ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 45 เหมือนกับบิดาสั่งสอนบุตร
ประกายกระบี่ประหนึ่งมังกรที่ต้องการโบยบิน
ทว่ากลับมีงูทองจำนวนนับไม่ถ้วนเลื้อยพันมังกรเขียวเอาไว้ อีกทั้งยังกัดไม่ปล่อย
มังกรเขียวสะบัดร่างกาย จนงูทองขาดสะบั้นตายไปทีละตัว ทว่าเหมือนกับงูทองจะไม่มีวันหมดสิ้นไป
มังกรเขียวค่อยๆ อ่อนกำลังลง ไม่สามารถบินขึ้นต่อได้อีก ทำได้แค่เพียงปล่อยตัวร่วงสู่พื้นดินให้งูนับหมื่นตัวกัดกิน
ตัวงูนิ่มเหนียวยิ่งกว่ามังกร ขณะที่บีบรัดก็ค่อยๆ ลดทอนพลังลงไปอย่างต่อเนื่อง
ปราณจิตราที่เฉาหยวนหลงปลดปล่อยออกมาทั่วสารทิศ เปลี่ยนจากโลหะแข็งเป็นเส้นด้ายที่รัดพัน สกัดกั้นมังกรเขียวในชายเสื้อของเยี่ยนจ้าวเกอได้อย่างเหลือเชื่อ
ประกายกระบี่สีเขียวค่อยๆ เลือนหายไป ท่อนไม้ไผ่ที่อยู่ในมือของเยี่ยนจ้าวเกอกลับเข้าสู่สภาพเดิมอีกครั้ง
ดวงตาทั้งสองข้างของเฉาหยวนหลงเผยให้เห็นความสะใจ “เยี่ยนจ้าวเกอ วันนี้ต่อให้เจ้าเปลี่ยนไปใช้กระบี่ของจริง ก็ยากที่จะหลีกหนีความพ่ายแพ้ได้!”
“ไผ่ท่อนนี้ของเจ้า ข้าไม่ทำลายมันหรอก แต่จะเก็บไว้ให้เจ้า ถ้าไม่ฟาดเจ้าให้เลือดอาบหน้า ก็คงดับความโกรธของข้าไม่ได้!”
เยี่ยนจ้าวเกอไม่พูดไม่จา เพียงแต่มองเฉาหยวนหลงด้วยสีหน้าที่แปลกประหลาดไปบ้าง
เฟิงอวิ๋นเซิงก็จ้องเฉาหยวนหลงเช่นกัน “ฝ่ามือพันอสรพิษ? วิชานี้หายากไม่เป็นที่นิยมเสียยิ่งกว่าวิชาเข็มทองสุริยันเสียอีก แต่เขาก็ฝึกมันสำเร็จจนได้”
‘ฝ่ามือพันอสรพิษ’ แค่ได้ยินชื่อก็รู้ความหมาย เปลี่ยนรูปได้ง่าย ม้วนพันเกี่ยวลอด เป็นวิชาวรยุทธ์จับคู่ต่อสู้ระดับสูง
ทั้งยังเป็นวิชาที่จอมยุทธ์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ได้มาโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วเก็บไว้ในคลังวรยุทธ์ของสำนัก
เนื่องจากวิชานี้มีปราณจิตราที่ไม่สอดคล้องกับวรยุทธ์วิชาฝึกสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ จึงจำเป็นต้องจัดอยู่ในขั้นจิตราชั้นนอก หลังจากที่ปลดปล่อยปราณจิตราสู่ภายนอกได้แล้ว จึงจะสามารถฝึกฝนได้
วรยุทธ์วิชาที่แตกต่างกัน บางครั้งอาจส่งผลให้เกิดการส่งเสริมหรือยับยั้งซึ่งกันและกันเกิดขึ้น
เฉาหยวนหลงฝึกวิชาวรยุทธ์เช่นนี้ได้ถือเป็นผลสำเร็จ สกัดกั้นมังกรเขียวในแขนเสื้อของเยี่ยนจ้าวเกอได้ผลอย่างน่าอัศจรรย์ และมีประสิทธิผลยิ่งกว่าวิชาเจ็ดสุริยะของสำนักเสียอีก
เยี่ยนจ้าวเกอผินหน้ากลับไปมองเฟิงอวิ๋นเซิง “เรียกว่าฝ่ามือพันอสรพิษหรอกหรือ?”
หญิงสาวมองเยี่ยนจ้าวเกอพร้อมสีหน้ากล้ำกลืน ก่อนจะผงกศีรษะด้วยความกลัดกลุ้ม
“ฮ่าๆ…” เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้พูดอะไรอีก เขายืนหัวเราะเฉาหยวนหลงอยู่ที่เดิม
ทันทีที่เห็นอีกฝ่ายหัวเราะ เฉาหยวนหลงก็ยิ่งโมโหมากขึ้น รู้สึกเพียงว่ารอยแผลบนใบหน้าที่หายสนิทไปนานแล้ว เริ่มรู้สึกเจ็บแสบขึ้นมาอีกครั้ง
เขาคำรามเสียงดัง ขณะที่มือทั้งสองกำลังกวัดแกว่งอยู่นั้น งูทองจำนวนนับไม่ถ้วนก็เลื้อยเข้าโจมตีอีกครั้ง
เซียวเซิงที่ยืนอยู่กลางอากาศโค้งตัวก้มลงมองเยี่ยนจ้าวเกอจากข้างบน “เจ้าเปลี่ยนอาวุธอื่นที่ดีกว่าก็ได้นะ”
“เจ้าน่าจะมีอาวุธวิญญาณสักชิ้นกระมัง? เอาออกมาให้เข้ายลโฉมหน่อยเป็นอย่างไร”
“แต่ในเมื่อวันนี้ข้าก็อยู่ที่นี่ด้วย ข้าสามารถให้ศิษย์น้องเฉายืมอาวุธได้ทุกเมื่อ”
“เจ้ายังคิดว่าเจ้าได้เปรียบทางนี้อีก…”
เซียวเซงยังไม่ทันพูดจบ เขาก็เห็นเยี่ยนจ้าวเกอที่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม พลันโผล่เข้าไปถึงตรงหน้าเฉาหยวนหลง แล้วออกหมัดอย่างรุนแรง
ไม่ใช่กระบี่!
แต่เป็นมือ!
ในขณะที่ใจลอย ตรงหน้าทุกคนก็มืดดับไป
ราวกับเกิดสุริยุปราคา ปราณจิตราทั่วร่างกายของเฉาหยวนหลงถูกกระตุ้น แสงสว่างที่เหมือนกับดวงอาทิตย์มืดดับลงในพริบตา เมื่อเยี่ยนจ้าวเกอออกหมัด ลำแขนของเขาเสมือนกลายเป็นงูเหลือมยักษ์ที่มีปีกสิบสองตัวหนึ่ง กำลังเลื้อยยึดครองจักรวาล โดยที่ไม่อาจวัดความยาวร่างกายได้
ราชางูสวรรค์!
กระบวนท่าในตำนาน ที่ทำให้พลังทั่วร่างกายเหนือกว่าเผ่ามังกรจำนวนมากเสียอีก!
หนึ่งหมัดของเยี่ยนจ้าวเกอ ทำเอาปราณจิตราสั่นสะเทือน ประหนึ่งงูสวรรค์กลืนตะวัน กลืนเฉาหยวนหลงลงไปในพริบตา!
พลังอันอ่อนโยนหาใดเปรียบ แม้แต่เสียงลมพัดน้อยนิดก็ไม่มี ทว่าเมื่อระเบิดขึ้นมากลับเหมือนฟ้าดินจะถล่มทลาย
ชั่วพริบตาเดียว เฉาหยวนหลงที่พุ่งเข้าหาเยี่ยนจ้าวเกอ ก็ถูกอีกฝ่ายกระเด็นหวือไปเร็วยิ่งกว่าขามาด้วยหมัดเดียว!
ทั้งเซียวเซิงและเฟิงอวิ๋นล้วนนิ่งอึ้งไป
จากนั้นพวกเขาก็มองดูร่างกายของเฉาหยวนหลงที่ลอยออกไปเป็นเส้นโค้ง แล้วตกลงบนพื้นอย่างจัง ทำเอาเขานอนชักอยู่กับพื้นและไม่อาจส่งเสียงได้ เหมือนกับปลาตายหงายท้องอย่างไรอย่างนั้น
ศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่ร่วมเดินทางมากับเซียวเซิงและเฉาหยวนหลงยิ่งอ้าปากตาค้างกันอีกครั้ง
นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?
ศิษย์พี่เฉาหยวนหลงใช้วิชาสกัดกั้นวรยุทธ์ของเยี่ยนจ้าวเกอโดยเฉพาะจนสำเร็จแล้วมิใช่หรือ?
ไหนบอกว่าแม้เยี่ยนจ้าวเกอจะเป็นปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกเช่นกัน ก็ยังมั่นใจว่าจะเอาชนะได้อย่างไรเล่า?
เมื่อครู่ก็ยังได้เปรียบอยู่เลยไม่ใช่หรือ?
เหตุใดแค่แวบเดียวถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้?
เยี่ยนจ้าวเกอมองเฉาหยวนหลงที่อยู่บนพื้น ทั้งโมโหทั้งขำขัน ‘ฝ่ามือพันอสรพิษ ฟังดูชื่อนี้สิ ข้าก็ว่าเหตุใดจึงดูคุ้นตาเช่นนี้’
‘ที่แท้ก็เป็นวิชาที่ดัดแปลงมาจากสายวิชาหนึ่งของหมัดราชันงูสวรรค์ หมัดอสูรหกวิญญาณนี่เอง’
‘หลังจากบรรลุระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้น เจ้าถึงเพิ่งเริ่มฝึกวิชาฝ่ามือพันอสรพิษ แต่ข้าฝึกมันมาตั้งแต่ตอนที่ข้ามาถึงโลกนี้แล้ว’
‘หมัดราชันงูสวรรค์ของข้าสู้กับฝ่ามือพันอสรพิษของเจ้า มันก็เหมือนกับบิดาสั่งสอนบุตรนั่นแหละ’
‘เจ้าว่าเจ้ารนหาที่ตายหรือไม่เล่า?’
เยี่ยนจ้าวเกอเก็บหมัดคืน แล้วมองไปยังเซียวเซิง แบมือทั้งสองข้างออก “ดูเหมือนเขาจะเล่นสนุกกับข้าไม่ได้แล้ว”
สีหน้าประหลาดใจบนใบหน้าของเซียวเซิงอันตรธานหายไป ก่อนที่เขาจะจ้องมองเยี่ยนจ้าวเกอเขม็งอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
ทว่าก็เยือกเย็นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเช่นกัน
“ว่ากันว่ากระบี่ของคุณชายแห่งเขากว่างเฉิงดุจดั่งมังกร ที่แท้ก็เป็นภาพลวงตาทั้งเพ คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะซุกซ่อนวิชาลับได้ลึกถึงเพียงนี้”
เซียวเซิงกล่าวอย่างช้าๆ ว่า “น่าเสียดายที่เจ้ายังฉลาดไม่พอ เปิดเผยมันออกมารวดเร็วเกินไป หากเจ้าทนไว้อีกสักหน่อย ต่อไปอาจจะส่งผลรุนแรงจริงๆ ”
“ตอนนี้ ต่อให้ต้องแบกรับภาระที่ทำให้เกิดการต่อสู้ของทั้งสองดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ข้าก็อยากจะฆ่าเจ้าให้ตายเสียวันนี้เลยจริงๆ”
แววตาของเซียวเซิงดูเยือกเย็นมากขึ้น พร้อมทั้งปลดปล่อยปราณจิตราอันโชติช่วงดุจดวงตะวันทั่วทั้งร่างกาย
แสงสีทองหมุนเวียนไปรอบทิศทั่วทั้งพื้นฟ้าหน้าดินเหนือศีรษะเยี่ยนจ้าวเกอ ราวกับคมดาบจำนวนนับไม่ถ้วน
เซียวเซิงแสดงพลังของปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้ายออกมาจนหมดสิ้น
ไม่ต้องพูดถึงเยี่ยนจ้าวเกอที่เผชิญหน้ากับคมดาบของมันโดยตรง ขนาดเฟิงอวิ๋นเซิงและคนอื่นๆ ที่อยู่โดยรอบ ตลอดจนศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ ล้วนรู้สึกเหมือนแทบหยุดหายใจ
เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะเหมือนกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น “ไม่เลว ก็เป็นผู้ที่อยู่ในลำดับต้นๆ ของจอมยุทธ์ในระดับเดียวกันนี่นะ”
เซียวเซิงกล่าวอย่างเฉยเมย “ตอนนี้ข้ายอมรับว่าที่เจ้าติดสี่อันดับคุณชายได้ ไม่ใช่เพื่อเติมเต็มส่วนที่ขาด แต่ถ้าหากอยู่ระดับเดียวกัน ข้าก็ไม่มีความมั่นใจที่จะเอาชนะเจ้าได้”
“แต่ว่าระดับวรยุทธ์ของข้ากับเจ้าบัดนี้ยังห่างชั้นกันมากเกินไป ถ้าเจ้าอยู่ในขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลาง ก็อาจจะยังพอเอาชีวิตรอดจากน้ำมือข้าได้บ้าง”
บรรดาจอมยุทธ์ชุดดำที่ติดตามเยี่ยนจ้าวเกอล้วนนิ่งเงียบ
คุณชายของตนเองเพิ่งจะบรรลุขั้นจิตราชั้นนอกเมื่อไม่นานมานี้ แม้จะชำระล้างไขกระดูกครั้งที่สองสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว ทว่าหากคิดอยากจะบรรลุอีกครั้งในทันทีคงเป็นไปไม่ได้
บรรดาศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ล้วนถอนหายใจด้วยความโล่งอก
แม้ว่าศิษย์พี่เฉาจะพ่ายแพ้ไปแล้ว ทว่าก็ยังดีที่มีศิษย์พี่เซียวอยู่
ส่วนเรื่องกดดันด้วยระดับวรยุทธ์อะไรนั่น บัดนี้ไม่สำคัญแล้ว
เยี่ยนจ้าวเกอกลับมองไปที่เฉาหยวนหลง ที่มีศิษย์ร่วมสำนักพยุงกลับไป
“ข้าให้โอกาสเจ้า จึงประมือกับเจ้าที่มีวรยุทธ์ระดับเดียวกัน คิดไม่ถึงเลยว่าจะกลับกลายเป็นเรื่องที่ทำให้กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้”
เฉาหยวนหลงที่ได้ยินดังนั้นก็เบิกตากว้าง
เยี่ยนจ้าวเกอส่ายหน้า “ปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลางนั้นบรรลุยากมากเลยหรือ?”
ขณะที่กำลังกล่าวอยู่นั้น เยี่ยนจ้าวเกอก็กระตุ้นจุดลมปราณทั่วทั้งร่างกาย ส่งผลให้มีไอสีขาวหลายสายพุ่งออกมาเลือนราง ราวกับมังกรน้ำแข็งทะยานขึ้นสู่ท้องนภา
เลือดลมดุจปรอททั่วทั้งร่างกายถูกกระตุ้น ปราณจิตราสีทองที่กะพริบอยู่ทั่วร่างกายพลันเจิดจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ!
ชายหนุ่มปล่อยหมัดราชันงูสวรรค์ออกไปบนฟ้าครั้งหนึ่ง ปราณจิตราที่กำลังเดือดพล่านเริ่มบิดหมุนเป็นเกลียว รวมกันเป็นก้อน ท้ายที่สุดก็เปลี่ยนรูปเป็นแซ่สีดำหนาใหญ่เส้นหนึ่ง!
แซ่ยาวสีดำตวัดในอากาศครั้งหนึ่ง ก่อให้เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นราวกับเสียงฟ้าผ่า!
หลอมรวมปราณจิตราเป็นอาวุธ ราวกับเป็นของจริง!
เซียวเซิงเบิกตาโพลง “ขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลาง?!”
“เป็นไปไม่ได้! ”
…………….