย
อาหู่ที่ติดตามอยู่ข้างๆ เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว “คุณชาย นี่คือใจกลางหุบเหวแล้วขอรับ”
เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า บางครั้งในปราการมังกรเองก็มีบางพื้นที่ที่ค่อนข้างจะสงบอยู่เช่นกัน เหมือนเช่นใจกลางน้ำวนหรือศูนย์กลางพายุ ที่บริเวณรอบๆ รุนแรงเป็นคลื่นซัดสาด ทว่าเมื่อเทียบกันแล้วที่ตรงนี้กลับสงบกว่า
พื้นที่เช่ยนี้ไม่ได้มีเพียงแห่งเดียว มีทั้งขนาดเล็กและใหญ่ อีกทั้งตำแหน่งก็ไม่แน่นอน เมื่อเวลาผ่านไปก็อาจมีการเคลื่อนย้ายตำแหน่งอีกด้วย
“เขตใจกลางหุบเหวค่อนข้างปลอดภัย ทุกคนพักผ่อนได้” เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยขึ้น “โดยทั่วไปแล้ว ในพื้นที่เช่นนี้มักจะมีของล้ำค่ามากมายเสมอ และเนื่องจากสภาพแวดล้อมค่อนข้างปลอดภัย จึงเหมาะแก่การค้นหาของล้ำค่าด้วย”
“ทุกคนเคลื่อนไหวตามสบาย ลองเสี่ยงโชคดูแล้วกัน แต่ก็ต้องระวังตัวด้วย อย่างไรเสียที่นี่ก็ยังเป็นปราการมังกร”
เยี่ยจิ่ง ซือคงจิง และบรรดาศิษย์รุ่นเยาว์ทั้งหลายต่างตอบรับพร้อมกัน จากนั้นก็เริ่มค้นหาไปรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น
เยี่ยนจ้าวเกอนำคาถาตรวจสอบออกมา แล้วพินิจอย่างถี่ถ้วน “พื้นที่เขตใจกลางหุบเหวนี้ เหมือนจะมีความลับอะไรบางอย่าง…”
“หืม?” จู่ๆ เยี่ยนจ้าวเกอก็รู้สึกตงิดใจขึ้นมา เขาจึงเงยหน้าขึ้นกวาดตามองรอบๆ แวบหนึ่ง แล้วพูดเสียงเรียบว่า “ถอยไปให้หมด”
ทันใดนั้นมีแสงสีทองจุดหนึ่งเกิดขึ้นท่ามกลางหมอกดำที่ไกลออกไป ทุกคนชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วจึงถอยหลังไปตามคำสั่ง
ชายหนุ่มกางแขนเสื้อออก ลำแสงสีเขียวหนึ่งสายวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าผ่ายามค่ำคืน เปล่งแสงวาบไปทั่วทั้งหุบเขา
ขณะนั้นแสงสีทองท่ามกลางหมอกดำก็สว่างไสวขึ้นมา ตามมาด้วยร่างขนาดมหึมา นั่นก็คือปีศาจงูเหลือมตาเดียวตัวหนึ่ง ส่วนแสงสีทองนั้นก็คือแสงที่เปล่งออกมาจากดวงตาของมัน
แต่ปีศาจงูเหลือมเพิ่งจะพุ่งตัวออกมา แสงสีเขียวพลันฟาดฟันลงทันที ทำให้มันส่งเสียงร้องคำรามออกมาด้วย!
แสงสีทองดับมืดลงในพริบตา เสียงร้องของปีศาจงูเหลือมหยุดลงอย่างรวดเร็วในวินาทีถัดมา ก่อนจะหมดลมหายใจไป
จากนั้นก็เกิดเสียงดังสนั่น ร่างขนาดมหึมาของปีศาจงูเหลือมตกลงบนพื้นแล้ว
“งูเหลือมตาทอง เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเฉพาะในหุบเหวปราการมังกร น้ำลึก สำหรับพวกเจ้าในตอนนี้แล้ว เรียกได้ว่าทั้งร่างของมันคือของวิเศษ พวกเจ้าแยกชิ้นส่วนของมันแล้วแบ่งให้ได้เท่ากันเอาเองแล้วกัน” แสงสีเขียวสว่างวาบครั้งหนึ่งแล้วหายไป จากนั้นเยี่ยนจ้าวเกอก็ก้มหน้าลงแล้วใช้คาถาตรวจสอบอีกครั้ง
ทุกคนในตอนนี้หลุดจากภวังค์แล้ว พลางมองไปยังซากงูเหลือมยักษ์ที่มีความยาวเป็นสิบๆ เมตร ก่อนจะอึ้งงันไปตามๆ กัน
การโจมตีงูเหลือมตาทองเมื่อครู่รวดเร็วและรุนแรง ไม่ด้อยไปกว่าผู้ที่เป็นจอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์เลย อีกทั้งยังไม่มีเสียงใดๆ อีกด้วย ทำให้พวกเขาคิดแล้วยังรู้สึกหวาดหวั่นกันอยู่
ตอนที่ทำการแยกชิ้นส่วนของงูเหลือมตาอยู่นั้น ทองทุกคนพบว่าเกล็ดของงูเหลือมทั้งแข็งและเหนียว เทียบได้กับเกราะเกล็ดระดับอาวุธวิเศษ
แม้ว่างูเหลือมตาทองจะสิ้นชีพและเลือดลมหยุดลงไปแล้วก็ตาม ทว่าด้วยวรยุทธ์ของพวกเขาแล้ว ลำพังคิดจะควบคุมอาวุธวิเศษให้ผ่าเกล็ดงูเหลือมออกก็เป็นเรื่องที่ยากมาก
แต่งูเหลือมตาทองตัวนี้กลับถูกเยี่ยนจ้าวเกอฆ่าตายในดาบเดียว ขอบแผลที่เปิดออกก็เนียนลื่นราวกับกระจก ไม่มีแม้รอยขรุขระ ราวกับใช้มีดหั่นเต้าหู้อย่างไรอย่างนั้น
“วิชากระบี่ที่คิดค้นขึ้นเองโดยศิษย์พี่เยี่ยนเป็นที่เลื่องลือกันไปทั่ว มีชื่อเรียกว่า ‘มังกรเขียวในชายเสื้อ’ แม้จะไม่ใช่หนแรกที่ได้เห็น แต่ทุกครั้งที่ได้เห็น ก็ยังคงรู้สึกว่าสุดยอดจริงๆ ” มีศิษย์รุ่นเยาว์บางคนพากันกลืนน้ำลาย
ปราการมังกรเต็มไปด้วยอสูรมากมาย สามารถพบได้ทุกหนทุกแห่ง ตลอดทางที่เดินมาก่อนหน้านี้มีสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งมากกว่างูเหลือมตาทองตัวนี้อีก เยี่ยนจ้าวเกอและอาหู่ฆ่าพวกมันไปไม่น้อย
มีศิษย์รุ่นเยาว์คนหนึ่งพลันถามขึ้นมาว่า “ศิษย์พี่เยี่ยน นั่นมันคืออะไรหรือ”
เยี่ยนจ้าวเกอเงยหน้าขึ้นมอง เขาพบแสงขาววาบผ่านไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางหมอกดำปกคลุมบนหน้าผาสูงไกลออกไป ทั้งยังเร็วยิ่งกว่างูเหลือมตาทองตัวนั้นด้วย
“นั่นคือภูตแมวแสง” เยี่ยนจ้าวเกอหันไปมองแวบเดียว แล้วหันกลับมาในทันที “มีแต่ประโยชน์ ไม่มีพิษภัยอะไร”
ทุกคนต่างชะงักงัน อาหู่ที่อยู่ข้างกายเยี่ยนจ้าวเกอยิ้มกว้างพลางกล่าวว่า “ด้วยสภาพแวดล้อมของปราการมังกรอันเลวร้ายนี้ มีอสูรหลากหลายชนิด ส่วนมากจะมีนิสัยดุร้าย แต่ภูตแมวแสงเป็นกลุ่มที่ต่างออกไป”
“แม้มันจะตัวเล็กแต่ กลับมีพละกำลังมาก โดยเฉพาะความว่องไวดุจฟ้าผ่าฟาดที่ต่างจากทั่วๆ ไป มันมีนิสัยอ่อนโยน ไม่ชอบการต่อสู้ ทั้งยังเป็นสัตว์อสูรกินพืชอีกด้วย โดยอาหารที่กินคือสมุนไพรวิญญาณเพียงไม่กี่ชนิด ซึ่งมีเฉพาะในเขตปราการมังกร”
อาหู่ชี้ไปยังแสงสีขาวที่กำลังวูบวาบไปมา “อีกทั้งอสูรตัวนี้ยังใจดีมีเมตตาและยังช่วยเหลือผู้คนที่พบเจออันตรายในปราการมังกรอีกด้วย ต่อไปหากพวกเจ้าได้เข้ามาในนี้เพียงลำพังแล้วโชคไม่ดีพบกับอันตรายเข้า ไม่แน่ว่าอาจได้รับความช่วยเหลือจากอสูรตัวนี้จนรอดชีวิตกลับไปก็เป็นได้”
เยี่ยจิ่ง ซือคงจิง และคนอื่นๆ ฟังแล้วรู้สึกอัศจรรย์ใจอย่างอดไม่อยู่ พวกเขาชอบในตัวมัน จึงพากันเข้าใกล้บริเวณที่มีภูตแมวแสงอยู่
บัดนี้แสงสีขาวที่วิ่งไปมาก็หยุดลงแล้ว เผยให้เห็นรูปร่างหน้าตาของมัน มองจากภายนอกแล้วเป็นเพียงลูกแมวตัวเล็กๆ ที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ ทั่วร่างกายส่องประกายลวดลายแสงสีขาวนวล ที่ให้ความรู้สึกทั้งอ่อนโยนและว่องไว
ภูตแมวแสงตัวนั้นเพ่งพินิจเหล่าคนจากเขากว่างเฉิงด้วยความสงสัย
มีศิษย์หญิงบางคนอยากจะเข้าใกล้เพราะเห็นมันน่าสนใจ ทว่าภูตแมวแสงเห็นเช่นนั้นกลับถอย ครั้นเด็กสาวหยุดเดิน เจ้าแมวตัวนั้นก็หยุดเดินเช่นกัน
“ศิษย์พี่เยี่ยน แมวตัวนี้เลี้ยงได้หรือไม่” เด็กสาวเดินกลับไปหาเยี่ยนจ้าวเกอ แล้วถามด้วยท่าทีน่าสงสาร
หลังจากที่เยี่ยนจ้าวเกอคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบกลับไปว่า “ข้าจำได้ว่าขณะที่เดินอยู่ในปราการมังกรก่อนหน้านี้ พวกเจ้าเก็บหญ้าอักษรพิษมาด้วยใช่หรือไม่ นั่นเป็นสิ่งที่ภูตแมวแสงชอบกินมาก เจ้าลองดูก็ได้”
“แมวชนิดนี้สามารถอ่านใจได้ หากเจ้าไม่ได้คิดร้าย มันต้องยอมใกล้ชิดเจ้าแน่ แต่ถ้าอยากพามันออกจากปราการมังกร เจ้าคงต้องพยายามหน่อย”
เด็กสาวร้องขึ้นด้วยความดีใจ “ขอบคุณศิษย์พี่ ข้าจะลองดูเจ้าค่ะ”
พูดจบนางก็หยิบสมุนไพรวิญญาณสองสามต้นออกจากกระเป๋า แล้วเดินไปหาภูตแมวแสง
หลังจากที่หวาดระแวงและพยายามทำความรู้จักกันในตอนแรกเรียบร้อยแล้ว ทั้งแมวทั้งคนก็ค่อยๆ สนิทกัน
ศิษย์จำนวนหนึ่งของเขากว่างเฉิงเห็นเช่นนั้นก็หยิบหญ้าอักษรพิษออกมา แล้วนำไปป้อนและเล่นกับมันบ้าง เพียงครู่เดียวแมวตัวน้อยก็ได้รับความเอ็นดูจากทุกๆ คน
แม้แต่คนที่ไม่ได้เข้าไปเล่นกับมัน ก็ยังหัวเราะสนุกสนานไปกับภาพตรงหน้าด้วย
ภูตแมวแสงกลายร่างเป็นแสงสีขาววาบไปวาบมาในหุบเหว บรรดาเด็กสาวต่างก็วิ่งไล่ตามมัน ปราการมังกรที่ดูร้ายกาจ วินาทีนี้ก็ดูจะไม่วังเวงและน่ากลัวขนาดนั้นแล้ว
เมื่อแสงวิ่งผ่านหน้าผาของหุบเขาไปสองสามแห่ง หลายคนมองเห็นใครบางคนนอนคว่ำกายอยู่บนโขดหินขนาดใหญ่ หมอกดำปกคลุมไปทั่วร่างกาย ท่าทางราวกับใกล้จะหมดลมหายใจ และถูกความมืดมิดกลืนกินได้ทุกเมื่อ
ศิษย์หญิงแห่งเขากว่างเฉิงตกใจเล็กน้อย จากนั้นก็พลันเห็นแสงสีขาวที่วาบผ่านไป ภูตแมวแสงตัวนั้นปรากฏขึ้น หลังจากสำรวจอย่างระมัดระวังแล้ว ถึงจะเข้าใกล้ผู้ที่นอนคว่ำอยู่บนโขดหิน
ครั้นคิดถึงคำพูดของเยี่ยนจ้าวเกอและอาหู่ เด็กสาวถึงวางใจลง
ภูตแมวแสงตัวเล็กเดินเข้าไปใช้ปากคาบคอเสื้อของคนผู้นั้นไว้ แล้วใช้ต้นคอออกแรงเหวี่ยงครั้งหนึ่งเพื่อขยับฝ่ายตรงข้าม ร่างเล็กทว่าพละกำลังสูงดังว่าจริงๆ
ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ชายหนุ่มที่เดิมดูเหมือนลมหายใจรวยรินก็ยื่นมือออกมาจับไปที่ลำคอของภูตแมวแสง แล้วพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง
ภูตแมวแสงส่งเสียงร้อง พลางพยายามดิ้นตะเกียกตะกาย ทว่าเด็กหนุ่มคนนั้นกลับหัวเราะชอบใจ “วิธีที่ศิษย์พี่แนะนำมาใช้ได้ผลจริงๆ ไม่เช่นนั้นคงจับเจ้าตัวน้อยที่ว่องไวเทียบได้กับจอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์ไม่ได้แน่”
ศิษย์หญิงแห่งเขากว่างเฉิงตกใจเป็นอย่างมาก “เจ้าทำอะไร?”
เด็กหนุ่มคนนั้นหันกลับมาตอบด้วยท่าทีเฉยเมย “เกี่ยวอะไรกับเจ้า? ”
เด็กสาวขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ภูตแมวแสงตัวนั้นคิดว่าเจ้ากำลังตกอยู่ในอันตราย มันหวังดีจะช่วยเจ้า แต่เจ้ากลับจงใจแสร้งทำเพื่อจับมัน”
“เจ้าตัวน้อยนี่มันโง่เง่าเองที่มาติดกับ แล้วจะไปโทษผู้ใดได้?” เด็กหนุ่มคนนั้นกล่าวอย่างไม่ใยดีว่า “สิ่งมีชีวิตทั้งหลายบนโลกล้วนมีจุดแข็งเป็นของตัวเอง ฟ้าประทานให้เจ้าอสูรตัวนี้มีความเร็วเหนือปกติ และประทานให้พวกเราที่เป็นมนุษย์มีสติปัญญา ข้าก็ต้องใช้มัน ใช้สติปัญญาที่มีหาวิธีจัดการกับจุดแข็งของอสูรสิ”
“เห็นๆ อยู่ว่าเจ้าเล่นสกปรก หลอกใช้ความจิตใจดีของผู้อื่น” ศิษย์หญิงกล่าวด้วยความโมโห
เด็กหนุ่มเอ่ยทันควันว่า “คนของเขากว่างเฉิงเข้ามายุ่งกับเรื่องของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน”
เมื่อศิษย์หญิงแห่งเขากว่างเฉิงผู้นี้ลองสังเกตดีๆ นางพบว่าเด็กหนุ่มคนนี้สวมเสื้อขาว ขอบเสื้อสีแดง มีลายปักเป็นรูปพระอาทิตย์ ซึ่งเป็นการแต่งกายของศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จริงดังที่กล่าวมา
อีกฝ่ายจับภูตแมวแสงขึ้นมา ก่อนจะใช้เล็บปาดไปที่คอของเจ้าแมวน้อย เลือดของมันไหลออกมาทันที
“จับได้แล้วอย่างไร? ผลึกแสงวิญญาณที่อยู่ในหัวของอสูรตัวนี้ต่างหาก ที่เป็นเป้าหมายของข้า” ศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นหัวเราะพลางกล่าวว่า “ในยุคนี้ ใครแกร่งกล้ากว่า ผู้นั้นย่อมมีสิทธิ์ขาด ถ้าเจ้าชนะข้าได้ ก็ชิงเอาเจ้าตัวน้อยนี้กลับไปได้”
“แต่ถ้าเอาชนะข้าไม่ได้ พล่ามไปก็ไม่ช่วยอะไร หรือแท้จริงแล้วศิษย์เขากว่างเฉิงเช่นเจ้าจะเก่งแต่ปาก?”
เด็กสาวมองดูแมวน้อยตัวเท่าฝ่ามือเริ่มมีอาการชัก แต่กลับไม่แม้แต่จะส่งเสียงร้องออกมาได้ ความโมโหของนางยิ่งพุ่งพล่านจนเก็บไว้ไม่ได้อีกต่อไป จึงพุ่งเข้าหาอีกฝ่าย
เขากว่างเฉิงและสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มีอาณาเขตปกครองติดต่อกัน ซึ่งโดยปกติก็มีการปะทะกันของศิษย์รุ่นเยาว์ขึ้นอยู่บ่อยครั้ง
ในตอนนี้ศิษย์คนอื่นๆ ของเขากว่างเฉิงก็หันตัวกลับมาเช่นกัน เมื่อเห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปช่วย
อีกฝ่ายไม่ได้ตัวคนเดียวเช่นกัน ยังมีศิษย์คนอื่นๆ ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เข้ามาร่วมด้วย สถานการณ์ตรงหน้าเกิดจลาจลขึ้นทันที และยังมีท่าทีว่าจะกลายเป็นการโจมตีแบบตะลุมบอนอีกด้วย
“คุณชาย เป็นคนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ขอรับ” อาหู่รายงานที่มาที่ไปของเหตุการณ์อยู่ข้างๆ เยี่ยนจ้าวเกอ
เยี่ยนจ้าวเกอถามกลับว่า “อีกฝ่ายมีปรมาจารย์หรือไม่”
อาหู่ตอบว่า “เบื้องต้นอย่างไม่พบขอรับ”
“ถ้าเช่นนั้นก็ง่าย” เยี่ยนจ้าวเกอยักไหล่
“วาจานี้ถือเป็นที่สิ้นสุด ส่งเยี่ยจิ่งไป”
………………