ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 46 เล่นงานเจ้า แค่ขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลางก็พอ
เมื่อเห็นเยี่ยนจ้าวเกอที่เคลื่อนปราณร้อยก้าว หลอมปราณเป็นอาวุธ เบื้องหน้าเฉาหยวนหลงก็พลันดับมืดลง
เดิมทีเขาก็บาดเจ็บสาหัสมากอยู่แล้ว ครั้นฝืนตั้งสติต่อไปไม่ไหว เขาก็หมดสติไป
พ่ายแพ้ย่อยยับให้กับเยี่ยนจ้าวเกอเป็นครั้งที่สอง ทำให้เขารู้สึกกลัดกลุ้มจนแทบบ้าไปแล้ว
ตอนนี้ยังเห็นเยี่ยนจ้าวเกอก้าวหน้าขึ้นอีกขั้นต่อหน้าต่อตา บรรลุระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลางง่ายเหมือนแค่ดื่มน้ำกินข้าว ก็ทำเอาเฉาหยวนหลงแทบพังทลายอย่างสิ้นเชิง
ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เขาที่ทนทรมานกับผลข้างเคียงที่มหาศาลของวิชาชักจูงเข็มสุริยันเข้าสู่ร่างกาย ฝืนกำลังบรรลุปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอก จะยังมีความหมายอันใดอีก?
ทั้งๆ ที่ตอนอยู่ในหุบเหวปราการมังกร ทุกคนยังคงอยู่แค่ระดับปรมาจารย์ขั้นจิตระชั้นในระยะท้ายเหมือนกันอยู่เห็นๆ ภายในเวลาอันสั้นเพียงเท่านี้ เยี่ยนจ้าวเกอจะสามารถทลายด่านกั้นอันยากเย็นและบรรลุปรามจารย์ขั้นจิตรานอกระยะกลางรวดเร็วเช่นนี้ได้อย่างไร?
หรือการปะทะกันที่หุบเหวปราการมังกรก่อนหน้านี้ ล้วนเป็นภาพลวงตาทั้งหมดหรือ?
นอกจากเฉาหยวนหลงแล้ว ศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่เคยพบเห็นเยี่ยนจ้าวเกอลงมือที่หุบเหวปราการมังกร ต่างก็นิ่งอึ้งจนตัวแข็งเป็นรูปปั้นไปตามๆ กัน
แม้แต่เซียวเซิงเองก็เซจนเกือบร่วงลงมาจากอากาศ
มารดาเจ้าสิ!
ตอนนั้นข้าใช้เวลาในการบรรลุขั้นจิตราในระยะท้ายจนถึงขั้นจิตรานอกระยะกลางไปนานเท่าใดกัน?
เซียวเซิงเบิกตาโพลง ในใจไม่กล้ากระทั่งจะคิดต่อไป
ปราณจิตราของเยี่ยนจ้าวเกอที่หลอมรวมเป็นแส้ยาวอยู่ในมือ ตวัดฟาดไปในอากาศ ก็เกิดเสียงดังขึ้นอีกครั้ง
“เปิดเผยเร็วเกินไปหรือ? ให้อดทนอีกหน่อยหรือ? เหตุใดข้าต้องทนเล่า?” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างไม่สนใจว่า “เจ้ารู้แล้วจะทำอย่างไรได้? พูดเหมือนเจ้าจะทำอะไรข้าได้”
“บนโลกใบนี้ยังมีผู้ที่เอาชนะข้าได้อีกตั้งมากมาย แต่ในนั้นไม่ได้มีเจ้ารวมอยู่ด้วย เซียวเซิง”
เยี่ยนจ้าวเกอตวัดมืออีกข้างหนึ่ง ปราณจิตราพลันรวมตัวกันเป็นกระบี่ยาวสีครามน้ำแข็งขนาดใหญ่ยักษ์เล่มหนึ่งกลางอากาศ
บริเวณคมดาบเกิดแสงสะท้อนที่ทำให้รู้สึกเย็นเยียบ และมีเงารูปมังกรอยู่เลือนราง
เกล็ดน้ำแข็งสีขาวมากมายปรากฏขึ้น ห่อหุ้มกระบี่ยาวนั้นไว้ ราวกับมังกรน้ำแข็งหายลับเข้าไปในชั้นเมฆ
เซียวเซิงสูดหายใจเข้าลึก “เยี่ยนจ้าวเกอ เหมือนว่าเจ้าจะลืมไปเรื่องหนึ่งนะ”
“ตอนนี้เจ้าก็ยังอยู่แค่ระดับขั้นจิตระชั้นนอกระยะกลางเท่านั้น”
“นอกจากเจ้าจะบรรลุขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้ายทันที มิเช่นนั้น วันนี้เจ้าต้องตายแน่!”
ท่ามกลางเสียงคำรามยาว เสียงตะโกนด้วยความโมโหของเซียวเซิงก็ดังแทรกลงมาจากฟ้า
แสงสีทองมากมายเสมือนกับฝนกระบี่พลันตกลงใส่เยี่ยนจ้าวเกอ
เยี่ยนจ้าวเกอโบกมือครั้งหนึ่ง กระบี่ยาวสีครามน้ำแข็งก็ฟาดฟันไปในอากาศอย่างต่อเนื่อง ราวกับมังกรเซียนที่บินฉวัดเฉวียนอยู่ในสวรรค์ โจมตีไปยังลำแสงสีทอง
แม้แสงทองจะหนาหนัก แต่ไม่ว่าอย่างไรเซียวเซิงก็มีวรยุทธ์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้าย แสงทองทุกสายล้วนอัดแน่นอย่างหาใดเปรียบ และไม่ด้อยไปกว่ากระบี่จิตราของเยี่ยนจ้าวเกอด้วย
ถึงกระนั้น กระบี่จิตราของเยี่ยนจ้าวเกอก็สามารถจี้ไปยังตำแหน่งที่เปราะบางที่สุดบนแสงสีทองของเซียวเซิงได้ทุกครั้ง
ส่วนกระบี่จิตราแม้จะสู้กับศัตรูอีกจำนวนมากลำพัง ทว่ากลับดึงรั้งแสงสีทองที่เสมือนกับมรสุมพายุเอาไว้ได้
เพียงแต่ลำแสงสีทองเหล่านั้น เป็นเพียงกระบวนท่าหลอกตาที่เซียวเซิงใช้โจมตีเท่านั้น
แสงสีทองที่ถูกกระบี่จิตราโจมตีไป แม้จะแตกกระจายออกไปเต็มอากาศราวกับหมอกแสง ทว่าก็ไม่หายไปเสียทีเดียว
แสงสีทองจำนวนมากที่เหลือรอดมาได้ปกคลุมไปทั่วทั้งสี่ทิศ กลับกลายเป็นดินแดนสนธยาอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งมีทัศนียภาพแสงอาทิตย์ที่สาดส่องยามพลบค่ำ
ที่มุมปากของเซียวเซิงเผยให้เห็นรอยยิ้มอันเย็นเยียบ วิถีหัตถ์ประสานเงาถูกผลักไปหาเยี่ยนจ้าวเกอ
โลกที่เกิดจากปราณจิตราทอแสงทองกระจัดกระจายอยู่ทั่วท้องฟ้า กำลังพังทลายลงไปสู่เยี่ยนจ้าวเกอที่เป็นจุดศูนย์กลาง!
ความอัศจรรย์ของวิชาหัตถ์เงาสนธยา วินาทีนี้ถูกเซียวเซิงขับเคลื่อนออกมาอย่างสมบูรณ์ โดยที่การแสดงหุ่นกระบอกท่านสุริยันในวันนั้นไม่สามารถเทียบได้เลย
โลกเบื้องหน้าเยี่ยนจ้าวเกอจึงเหมือนกับวินาทีที่ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า กลายเป็นช่วงพลบค่ำที่มืดมิดที่สุด ตรงหน้าเหลือเพียงความสิ้นหวังเท่านั้น
“ฮ่า!”
เยี่ยนจ้าวเกอร้องเบาๆ เสียงหนึ่ง ก่อนจะเก็บหมัดทั้งสองคืน แล้วนำมือมาวางไว้ที่ท้องน้อยของตนเอง
มือซ้ายกดเอาไว้ที่ท้องน้อยอย่างแนบแน่นไม่ขยับ
มือขวากลับสั่นไหวเบาๆ โดยตีไปที่ร่างกายเบาๆ ไม่หยุด
มือทั้งสอง ข้างหนึ่งขยับข้างหนึ่งนิ่ง ข้างหนึ่งเป็นหยินข้างหนึ่งเป็นหยาง ข้างหนึ่งแน่นิ่งข้างหนึ่งขยับคล่องแคล่ว เพื่อเข้าสู่สภาพสมดุลอย่างสมบูรณ์แบบ
มือซ้ายเปลี่ยนเป็นรูปของเต่าวิญญาณ หมัดเต่าสยบคลื่น หนึ่งในหมัดอสูรหกวิญญาณ
มือขวาเป็นรูปของงูวิญญาณ หมัดราชันงูสวรรค์ หนึ่งในหมัดอสูรหกวิญญาณ
เต่าและงูสอดประสานกัน หยินและหยางรวมเข้าด้วยกัน
บริเวณท้องน้อยของคนมีจุดลมปราณชื่อว่า ‘ซางฉวี่’ หรือเรียกอีกชื่อว่า ‘ประตูโลหิต’ ซ่อนอยู่ใต้กล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นจุดกึ่งกลางการหมุนเวียนเลือดลมที่สำคัญที่สุดของจอมยุทธ์
เมื่อกระตุ้นประตูโลหิตผสานเข้ากับหัวใจ โลหิตทั่วร่างกายจะพุ่งพล่านในทันที ทำให้เปี่ยมไปด้วยกำลังวังชา ก่อนจะก่อให้เกิดความสามารถที่ไม่เคยมีมาก่อน
ก่อนวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ ‘คัมภีร์หมัดจอมยุทธ์’ ในวังเทพได้มีบันทึกไว้
‘ประตูโลหิตซางฉวี่ เทพยุทธ์ดาวไถ!’
เลือดลมหนึ่งช้า เลือดลมหนึ่งเร็ว ทั้งสองรวมเข้าด้วยกันที่จุดลมปราณซางฉวี่ของเยี่ยนจ้าวเกอเป็นหนึ่งเดียว ราวกับสภาวะแรกเริ่มก่อนกำเนิดโลก
ทันใดนั้น เลือดลมของชายหนุ่มสั่นไหวโครมคราม พลังที่แข็งแกร่งกว่าปกติพลันระเบิดออกจากร่างกายของเยี่ยนจ้าวเกอ!
เขามือทั้งสองผลักออกไปข้างหน้าพร้อมกัน
ปราณจิตราที่มือซ้ายแปรเปลี่ยนเป็นโล่กำบังขนาดใหญ่ เสมือนกับเต่าสยบคลื่น
ปราณจิตราที่มือขวาแปรเปลี่ยนเป็นแส้ยาวที่หนาและใหญ่ เสมือนกับราชันงูสวรรค์
ทั้งเต่าและงูผลัดกัน พุ่งไปข้างหน้าพร้อมกัน
ก่อนจะมีร่างมนุษย์ใหญ่ยักษ์ปรากฏขึ้นเลือนราง
มหาจอมยุทธ์ดาวไถ!
เต่าและงูรวมร่าง แปรเปลี่ยนเป็นวรยุทธ์แท้อันศักดิ์สิทธิ์!
พลังราวกับจะเคลื่อนภูเขาสยบทะเลได้พุ่งที่เซียวเซิง ฝืนทำลายวิชาหัตถ์เงาสนธยาของเขา!
เซียวเซิงตกใจอย่างมาก พลันเปลี่ยนกระบวนฝ่ามือ แสงสนธยากลับกลายเป็นเสี้ยวแสง รีบเปลี่ยนจากโจมตีเป็นตั้งรับ
ภาพลวงของเสี้ยวแสงเลือนรางไม่ชัดเจน ทำให้ยากที่จะแยกแยะจริงเท็จ อีกทั้งทิศทางก็ยังบิดเบือนชวนสับสน
เซียวเซิงรีบพาร่างลอยขึ้นไปกลางอากาศด้วยความเร็วสูง อาศัยความสามารถในการลอยตัวของปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้าย จึงสามารถหลบการโจมตีครั้งนี้ของเยี่ยนจ้าวเกอไปได้
ร่างกายเขาชุ่มได้ด้วยเหงื่อทันที “นี่เป็นพลังที่ปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลางมีหรือ?!”
เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มพลางกล่าวว่า “เล่นงานเจ้า แค่จิตราชั้นนอกระยะกลางก็พอแล้ว”
“รับการโจมตีของข้าไปอีกครั้งเสียเถอะ!”
ชายหนุ่มกระทืบเท้าลงอย่างแรง ทำเอาพื้นดินครึ่งหุบเขาเกิดรอยแตกขึ้นทันที!
จากนั้นชายหนุ่มก็อาศัยแรงสะท้อนกลับ พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ราวกับกระสุนปืนใหญ่ที่ยิงตรงไปยังเซียวเซิง!
ฝ่ายเซียวเซิงแค่นหัวเราะเสียงหนึ่ง ก่อนจะดีดตัวหลบกลางอากาศได้ทันควัน
เขาเคลื่อนตัวออกไปไกลในพริบตา รวดเร็วประหนึ่งสายฟ้า ทิ้งระยะห่างจากเยี่ยนจ้าวเกอออกไป
‘สุริยันทะยานบูรพา’ หนึ่งในเจ็ดวิชาสุริยัน วรยุทธ์วิชาสายหลักของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์
เคล็ดวิชากายอันบริสุทธิ์หนึ่งเดียวในเจ็ดวิชาสุริยัน เมื่อแสดงออกมาแล้ว จะรุนแรงและรวดเร็ว ไม่อาจหยุดยั้งได้
หลังจากที่เซียวเซิงหลบการโจมตีของเยี่ยนจ้าวเกอได้แล้ว เขาก็กระโจนตัวพุ่งกลับไปหาเยี่ยนจ้าวเกอ
ถือโอกาสใช้ข้อด้อยจากแรงระเบิดสะท้อนของเยี่ยนจ้าวเกอ ที่ทำได้เพียงพุ่งตัวขึ้นลงเป็นแนวตั้ง ไม่สามารถเคลื่อนย้ายเป็นแนวนอนได้นี่แหละ
เซียวเซิงที่พุ่งตัวออกไปในตอนนี้ ก็เพื่อที่จะหยุดเยี่ยนจ้าวเกอในตอนที่แรงเดิมหมดลง และแรงใหม่ยังไม่ทันได้เกิดขึ้น!
กงล้อสีทองหนึ่งลอยขึ้น ส่องสว่างทั่วทั้งสี่ทิศ เขวี้ยงตรงไปที่เยี่ยนจ้าวเกอ!
‘กงจักรเพลิงสุริยะ’ อาวุธวิญญาณชนิดหนึ่ง
สีหน้าของเซียวเซิงเย็นชา บัดนี้เขาทุ่มเทจนสุดแรงแล้ว
ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอก็ได้เตรียมพร้อมเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วเช่นกัน จุดลมปราณซางฉวี่ ประตูโลหิตที่รวบรวมพลังไว้เกิดระเบิดขึ้นอีกครั้ง
ร่างกายที่เดิมทีกำลังจะตกสู่พื้น ถูกฝืนให้หยุดนิ่งกลางอากาศอยู่ครู่หนึ่ง
เยี่ยนจ้าวเกอกางแขนเสื้อด้านขวาออกทันใด ก่อนจะมีแสงสีเขียวและเสียงมังกรลอยออกมา!
ครั้งนี้อาวุธที่อยู่ในมือของเยี่ยนจ้าวเกอไม่ใช่ท่อนไม้ไผ่อีกแล้ว ทว่าเป็นกระบี่สั้นสีเขียวมรกตเล่มหนึ่ง!
คมกระบี่มีรัศมีแสงเปล่งประกาย และยังมีเสียงคำรามของมังกรที่ชัดเจนและสมจริงดังสนั่นออกมาด้วย!
‘กระบี่วิญญาณมังกรมรกต’ อาวุธวิญญาณ!
เยี่ยนจ้าวเกอผสานร่างเข้ากับกระบี่ พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ทะลายชั้นบรรยากาศอีกครั้ง ก่อนจะปรากฏกายตรงหน้าของเซียวเซิงในพริบตาเดียว!
ทิศที่ปลายกระบี่ชี้ไป เจ็ดดาวรวมตัว ดาวเหนือร่วมส่องประกาย กว้างใหญ่ไพศาลดั่งท้องนภา!
‘เพลงกระบี่เจ็ดดารา’ หนึ่งในยอดวิชาแปดพิภพ วรยุทธ์วิชาของเขากว่างเฉิงที่สืบทอดกันมา!
เซียวเซิงไม่มีทางเลี่ยง นอกจากใช้กงจักรเพลิงสุริยะต้านกระบี่วิญญาณมังกรมรกตของเยี่ยนจ้าวเกอเอาไว้เท่านั้น
ฝ่ายเยี่ยนจ้าวเกอไม่รอให้เซียวเซิงได้พักหายใจ เขาถือกระบี่วิญญาณด้วยมือขวา แล้วยื่นมือซ้ายออกจากแขนเสื้อกระหน่ำโจมตีไป!
…………….