ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 6 เป็นตายไม่สน ไม่สบอารมณ์ขอสักทีเถอะ
ผู้อาวุโสชุยกลับมามีสีหน้าสงบนิ่งอีกครั้ง ส่ายหน้าพลางยิ้ม “ข้าก็แค่พูดชมศิษย์รุ่นหลังไม่กี่ประโยคเอง มันมีอะไรหรือ?”
เขามองเยี่ยนจ้าวเกอ “แต่เจ้าสิ แม้ชาติกำเนิดจะไม่ธรรมดา แต่เจ้าก็ควรจะรู้ไว้ ว่าถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นลูกศิษย์รุ่นหลัง”
“ลำพังแค่สิ่งที่เจ้าพูดเมื่อครู่ ข้าก็สามารถสั่งลงโทษเจ้าในความผิดไม่เคารพผู้อาวุโสและไร้ซึ่งคุณธรรมได้แล้ว ต่อให้เป็นท่านอาวุโสเยี่ยนก็พูดอะไรไม่ได้”
“เจ้าหนุ่ม เอาเรื่องที่เตาผลึกหินชั้นในนี้เป็นของจริงหรือของปลอม ใช่เจ้าเป็นคนสร้างขึ้นมาหรือไม่ไว้ก่อน ถึงเจ้าพอจะมีผลงานอยู่บ้าง แต่เจ้าก็ควรรู้จักระวังคำพูดและการกระทำ อ่อนน้อมถ่อมตนหน่อยถึงจะถูก!”
ถึงแม้ผู้อาวุโสชุยจะยังมีรอยยิ้มใจดี ทว่ากลิ่นอายรอบกายกลับดุดัน ทำให้ศิษย์รุ่นเยาว์ที่อยู่ในบริเวณนั้นไม่กล้าแม้แต่หายใจออกมา ได้แต่มองดูผู้อาวุโสชุยด้วยความหวาดกลัว
เรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้เกินความคาดหมายของพวกเขาไปแล้ว
ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอกลับดูเป็นมิตรกว่าผู้อาวุโสชุยเสียอีก “ท่านเป็นผู้อาวุโส? จริงอยู่ที่สำนักของเราให้ความสำคัญกับลำดับความอาวุโสของเด็กและผู้ใหญ่ และข้าเองก็ให้ความเคารพกับผู้อาวุโสมาโดยตลอด”
“เพียงแต่ว่า ไม่ต้องให้ถึงพ่อข้าหรอก ถ้าข้าจะหาสักสองสามคนที่ไม่เห็นว่าท่านเป็นผู้อาวุโสมาล่ะก็ นั่นย่อมเป็นเรื่องที่ง่ายมาก”
“สำหรับเรื่องในวันนี้ แม้ท่านไม่ได้มีความผิดอะไร ทว่าที่ผ่านมาท่านคิดหรือว่าท่านสะอาดบริสุทธิ์ เรื่องนี้ท่านย่อมรู้ดีแก่ใจที่สุด”
“ข้าให้ความเคารพแก่ผู้อาวุโส ทว่าก็อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า อีกฝ่ายต้องเป็นผู้อาวุโสที่รู้จักเคารพตนเอง”
ผู้อาวุโสชุยจ้องเยี่ยนจ้าวเกอตาเขม็ง “เจ้า…”
เยี่ยนจ้าวเกอมองเขาด้วยหางตา “อะไรหรือขอรับ? ”
ผู้อาวุโสชุยถึงกับพูดไม่ออก จนบัดนี้เขาเพิ่งรับรู้ว่า เด็กหนุ่มเบื้องหน้านี้เอาแต่ใจและจิตใจคับแคบกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก!
ขณะนี้เขาเองคิดจะล้มโต๊ะ[1] ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอได้เห็นดีบ้าง ทว่ากลับพบว่าในมือของตนเองไม่มีหมากตัวไหนที่จะใช้ข่มขู่เยี่ยนจ้าวเกอได้เลย
แต่ถึงอยากจะลงมือเพียงใด อาหู่ที่อยู่ด้านข้างกลับแสยะยิ้มกว้างอย่างชั่วร้ายมองเขาอยู่ ทำให้เขาได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ตรงนั้น
เยี่ยนจ้าวเกอพูดนิ่งๆ ว่า “ท่านคงคิดว่าท่านกำลังใช้เด็กโง่คนหนึ่งเป็นเครื่องมือ แต่ความจริงแล้วตัวท่านเองก็เป็นเครื่องมือของคนอื่นเช่นกัน”
“ครั้งนี้หากท่านเล่นงานข้าได้สำเร็จ ผู้ที่อยู่เบื้องหลังท่านคงจะทุ่มเททำทุกวิธีทางเพื่อปกป้องท่าน แต่ถ้าตอนนี้ผู้ที่อยู่เบื้องหลังข้าลงมือกับท่าน ท่านยังคิดหรือว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังท่านจะยังปกป้องท่านอยู่อีก เขาจะลงทุนลงแรงปกป้องท่านขนาดไหนกันเชียว”
เมื่อพูดจบ เยี่ยนจ้าวเกอก็หมุนตัวกลับ ไม่สนใจใยดีคนแก่แซ่ชุยอีก จากนั้นจึงกวาดสายตามองไปยังเยี่ยจิ่ง ซือคงจิง และคนอื่นๆ แวบหนึ่ง แล้วจึงเดินนำออกจากตำหนักข้างไป “ถืออาวุธวิเศษให้ดี พวกเราจะไปกันแล้ว จุดหมายก็คือปราการมังกร”
อาหู่แบกเตาผลึกหินชั้นในเดินตามไปไม่ห่าง พลางส่งเสียงหัวเราะร่วน “คุณชาย นี่เป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูหรือขอรับ?”
“เจ้าไม่เข้าใจหรอก” เยี่ยนจ้าวเกอส่ายศีรษะ ก่อนจะหันกลับหลังไปมองเยี่ยจิ่งที่เดินตามอยู่ด้านหลัง ที่ตอนนี้แม้จะดูไม่โกรธแค้นมากขนาดนั้นแล้ว แต่ยังคงมีสีหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
เยี่ยนจ้าวเกอกลับมีสีหน้าเรียบนิ่ง แม้จะต้องมาแบกรับสิ่งต่างๆ แทนเจ้าของร่างเดิม แต่ตัวเขาในตอนนี้ไม่มีความแค้นเคืองอะไรกับเยี่ยจิง ดังนั้นจึงไม่คิดจะกลั่นแกล้งรังแกอะไรเขา
ใต้ฟ้าหลากหนทาง ต่างคนต่างเดิน อยู่กันอย่างสันติคือทางออกที่ดีที่สุด
‘แต่หากเจ้าจะเลือกยืนอยู่ในด้านที่ตรงกันข้ามกับข้า ข้าก็จะไม่หลีกทางให้เจ้าเช่นกัน เราก็มาลองกันสักตั้ง ดูสิว่าแขกต่างมิติเช่นข้า กับบุตรแห่งสวรรค์อย่างเจ้า ใครจะแกร่งกว่ากัน?’
‘เป็นตายไม่สน แต่ถ้าไม่สบอารมณ์ก็ขอสักที ข้าไม่สนหรอกว่าเจ้าจะเป็นใครหน้าไหน’
เยี่ยจิ่งมองไปยังแผ่นหลังของเยี่ยนจ้าวเกอด้วยสายตาที่สับสน
ส่วนสายตาที่ซือคงจิงมองเยี่ยนจ้าวเกอก็ยังคงเย็นชาเช่นเคย แต่มีแววของความสนใจเพิ่มขึ้นมา
ส่วนคนอื่นๆ ต่างก็มองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยความเคารพนับถือ
หากว่าเรื่องของเตาผลึกหินชั้นในคือสิ่งที่ทำให้พวกเขารับรู้ถึงความสามารถของเยี่ยนจ้าวเกอ เช่นนั้นการโต้เถียงกับผู้อาวุโสชุยซึ่งๆ หน้าหลังจากนั้น ก็คือสิ่งที่ทำให้พวกเขารู้ซึ้งว่าอะไรคือความเอาแต่ใจและยโสโอหัง
เมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่รู้ว่าสู้ตนเองไม่ได้อย่างเยี่ยจิ่งและพวกเขาเหล่านี้ ถึงเยี่ยนจ้าวเกอจะดูบ้าระห่ำและอารมณ์ร้อน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังอ่อนโยนกว่ามาก
ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับคนระดับสูงเช่นผู้อาวุโสชุย ที่ปกติแล้วทำให้ศิษย์รุ่นหลังเช่นพวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง เยี่ยนจ้าวเกอกลับเผชิญหน้าอย่างตาต่อตาฟันต่อฟัน บีบคั้นทุกย่างก้าว บ้าระห่ำที่สุด
เมื่อเทียบกับอาวุธวิเศษมากมายแล้ว เรื่องราวหลังจากนี้ต่างหากที่ทำให้พวกเขารู้สึกอย่างแท้จริง ว่าเยี่ยนจ้าวเกอกับพวกเขาอยู่คนละระดับกันจริงๆ
เยี่ยนจ้าวเกอละสายตาจากพวกเขา ก่อนจะเดินต่อไปข้างหน้าโดยไม่บอกกล่าว ส่วนอาหู่ก็คอยติดตามอยู่ข้างๆ สุดท้ายเขาก็ชำเลืองมองอีกฝ่ายครั้งหนึ่ง
อาหู่ยื่นใบหน้าออกมาหัวเราะแหะๆ แล้วใช้ปราณภายในรวมเป็นเสียงส่งกระแสจิตไปหาเยี่ยนจ้าวเกออย่างเงียบๆ ว่า ‘คุณชายขอรับ ครั้งนี้เป็นความบกพร่องของข้า คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าเจ้าเยี่ยจิ่งนั่นจะสามารถบรรลุได้อีกระดับ เบิกทางตันเถียนชี่ไห่สำเร็จได้ในเวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้’
ชายหนุ่มกลอกตาขาวครั้งหนึ่ง แต่ตัวเขาเองกลับไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับเรื่องนี้แต่อย่างใด
บุตรแห่งสวรรค์ ผู้มีรัศมีตัวเอกผู้นี้ ช่างชอบการสร้างความตะลึงเสียเหลือเกิน เล่นเอาคนทั้งหลายตาสว่างและหน้าชากันไปเลยทีเดียว
เรื่องพรรค์นี้เยี่ยนจ้าวเกอเองก็ชอบมาก แต่มีเงื่อนไขคือตนเองต้องเป็นฝ่ายกระทำ ไม่ใช่ฝ่ายถูกกระทำ
‘สั่งคนไปตรวจสอบ แล้วกลับมารายงานให้เร็วที่สุด’ เยี่ยนจ้าวเกอส่งกระแสจิตกลับไป ‘ตาแก่แซ่ชุยยุยงให้ข้าเคียดแค้นเยี่ยจิ่ง ต้องไม่จบลงง่ายๆ เช่นนี้แน่’
‘แต่ถ้ามาลองคิดๆ ดู ถ้าข้าเล่นงานจนเยี่ยจิ่งตายและโดนจับได้พร้อมหลักฐาน ข้าก็จะถูกลงโทษที่ฆ่าฟันพวกพ้อง แต่ขอเพียงบิดาข้ายังอยู่ ข้าก็ยังมีโอกาสพลิกสถานการณ์ได้’
‘ยิ่งไปกว่านั้น หากข้าคิดจะลงมือจริงๆ จะทิ้งหลักฐานไว้ให้โดนจับได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ?’
‘และสำหรับการแข่งขันระหว่างอาจารย์ลุงรองและพ่อข้า เรื่องนี้ก็ไม่มีผลกระทบอะไรมาก’ เยี่ยนจ้าวเกอพูดขึ้น ‘น่าจะยังมีเหตุผลอื่นอีก ไปตรวจสอบความสัมพันธ์กับคนรอบข้างของเยี่ยจิ่งมาโดยละเอียดด้วย โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับคนในสำนัก’
อาหู่ในขณะนี้มีสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง ไม่ใช่ใบหน้าที่เล่นสนุกอีกแล้ว ‘ขอรับ คุณชาย’
เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า แล้วมุ่งหน้าเดินทางต่อไป เดินไปสักพักก็พลันหยุดชะงัก ‘เอ๊ะ เกือบลืมเรื่องสำคัญไปเลย อาหู่ เจ้ากลับไปข้างวิหารอีกรอบ’
ชายร่างกำยำลูบกำปั้นไปมา ‘คุณชายรู้สึกไม่สบอารมรณ์หรือขอรับ ให้เป็นหน้าที่ของข้า ข้าจะกลับไปอัดตาแก่นั่นให้น่วมเดี๋ยวนี้เลย’
เมื่อได้ยินวาจาของอีกฝ่าย เยี่ยนจ้าวเกอก็รีบโบกมือปฏิเสธ ‘ไม่ใช่ เป็นภารกิจของสำนักครั้งนี้ ข้าลืมรับเอาคาถาที่ใช้สำหรับตรวจสอบปราการมังกรมาด้วย เจ้ากลับไปเอาให้ที’
อาหู่ ‘…’
ถึงเวลาแล้วที่ผู้อาวุโสปฏิบัติกิจแห่งวิหารปฏิบัติกิจชุยซิน จะถูกปลดออกจากตำแหน่งและถูกสอบสวนโดยตำหนักอาญา ในข้อหาเรียกสินบนและกดขี่ขู่เข็ญลูกศิษย์รุ่นหลัง
…
ณ ห้องมืดมิดและเงียบสงัดแห่งหนึ่งในสำนักเขากว่างเฉิง
“ตำนานเป็นความจริง คิดไม่ถึงเลยว่าเตาผลึกหินชั้นในจะมหัศจรรย์เช่นนี้”
“รีบรายงานข้อมูลมา”
“อย่างไรเสียเตาผลึกหินชั้นในในตอนนี้ก็ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ จึงหลอมได้เพียงอาวุธวิเศษระดับล่างเท่านั้น แม้คุณค่าจะมหาศาล แต่ก็ยังมีขีดจำกัด เพื่อที่จะไม่เป็นการเปิดเผยตัวก่อนเวลาอันควร ทำให้เขากว่างเฉิงไหวตัวทัน พวกเราจะรอให้มีผลลัพธ์ที่ดีกว่านี้ออกมาก่อน แล้วค่อยลงมือใช่หรือไม่”
“พวกเรายังคงปกปิดไว้เช่นเดิม แต่ข่าวนี้สำคัญมากนัก จำเป็นต้องรายงานกลับไปเดี๋ยวนี้ ส่วนต่อไปจะทำอย่างไรต่อ รอฟังคำสั่งจากทางนั้นก็แล้วกัน”
“ขอรับ”
…
อีกด้านหนึ่ง
“ตอนนี้มีคนระดับสูงของสำนัก รับช่วงต่อการศึกษาเตาผลึกหินชั้นในแล้ว แต่โครงสร้างพื้นฐานเป็นฝีมือเยี่ยนจ้าวเกอทั้งหมด”
“มีโครงสร้างพื้นฐานแล้วก็จะสามารถทดลองในขั้นถัดไปได้”
“ถึงเขาจะมีองครักษ์ติดตามไปปราการมังกรในครั้งนี้ด้วย แต่อย่างไรก็ยังโดดเดี่ยวแรงน้อย นี่เป็นโอกาสดีที่จะส่งคนไปฆ่ามัน”
“ติดต่อพวกกากเดนของค่ายห้าวิญญาณไป ครานั้นค่ายห้าวิญญาณพังพินาศด้วยน้ำมือบิดาของเยี่ยนจ้าวเกอ หนี้ของบุพการีบุตรต้องชำระ ให้พวกเขาลงมือจะได้ไม่ทำให้คนสงสัย แต่ต้องกำชับว่าอย่าจัดการเยี่ยนจ้าวเกอจนถึงตาย อย่างน้อยก็รอให้พวกเราถามข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเตาผลึกหินชั้นในให้ได้ก่อน ค่อยส่งให้พวกเขาจัดการต่อในภายหลัง”
“ส่วนเรื่องเตาผลึกหินชั้นใน ก็อย่าเพิ่งให้คนของค่ายห้าวิญญาณรู้ก่อน ให้พวกเขาจับตัวเยี่ยนจ้าวเกอมาเท่านั้นพอ”
…
บนชายแดนของอาณาจักรถังตะวันออก ที่อยู่ด้านตะวันออกของเกาะนภาตะวันออก หนึ่งในห้าเกาะแห่งนภาพิภพ เมื่อข้ามผ่านหุบเขาขนาดใหญ่นี้ไป ก็จะเป็นจุดหมายปลายทางของเยี่ยนจ้าวเกอและเหล่าศิษย์น้องในครั้งนี้ นั่นก็คือ ‘ปราการมังกร’
“ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าเป็นคนของอาณาจักรถังตะวันออกไม่ใช่หรือ” ลูกศิษย์เยาว์วัยคนหนึ่งถามเยี่ยจิ่ง ขณะที่ทุกคนเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงอาณาจักรถังตะวันออกแล้ว
เยี่ยจิ่งพยักหน้าหงึกๆ ด้วยความปลง “ใช่แล้ว”
ในยุคที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทรงอำนาจที่สุดไม่กี่แห่งอยู่ร่วมกัน ทุกดินแดนล้วนมีสำนักจอมยุทธ์และอาณาเขตกว้างใหญ่ที่ปกครองด้วยตนเองโดยตรง จากนั้นก็ใช้พื้นที่เหล่านั้นเป็นศูนย์กลางกระจายอิทธิพลไปสู่พื้นที่รอบๆ
อย่างเช่นเขากว่างเฉิง มีเกาะนภากลางเป็นศูนย์กลางการปกครองของนภาพิภพทั้งห้าเกาะ ซึ่งมีอิทธิพลต่อพื้นที่ทั้งหมดของนภาพิภพ
สี่เกาะที่เหลือนอกจากเกาะนภากลาง ก็จะมีสำนัก ราชวงศ์ หรือขุมกำลังต่างๆ ที่ได้รับอิทธิพลจากเขากว่างเฉิงจำนวนไม่น้อย แล้วพัฒนาตนเองขึ้นโดยยึดเขากว่างเฉิงเป็นแบบอย่าง
อาณาจักรถังตะวันออกเป็นหนึ่งในสามอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของเกาะนภาตะวันออก และเป็นชายแดนด้านตะวันออกที่ได้รับอิทธิพลจากเขากว่างเฉิง
ในพื้นที่อื่นๆ ที่เป็นเช่นเดียวกับอาณาจักรถังตะวันออก ก็มีสำนักและขุมกำลังที่อยู่ในระดับรองลงมาอยู่
เยี่ยจิ่งเหม่อลอยขณะมองดูเมืองหลวงของอาณาจักรถังตะวันออก เขาเกิดในตระกูลเยี่ยที่เป็นเพียงตระกูลเล็กๆ ในเมืองขนาดย่อมของอาณาจักรถังตะวันออก ด้วยความเพียรพยายามของเขา ตระกูลเยี่ยจึงได้กลายเป็นผู้ทรงอำนาจที่สุดในเมืองนั้น แต่ก็ยังไม่เป็นที่จับตามองของอาณาจักรถังตะวันออกนัก
เมื่อเขาออกจากเมืองมายังเมืองหลวงของอาณาจักรถังตะวันออก เขาถึงรู้สึกเหมือนได้เปิดโลกทัศน์อย่างแท้จริง
ส่วนการออกจากอาณาจักรถังตะวันออก และเข้าเป็นศิษย์ของเขากว่างเฉิง ก็เสมือนกับที่ได้พบเห็นฟ้าดินที่แท้จริงหลังจากกระโดดออกจากก้นบ่อ
ในอาณาจักรถังตะวันออกมีจอมยุทธ์มากมาย ที่แต่ก่อนเขาเองก็ยังต้องแหงนหน้ามอง ทว่าการกลับมาในครั้งนี้ ถือได้ว่ากลับมาอย่างมีหน้ามีตา…
“หลังจากเข้าเมืองแล้ว ข้าจะเข้าวังหลวงไปเข้าเฝ้าราชาแห่งอาณาจักรถังตะวันออก รวมถึงท่านผู้อาวุโสคุมการณ์ของสำนักเราที่ประจำอยู่ที่นี่ เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ของปราการมังกรเสียก่อน”
เยี่ยนจ้าวเกอที่เดินอยู่ด้านหน้าสุดหยุดฝีเท้าลง สายตามองตรงไปยังเมืองหลวงแห่งอาณาจักรถังตะวันออก แล้วพูดกับทุกคนว่า “พวกเจ้าก็พักผ่อนสักหน่อย จะทำกิจกรรมอะไรก็ตามแต่พวกเจ้า แต่หลังจากนี้อีกสองชั่วยามให้มารวมตัวกันใหม่ พวกเราจะได้เคลื่อนตัวไปยังปราการมังกรกันเสียที”
บรรดาศิษย์รุ่นเยาว์ต่างขานรับพร้อมกันว่า “ขอรับ ศิษย์พี่เยี่ยน”
ส่วนเยี่ยจิ่งใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์
………………..
[1] ล้มโต๊ะ หมายถึง โกรธ แตกคอกัน แตกหักกันไปข้างหนึ่ง