ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 31 ราชาองค์ใหม่และองค์เก่า
หม่าชิวยิ้มกว้างมองหลานเหวินเหยียนและคนอื่นๆ “ไม่ไปน้ำตกก็ช่าง ข้ามีอย่างอื่นแกล้งเขาได้อีก แม้ช่วงนี้ไม่ได้แกล้งเขาเล่น วันหลังค่อยว่าก็ได้”
เขามองไปที่ศิษย์น้องเฟ่ยครั้งหนึ่ง อีกฝ่ายได้แต่ก้มหน้าลง จากนั้นเขาก็ยิ้ม พลางมองไปที่ซือคงจิงและหลานเหวินเหยียน “พวกเจ้ากลับไปฟ้องทางสำนักก็ได้ แต่พวกเจ้าจะฟ้องเรื่องอะไรเล่า ฟ้องว่าข้าฝึกศิษย์น้องร่วมสำนักหนักเกินไปหรืออย่างไร”
หลานเหวินเหยียนจ้องเขาเขม็ง แทบจะมีไฟพ่นออกจากดวงตาทั้งสองข้างอยู่แล้ว
หม่าชิวไม่มองหลานเหวินเหยียนแม้แต่น้อย สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของซือคงจิง แล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ว่า “เป็นอย่างไร เจ้าคิดจะตีข้าหรือ”
“พวกเขาสู้ข้าไม่ได้ แต่วรยุทธ์เจ้าสูงกว่าข้า ข้าไม่เป็นฝ่ายหาเรื่องเจ้าก่อน แต่หากเจ้าเล่นงานข้า ก็เท่ากับเจ้าทำผิดกฎของสำนัก”
หม่าชิวกำลังยิ้มอย่างสนุกสนาน และเดินถอยหลังไป “ดูสิ ศิษย์น้องซือคง ข้าไม่กล้าหาเรื่องเจ้าหรอก เจ้าว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้น ข้าไม่ให้ศิษย์น้องเฟ่ยไปที่น้ำตกแล้ว และข้าก็ไม่บังคับเขาเช่นกัน ข้าเชื่อฟังเจ้าทุกอย่าง”
“ไม่เพียงแค่วันนี้เท่านั้น ตลอดช่วงเวลาที่เจ้าอยู่ ข้าจะเชื่อฟังเจ้าทั้งหมด”
“แต่ว่าหลังจากเจ้ากลับไปแล้ว หึหึ…”
หม่าชิวกำลังถอยหลัง จู่ๆ ก็ชนเข้ากับร่างของคนผู้หนึ่ง
เขาสะดุ้งครั้งหนึ่ง เมื่อหันกลับไปมองแล้ว เขาก็มีอันต้องตกใจจนสติกระเจิง!
ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าของเขา ก็คือใบหน้าของสวีชวน!
สวีชวนมองหม่าชิวด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง บนใบหน้าไม่ได้เผยให้เห็นถึงความโกรธเลยแม้แต่น้อย แต่กลับทำให้หม่าชิวกลัวจนหัวหด
“หลังจากที่ศิษย์หลานซือคงจากไป แล้วอย่างไรหรือ?”
หม่าชิวรวบรวมสติ “ท่านผู้อาวุโสสะ…สวี ท่านมาตั้งแต่เมื่อไรหรือ…”
สวีชวนพูดนิ่งๆ ว่า “เอาเป็นว่าข้ารู้ทุกอย่างหมดแล้วก็แล้วกัน”
ฝ่ายหม่าชิวหน้ามืดไปทันที เข่าทั้งสองอ่อนจนแทบจะคุกเข่าลงไปกับพื้น
หลังจากนั้นสวีชวนพลันส่ายหน้า แล้วโบกมือครั้งหนึ่ง ผู้ติดตามก็ออกมาจากด้านหลัง และจับตัวหม่าชิวไป
“ท่านผู้อาวุโสสวี ท่านปู่ของข้า…” หม่าชิวอยากจะพูด แต่แล้วก็พบว่าตนเองถูกคนสะกดจุดไว้ ทำให้ส่งเสียงใดออกจากปากไม่ได้เลย
ในใจของเขามีแค่ความคิดเดียว ‘…หมดกัน!’
“จากนี้ไป เขาจะไม่มาปรากฏตัวที่เมืองใกล้ปราการ และจะไม่อ้างชื่อข้าเพื่อใช้อำนาจได้อีก” สวีชวนก้มหน้าลงกล่าวเสียงเบากับซือคงจิงและคนอื่นๆ แล้วหันหลังเดินจากไป
ไม่มีใครรู้ ว่าผู้อาวุโสสวีรับหน้าที่เป็นทั้งผู้อาวุโสปฏิบัติกิจของเมืองใกล้ปราการ และหุบเขาวายุวิญญาณทั้งสองแห่งนี้ เหงื่อบนแผ่นหลังของเขาจนถึงตอนนี้ยังไม่แห้งเลย “โชคดีที่ได้นายน้อยเยี่ยนเตือน มิเช่นนั้นอนาคตต้องเป็นปัญหาใหญ่แน่!”
หลานเหวินเหยียนและคนอื่นๆ ต่างมองหน้ากัน ไม่อาจเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ในทันที
“…อาจจะเป็นศิษย์พี่เยี่ยน” ซือคงจิงมองแผ่นหลังที่จากไปของสวีชวน แล้วพูดขึ้นเบาๆ
ทุกคนเข้าใจโดยพลัน ก่อนจะมองไปรอบๆ เห็นเยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่ไกลออกไป
ทันใดนั้น ทุกคนรีบวิ่งเข้าไปทำความเคารพเยี่ยนจ้าวเกอ
ครั้นเห็นท่าทางของทุกคนเหมือนจะพูดแต่ก็หยุดไป เยี่ยนจ้าวเกอจึงยิ้มพลางส่ายหน้า และมองเด็กหนุ่มแซ่เฟ่ยคนนั้น “ต่อไปนี้เขาจะไม่รังแกเจ้าอีกแล้ว”
“แต่ว่า การฝึกฝนอย่างสุดกำลังกายและกำลังใจ ไม่ว่าเมื่อไรก็เป็นสิ่งที่ต้องรักษาไว้ ยิ่งตนเองพยายามมาก สุดท้ายคนที่จะได้รับประโยชน์มากที่สุดก็คือตัวเจ้า”
“อย่างเช่น หากเจ้ามีตำแหน่งและวรยุทธ์เหมือนอย่างศิษย์น้องซือคงแล้วล่ะก็ ถ้าเช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องมีใครออกหน้าแทนเจ้า เพราะเขาไม่กล้ารังแกเจ้า”
ริมฝีปากของศิษย์น้องเฟ่ยสั่นสะท้าน แล้วคำนับเยี่ยนจ้าวเกอครั้งหนึ่งอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ขอรับ ข้าจะจดจำสิ่งที่ศิษย์พี่เยี่ยนสั่งสอนไว้เป็นอย่างดี”
เขารู้สึกตื้นตัน อยากจะกล่าวขอบคุณแต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี หลานเหวินเหยียนจึงดึงแขนเสื้อของเขา แล้วพูดอย่างนอบน้อบว่า “จดจำไว้ในใจก็ดีแล้ว เจ้าต้องจำใจยอมรับคำสั่งสอนศิษย์พี่เยี่ยนเช่นที่ทำกับหม่าชิวได้อย่างไร”
“จริงด้วย” ศิษย์น้องเฟ่ยพยักหน้าหงึกหงัก พลางมองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอด้วยความซาบซึ้งและเคารพนับถืออย่างยิ่ง
หลานเหวินเหยียนและคนอื่นๆ ก็เป็นเช่นเดียวกัน
เยี่ยนจ้าวเกอพูดขึ้นอีกประโยคหนึ่ง อีกฝ่ายจึงไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก แค่ยิ้มและพูดขึ้นนิ่งๆว่า “ดูจากการแต่งกายของพวกเจ้า คิดจะออกไปข้างนอกสินะ จะไปไหนกันหรือ”
ซือคงจิงตอบอย่างสงบว่า “ข้ากำลังจะพาศิษย์น้องไปเทือกเขามฤคลับตาเจ้าค่ะ”
“อืม เจ้ามีประสบการณ์เคยไปที่นั่น ดูแลพวกเขาให้ดี” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว
“เจ้าค่ะ” ซือคงจิงตอบ
ในเมื่อเป็นฝีมือของเยี่ยนจ้าวเกอจริง ทุกคนก็ไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลว่าสวีชวนจะพูดอย่างทำอีกอย่าง ความรู้สึกไม่พอใจอันเกิดจากหม่าชิวเมื่อครู่นี้ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยทันที บรรยากาศพลันผ่อนคลายลง
มีศิษย์บางคนถามเยี่ยนจ้าวเกอด้วยความแปลกใจว่า “ศิษย์พี่เยี่ยน ‘ท่านตง’ ที่กลุ่มบัณฑิตเหล่านั้น และกลุ่มคนที่แสดงหุ่นกระบอกพูดถึง ใช่ท่านอาจารย์ปู่สะเทือนสวรรค์ของสำนักเราหรือไม่”
เนื่องจากเมืองใกล้ปราการอยู่ติดกับหุบเหวปราการมังกร ผู้คนที่อยู่ที่นี่ส่วนมากล้วนเป็นจอมยุทธ์ ประชาชนคนทั่วไปค่อนข้างน้อย แต่ก็มีคนที่ยอมเสี่ยงอันตรายเข้ามาปักหลักอยู่ที่นี่เช่นกัน”
และเนื่องจากเป็นเมืองค้าขาย ในเมืองจึงครึกครื้นมาก
บนถนนในขณะนี้มีเด็กๆ จำนวนมากรวมตัวกันดูการแสดงละครหุ่นกระบอกอย่างใจจดใจจ่อ
คนแสดงละครหุ่นกระบอกกำลังบังคับหุ่นกระบอกสองตัวให้ต่อสู้กันไปมาอยู่บนเวที ส่วนตนเองซ่อนตัวอยู่หลังเวที อารัมภบทว่า “เห็นเพียงท่านตงฟันดาบลง แผ่นดินก็ร้าวแตกออกทันที ผืนทะเลแบ่งออกเป็นสองส่วน และตัดหัวของราชาปีศาจอัคคีหลุดจากบ่าไป!”
“ราชาปีศาจอัคคีกล้าเข้ามาในโลกแปดพิภพของข้า ช่างบังอาจนัก แต่เมื่อเจอกับท่านตงก็ต้องสอนให้รู้ไปเลยว่ามาได้ แต่กลับไปไม่ได้!”
ตุ๊กตาหุ่นกระบอกสองตัวในละครหุ่นกระบอกริมทางนี้ แม้จะดูเก่ามากแล้ว แต่งานฝีมือกลับดูประณีตมาก
ตุ๊กตาหุ่นกระบอกตัวหนึ่งเป็นชายวัยกลาง ในมือถือดาบยาวเล่มหนึ่ง ดูทรงพลังและมีอำนาจ
ส่วนตุ๊กตาหุ่นกระบอกอีกตัวหนึ่งกลับมีร่างกายสีแดงดุจเปลวเพลิงทั้งตัว แม้ดูแล้วจะมีรูปร่างคล้ายกับคน แต่กลับหน้าเขียวมีเขี้ยว แววตาดุร้าย ราวกับปีศาจร้าย ผมบนหัวก็ถูกสลักให้มีรูปร่างเหมือนกับเปลวไฟด้วยเช่นกัน
ด้วยการบังคับของคนแสดงหุ่นกระบอก ตุ๊กตาหุ่นกระบอกรูปชายวัยกลางฟันดาบลงไปที่ต้นคอของราชาปีศาจอัคคี จนตุ๊กตาราชาปีศาจอัคคีต้องถอยร่นไปทันที
ไม่เพียงแต่เด็กๆ เท่านั้นที่รู้สึกสนุกและตื่นเต้น คนดูโดยรอบต่างก็ส่งเสียงอย่างคึกคัก
เยี่ยนจ้าวเกอเห็นภาพตรงหน้า แล้วพูดขึ้นว่า “ถูกต้อง ‘ท่านตง’ ที่ว่าก็คือท่านอาจารย์ปู่ตงเก๋อของสำนักเรา”
อาจารย์ปู่สะเทือนสวรรค์ จ่านตงเก๋อ ยอดฝีมืออันดับหนึ่งในประวัติศาสตร์ของเขากว่างเฉิง ในตอนที่เขาเป็นผู้นำสำนักนั้น เป็นช่วงที่เขากว่างเฉิงรุ่งเรืองจนถึงขีดสุด
จ่านตงเก๋อที่ไร้เทียมทานในตอนนั้น เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในโลกแปดพิภพ เป็นคนที่ผู้คนต่างก็ชายตามอง เขาทำให้เขากว่างเฉิงรุ่งเรืองจนถึงที่สุด และเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งที่มีอิทธิพลทั่วฟ้าดินในโลกแปดพิภพอย่างสมเกียรติ
น่าเสียดาย ขณะที่จ่านตงเก๋อและเขากว่างเฉิงกำลังรุ่งเรืองที่สุดนั้น ใต้หล้าก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่
จู่ๆ ท้องนภาเหนือฝั่งตะวันออกของโลกแปดพิภพก็แหวกออก
ปรากฏรอยต่อระหว่างโลกปีศาจอัคคี และโลกแปดพิภพ
ผู้ที่ครอบครองโลกปีศาจอัคคีไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นปีศาจอัคคี ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งและมีนิสัยดุร้าย
เมื่อปีศาจอัคคีรุกล้ำเข้ามา จ่านตงเก๋อและเขากว่างเฉิงจึงนำกำลังยกทัพวีรบุรุษทั่วฟ้าออกไปรับศึก
แต่ยอดฝีมือฝั่งปีศาจอัคคีมีมากกว่า โลกแปดพิภพเป็นฝ่ายเสียเปรียบในสงครามของครั้งนี้ สุดท้ายจ่านตงเก๋อจึงสู้หนึ่งต่อห้ากับศัตรู และใช้กำลังของตนสังการราชาราชาปีศาจอัคคี ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของโลกปีศาจอัคคี ขณะเดียวกันก็ได้ฆ่าราชาราชาปีศาจอัคคีอีกสองตน ก่อนจะเกิดราชาราชาปีศาจอัคคีขึ้นใหม่อีกสองตน สถานการณ์สงครามจึงแปรเปลี่ยนไป
สุดท้ายฝ่ายปีศาจอัคคีก็ถูกไล่ต้อนจนต้องยกทัพถอยหนีกลับไปยังโลกของตน บรรดายอดฝีมือของเผ่ามนุษย์ในโลกแปดพิภพเองก็ได้รับความเสียหายอย่างหนักเช่นกัน
อาจารย์ปู่สะเทือนสวรรค์ จ่านตงเก๋อนำทัพอย่างเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ และมีผลการรบน่าชื่นชมยกย่อง แต่สุดท้ายก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหว จึงสิ้นใจลงดั่งตะเกียงไฟที่เชื้อเพลิงหมด เหล่ายอดฝีมือของเขากว่างเฉิงเองก็เจ็บและตายไปกว่าครึ่ง
และก็นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แม้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นจะเสียหายไม่น้อยเช่นกัน แต่ก็ได้โอกาสที่จะไล่ตามเขากว่างเฉิงที่เสียหายหนักที่สุด สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็ค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด จนกลายเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งแห่งใหม่
ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขากว่างเฉิงและสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ไม่ลงรอยกันนัก ราชาองค์ใหม่และองค์เก่าต่างไม่ชอบพอกันก็เป็นเหตุผลหนึ่งด้วย
ช่องว่างรอยต่อระหว่างสองโลกยังคงอยู่ แม้ตอนนั้นราชาปีศาจอัคคีจะพ่ายแพ้กลับไป แต่ก็ยังมีการข่มขู่อยู่ ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ทั้งสองฝ่ายยังคงมีการรบกับไม่หยุดหย่อน
และเพราะการมีอยู่ของราชาปีศาจอัคคี และสัญญาสันติระหว่างแต่ละดินแดนศักดิ์สิทธิ์ สถานการณ์โดยรวมของโลกแปดพิภพในปัจจุบันจึงยังถือได้ว่าสงบสุข
การแสดงเหล่านั้นไม่กล้าที่จะขนานนามของจ่านตงเก๋อโดยตรง จึงใช้ชื่อ ‘ท่านตง’ เป็นชื่อเรียกแทน เป็นธรรมดาที่พวกเขาเองรู้เรื่องในตอนนั้นอย่างจำกัด การแสดงต่างๆ ในตอนนี้เองจึงเกินจริงมาก ทุกอย่างในตอนนั้นไม่ต่างกับเรื่องของเทพและสัตว์ประหลาด
แน่นอน สำหรับประชาชนทั่วไปแล้ว จ่านตงเก๋อท่านนี้เองก็เป็นบุคคลที่เหมือนอยู่ในตำนาน เรื่องราวต่างๆ ในตอนนั้นก็เป็นดั่งนิทาน
เนื่องจากมีประโยชน์ต่อการสร้างชื่อเสียงให้กับสำนัก และรวมจิตใจของผู้คนเข้าด้วยกัน ดังนั้นเขากว่างเฉิงจึงไม่ได้ห้ามปรามในเรื่องนี้ และทำเป็นลืมตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่งเท่านั้น
ลูกศิษย์เขากว่างเฉิงทั้งหมดได้คิดทบทวนถึงเอกสารที่บันทึกไว้และคำพูดของผู้ใหญ่ในสำนัก และนึกภาพเรื่องราวตอนนั้น ชั่วขณะหนึ่งต่างก็ถอนหายใจ “ตอนนั้นสำนักเรา…เฮ้อ! ”
อาหู่ยืนอยู่ข้างๆ เยี่ยนจ้าวเกอ พลันมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะมองไปอีกที่หนึ่ง
เยี่ยนจ้าวเกอก็มองตามสายตาของเขาไป ก่อนจะเห็นบุรุษชุดขาว หนวดเคราเต็มหน้าคนหนึ่งปรากฏขึ้น
ฝ่ายตรงข้ามมองดูการแสดงละครหุ่นกระบอกที่อยู่ไกลออกไป และมองดูทุกคนของเขากว่างเฉิง พลางส่ายหัว “เหล่าแมลงที่น่าเวทนา ใช้ชีวิตอยู่แต่ในความทรงจำที่หลอกลวงตนเอง”
………..