ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 61 สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มาเยือน
เมื่อผู้อาวุโสฉินออกคำสั่ง เหยียนซวี่พลันชะงักไป ก่อนที่เขาจะพยักหน้า ปล้วลุกขึ้นแล้วเดินออกไปข้างนอก
เฟิงอวิ๋นเซิงคำนับให้กับผู้อาวุโสฉินครั้งหนึ่ง “ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโสเจ้าค่ะ”
ผู้อาวุโสฉินโบกไม้โบกมือ “สาวน้อย เรื่องของเจ้าใหญ่หลวงนัก ข้าเองก็ไม่สามารถตัดสินได้เองทั้งหมด ต้องรอการตัดสินสุดท้ายจากทางสำนัก”
“เจ้าค่ะ ข้าเข้าใจดี” เฟิงอวิ๋นเซิงหันหน้ากลับไปมองเยี่ยนจ้าวเกอ แล้วพูดเสียงเบาว่า “ขอบคุณ”
นามของ ‘หุบเขาผนึกเวหา’ นางที่เดิมเป็นศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็เคยได้ยิน
ที่แห่งนั้นเป็นสถานที่ที่เขากว่างเฉิงใช้ลงโทษกักขังนักโทษความผิดร้ายแรง ซึ่งมีแต่คนป่าเถื่อนอำมหิตที่รอการประหาร หรือไม่ก็เป็นคนของเขากว่างเฉิงที่กระทำความผิดมหันต์ ถึงจะถูกกักขังเอาไว้ภายในหุบเขา
ตามคำร่ำลือ ที่แห่งนั้นมองไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน สภาพแวดล้อมเลวร้ายยิ่งกว่าหุบเหวปราการมังกรเสียอีก
ตั้งแต่เขากว่างเฉิงก่อตั้งขึ้น ยังไม่เคยมีคนที่ถูกนำไปขังไว้ที่หุบเขาผนึกเวหา แล้วสามารถหนีออกมาด้วยตนเองได้เลย
เยี่ยนจ้าวเกอมองนางแวบหนึ่งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ข้ามั่นใจในตัวเอง”
เฟิงอวิ๋นเซิงตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ใช่ ข้าเชื่อใจท่านน้อยเกินไป เป็นความผิดของข้าเอง ครั้งหน้าข้าจะระวัง”
“ครั้งหน้าข้าจะพูดว่า ‘เยี่ยมมาก ก็รู้อยู่แล้วว่าท่านพึ่งพาได้!’”
ชายหนุ่มตอบอย่างเถียงต่อไปไม่ได้ว่า “สำรวม สำรวม”
ด้านนอกที่พักอาศัยในตอนนี้ แสงสีทองอร่ามราวดวงอาทิตย์ลอยอยู่เหนือถนนใหญ่ ทำให้พื้นดินโดยรอบร้อนระอุขึ้นมาจนยากจะต้านทานไหว ผู้คนที่สัญจรไปมาต่างพากันถอยหนี
ผู้ที่เคยพบเจอมาก่อนต่างก็รู้ดี ว่านั่นคือท่านผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งถังตะวันออกของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์
ท่าทีราวกับยกทัพมาตีของเขาในตอนนี้ มีจุดประสงค์เพื่อตรงมายังสถานที่ทำการของผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งถังตะวันออกของเขากว่างเฉิง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองเกิดความขัดแย้งขึ้นอีกแล้ว
ที่ถังตะวันออก เรื่องเช่นนี้ปรากฏให้เห็นอยู่บ่อยครั้งนัก ทว่าโดยส่วนมากจะเป็นการประมือกันอย่างเงียบๆ
แต่ตอนนี้กลับมีผู้อาวุโสคุมการณ์ของอีกสำนักหนึ่งมาเยือน ท่าทีดุเดือดขุ่นเคืองอีกด้วย
“การประมือของทั้งสองฝ่ายได้ยกระดับขึ้นแล้ว คงไม่ได้จะออกมือปะทะกันที่เมืองชมตะวันหรอกใช่หรือไม่ การประมือของมหาปรมาจารย์สองคน เห็นทีเพียงแค่ควันหลงก็สามารถทำให้พื้นราบเป็นหน้ากลองได้แล้ว!”
หลายคนรู้สึกเป็นกังวลอยู่ในใจ
ท่ามกลางแสงสีทองนั้น มีเสียงที่เดือดดาลลอดผ่านออกมา “เหยียนซวี่ ข้ารู้ว่าเจ้าเด็กแซ่เยี่ยนนั่นกลับมาแล้ว!”
“เขาปกป้องลูกศิษย์หลบหนีของสำนักข้า และยังทำให้ลูกศิษย์ที่รับหน้าที่ออกตามจับได้รับบาดเจ็บด้วย!”
“เขากว่างเฉิงของเจ้าสั่งสอนคนไม่เป็น เช่นนั้นข้าจะช่วยสั่งสอนแทนก็แล้วกัน!”
“รีบส่งตัวเยี่ยนจ้าวเกอกับหญิงชั่วนั่นมา มิเช่นนั้นข้าจะพังที่นี่เสีย!”
เสียงที่นิ่งสงบของเหยียนซวี่ดังขึ้นจากด้านในตำหนัก “ศิษย์สำนักข้าจะอยู่แห่งหนใด ข้าไม่มีความจำเป็นจะต้องบอกเจ้า สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าทำคนหายเอง ก็ไปตามหาเอาเองสิ เกี่ยวอะไรกับสำนักของข้าเล่า?”
“ที่นี่ไม่มีคนที่เจ้าต้องการ อย่ากล่าวหาใส่ความตามใจชอบสิ แต่ถ้าเจ้าคิดจะหาเรื่อง ข้าก็ยินดีอยู่เป็นเพื่อน”
ในแสงสีทองราวกับแสงของดวงอาทิตย์ค่อยๆ ปรากฏของเขาคนผู้หนึ่งขึ้น เป็นชายชราหน้าเหลี่ยมหูใหญ่ใส่ชุดสีทอง
เขาจ้องมองตำหนักที่อยู่ด้านล่าง แสยะยิ้มพลางกล่าวว่า “เล่นงานคนของสำนักศักดิ์สิทธิ์ของข้าจนบาดเจ็บ ปกป้องคนทรยศสำนักข้า บัดนี้เขากว่างเฉิงช่างอาจหาญยิ่งนัก”
“ดูเหมือนพวกเจ้าคงจะลืมไปแล้ว ว่าหากไม่ใช่เพราะสำนักของข้ายอมอ่อนข้อให้ เขากว่างเฉิงของเจ้าก็คงจะดับสูญไปเสียตั้งนานแล้ว!”
เยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่ในห้องโถงได้ยินดังนั้น ก็หัวเราะเยาะเสียงหนึ่ง “อวดอ้างเสียใหญ่โต”
ครั้งแรกที่โลกปีศาจอัคคีเข้ารุกรานแล้วถูกไล่กลับไป จ่านตงเก๋อ ผู้สะเทือนสวรรค์ได้สิ้นชีพลง ในบรรดาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย เขากว่างเฉิงได้รับความเสียหายมากที่สุด ดังนั้นจึงทำให้สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์และดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งอื่นมีโอกาสตีเสมอขึ้นมา
มีบางคนศรัทธาในความเสียสละของจ่านตงเก๋อและเขากว่างเฉิง ทว่าก็มีบางคนที่ประสงค์ร้ายคิดจะถือโอกาสคนล้มแล้วเหยียบซ้ำ
โชคยังดีที่ตอนนั้นเขากว่างเฉิงมีผู้ที่มีความสามารถรุ่นต่อรุ่นคนหนึ่ง ที่ก่อนหน้านั้นเต็มใจสนับสนุนช่วยเหลือจ่านตงเก๋อ และถูกแสงสว่างของจ่านตงเก๋อบดบังไว้ได้เสนอตัวออกมา
บุคคลผู้นี้มีนามว่าจ่านซีโหลว บุรุษเทียมสวรรค์ น้องชายท้องเดียวกันของจ่านตงเก๋อ และยังเป็นเจ้าสำนักเขากว่างเฉิงต่อจากจ่านตงเก๋ออีกด้วย
หลังจากที่จ่านตงเกอสิ้นชีพไป จ่านซีโหลวก็รับหน้าที่เป็นเจ้าสำนักแต่เพียงผู้เดียว อีกทั้งยังแสดงความสามารถอันน่าทึ่งออกมา
และเป็นเพราะการปรากฏกายอย่างไม่ทันตั้งตัวของจ่านซีโหลว เขากว่างเฉิงที่เพิ่งผ่านการรุกรานครั้งแรกของปีศาจอัคคี และอยู่ในสถานการณ์ที่ทั้งสำนักกำลังได้รับความเสียหายอย่างหนัก จึงยังไม่ล่มสลายลง อีกทั้งยังสามารถข้ามผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดไปได้
จ่านตงเก๋อและจ่านซีโหลวได้กลายเป็นคู่พี่น้องที่มีชื่อเสียงมากที่สุด และเป็นตำนานของโลกแปดพิภพ หลังจากเกิดวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่
หลังจากปีศาจอัคคีเข้ารุกรานครั้งนั้น อาจารย์ปู่สุริยันศักดิ์สิทธิ์ ผู้บัญชาการสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ในขณะนั้นแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งกำลังปะทะกับจ่านซีโหลวและเขากว่างเฉิงไม่หยุดหย่อน
เขากว่างเฉิงที่อยู่ภายใต้การบัญชาของจ่านซีโหลวก็เก็บซ่อนความสามารถของตนเอง คอยเฝ้าระวังและเริ่มสั่งสมกำลังขึ้นใหม่อย่างลับๆ แต่ก็ทำอย่างประมาณตน ไม่เคยให้สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เอาเปรียบได้เลยสักครั้ง
หลังจากนั้นอาจารย์ปู่สุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็สละตำแหน่งเจ้าสำนักให้กับรุ่นหลัง แล้ะไม่มีข่าวคราวของเขาอีกเลย
ส่วนจ่านซีโหลวนั้น เขาก็สิ้นใจไปในสงครามกับปีศาจอัคคีอีกครั้ง เช่นเดียวกับพี่ชายที่หลั่งโลหิตเพื่อโลกแปดพิภพจนหยดสุดท้าย
ทว่าเนื่องด้วยความพยายามของจ่านซีโหลว เขากว่างเฉิงก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่างมั่นคงได้อีกครั้ง ไม่ตกอยู่ในสภาวะเคว้งคว้างไหวหวั่นดังเช่นก่อนหน้านี้
ส่วนสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ในระยะนี้ ด้วยการพัฒนาและขยายอำนาจไม่หยุด ในที่สุดสำนักก็ได้อยู่เหนือเขากว่างเฉิง และกลายเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งแห่งใหม่
เยี่ยนจ้าวเกอยักไหล่ “หากอาจารย์ปู่สุริยันศักดิ์สิทธิ์นั่นยังอยู่ล่ะก็ ขอเชิญให้ปรากฏตัวด้วย บัดนี้นับวันการจู่โจมจากปีศาจอัคคียิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โลกแปดพิภพกำลังต้องการยอดฝีมือเช่นนี้อยู่”
ร่างกายของเหยียนซวี่ปรากฏขึ้นเหนือตำหนัก สายตาสบกับผู้อาวุโสในชุดสีทองแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ “พังทลายเขากว่างเฉิงของข้าอย่างนั้นหรือ? ถ้าคิดว่าทำได้ล่ะก็ เช่นนั้นก็มาลองดูสิ”
ชายชราในชุดสีทองยิ้มอย่างเย็นชา แล้วกล่าวว่า “หากไม่ใช่เพราะทางสำนักไม่อนุญาต ข้าคงจัดการทำลายสำนักของเจ้าไปนานแล้ว แต่วันนี้ข้าจะกำจัดเจ้าก่อนก็แล้วกัน!”
ขณะที่ปราณจิตราทั่วร่างกายของเขากำลังไหลทะลัก ก็มีแสงสีทองปกคลุมเอาไว้อีกครั้ง
แสงสีทองนั้นไม่ได้ดูเหมือนแสงตะวันลวงตาเหมือนอย่างเซียวเซิงและเฉาหยวนหลง แต่เป็นตัวของเขาที่แปรเปลี่ยนไปเป็นพระอาทิตย์ที่ส่องสว่างไปไกล
ความชื้นที่อยู่ในพื้นดินโดยรอบระเหยกลายเป็นไอจนหมดสิ้น หน้าดินบนถนนหนทางเริ่มแตกระแหง ต้นไม้ใบหญ้าต่างก็ไหม้เกรียมเหี่ยวแห้ง
ภายใต้อุณหภูมิที่สูงลิ่ว ทัศนียภาพพลันบิดเบือนไป
สีหน้าของเหยียนซวี่เย็นชา แววตาจริงจัง เขายกมือทั้งสองขึ้นขนานกัน ก่อนจะผลักไปข้างหน้าพร้อมกัน
วรยุทธ์ของมหาปรมาจารย์ถูกเผยออกมาทั้งหมด วิชาฝ่ามือดุสิตที่เหยียนซวี่กำลังปลดปล่อยออกมาในตอนนี้ย่อมแตกต่างออกไป
เปลวเพลิงสีม่วงปรากฏขึ้นในชั่วพริบตา กลายเป็นทะเลเพลิงผืนหนึ่งตั้งขึ้นประจันกับพระอาทิตย์สีทอง
เพลิงสีม่วงของฝ่ามือดุสิตตัดกับแสงอาทิตย์สีทองบนท้องฟ้า อุณหภูมิในอากาศพลันสูงขึ้นอีกครั้งในทันที
สภาพแวดล้อมที่อยู่รอบด้าน สิ่งของบางอย่างที่แห้งและติดไฟง่าย ก็ลุกโชนแผดเผาขึ้นมาเองในทันใด พื้นแผ่นดินที่กว้างไกลออกไปราวกับจะเปลี่ยนเป็นโลกแห่งไฟเพลิงสำหรับเมืองหลวงของอาณาจักรถังตะวันออก มีการสั่นไหวบริเวณใกล้ประตูเมืองชมตะวัน อักขระจิตแต่ละเส้นแต่ละลายปรากฏขึ้นบนหน้าพื้นดิน
ฉับพลันนั้นอากาศเย็นลงเล็กน้อย เหยียนซวี่และชายชราชุดทองต่างก็รู้สึกได้ถึงความกดดันที่กำลังมุ่งตรงมา
ทั้งสองคนยังไม่ได้รามือจากกัน เพียงแต่ปล่อยให้เขตอาคมของเมืองชมตะวันกำหนดขอบเขตการประมือของพวกเขา
กลางอากาศ เพลิงม่วงจากฝ่ามือดุสิตและแสงอาทิตย์เจิดจ้าสลับกันโจมตีไม่หยุด โจมตีกันจนพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน
บัดนั้นชายชราชุดทองแปลงกายเป็นพระอาทิตย์ดุจตะวันกลางเวหา
จู่ๆ พระอาทิตย์ก็ค่อยๆ หดเล็กลง ร่างกายของชายชราชุดทองปรากฏขึ้นอีกครั้ง พระอาทิตย์นั้นปรากฏขึ้นที่กลางฝ่ามือของเขา เจิดจ้าอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ชายชราชุดทองยกมือขึ้นราวกับกำลังชูพระอาทิตย์ขึ้น จากนั้นก็ฟาดฝ่ามือลงมา!
เหยียนซวี่ประสานฝ่ามือทั้งสองเข้าด้วยกัน เพลิงสีม่วงของฝ่ามือดุสิตที่อยู่ในอากาศรอบๆ พลันหลอมรวมเข้าด้วยกัน ตามวิถีหมัดของเขาที่เปลี่ยนแปลงไป
ไฟเพลิงที่ขยับไหวไปมาวินาทีนี้ถูกบีบอัดหลอมรวมเข้าด้วยกันจนเป็นของแข็งที่มีรูปมีร่าง กลายเป็นเตาโอสถสีม่วงขนาดใหญ่อย่างคาดไม่ถึง
ภายในเตาโอสถ เปลวเพลิงสีม่วงขยับไหวไปมาไม่หยุด พลังของเตาที่ทำการสร้างสรรพสิ่งใต้ผืนฟ้าหรือบนแผ่นดินได้ถูกส่งออก พุ่งตรงไปยังพระอาทิตย์ที่อยู่บนฝ่ามือของชายชราชุดทองผู้นั้น
……….