ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 63 ไม่ใช่ขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้นแล้ว
ทะยานบูรพาถูกขับไล่จนถอยไป ผู้อาวุโสฉินค้อมศีรษะคำนับให้กับราชาวังถังตะวันออกที่อยู่ไกลออกไปเพื่อแสดงความขอบคุณ “ขอบพระทัยฝ่าบาทเป็นอย่างยิ่ง บุญคุณครั้งนี้เขากว่างเฉิงจะจดจำไว้”
“ถ้าหากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มาคิดบัญชีภายหลัง เขากว่างเฉิงจะขอแบกรับเอาไว้เอง”
เสียงของจ้าวซื่อเฉิง ราชาอาณาจักรถังตะวันออกดังออกมาแต่ไกล “ท่านผู้อาวุโสฉินเกรงใจเกินไปแล้ว เขากว่างเฉิงต่างหากที่เป็นเจ้าแห่งนภาพิภพ”
แม้จ้าวซื่อเฉิงจะมองไม่เห็น ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่ภายในตำหนักอาศัยก็ลุกขึ้นยืนแล้วโค้งคำนับแสดงความขอบคุณ “สร้างความวุ่นวายให้กับท่านลุงแล้วขอรับ”
ผู้อาวุโสฉินและเหยียนซวี่กลับเข้าไปในตำหนัก แล้วนั่งประจำที่ใหม่อีกครั้ง
“มาแค่ทะยานบูรพา แสดงให้เห็นว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้มองเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เร่งด่วนสำคัญมากนัก”
เหยียนซวี่กล่าวอย่างช้าๆ ว่า “สิ่งที่พวกเขาให้ความสนใจในตอนนี้ ยังคงเป็นการหลบหนีของศิษย์ทรยศในสำนัก ซึ่งสำนักเรารับตัวนางมาแล้ว”
“แต่ก็ไม่ใช่สตรีจันทราคนหนึ่งที่พเนจรอยู่ข้างนอก แล้วถูกเขากว่างเฉิงของเราเก็บรับเอาไว้”
ในขณะที่กล่าว สายตาของเหยียนซวี่ก็มองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอและเฟิงอวิ๋นเซิง
เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า การที่เหยียนซวี่คิดเช่นนี้ก็ไม่ผิดนัก เหมือนกับการคาดคะเนของตนโดยบังเอิญ
เฟิงอวิ๋นเซิงได้รับการตรวจอย่างละเอียด โดยยอดฝีมือระดับสูงจำนวนมากของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนล้วนให้ผลสรุปว่าจันทรากายของนางได้สูญสลายไปแล้วอย่างสิ้นเชิง ไม่มีทางที่จะฟื้นฟูกลับมาได้อีก
มิเช่นนั้นคงไม่เกิดเหตุการณ์ในตอนนั้น ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่อาจทำให้เยี่ยนจ้าวเกอและเขากว่างเฉิงโชคดีเช่นนี้ด้วย
ผู้อาวุโสฉินกล่าวว่า “สำหรับสำนักของเราแล้ว นี่ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่ง”
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว การเคลื่อนไหวของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็จะไม่รุนแรงมากจนเกินไปนัก
ถึงแม้ว่าจะไม่เกรงกลัวสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้ายังไม่ถึงเวลาที่จำเป็น เขากว่างเฉิงก็ยังไม่อยากจะเปิดศึกกับทางนั้น การปะทะของทั้งสองดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ผลสุดท้ายอาจจะเป็นสถานการณ์ที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถจะควบคุมเอาไว้ได้
อย่างไรเสียกำลังของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็แข็งแกร่งกว่า แน่นอนว่าเขากว่างเฉิงเห็นทีจะต้องพัฒนาตนเองให้มากขึ้นก่อน รอให้มีกำลังมากขึ้น แล้วค่อยเปิดศึกทำสงครามจริงๆ กับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์
ดังนั้นหลังจากที่เหยียนซวี่ออกไป แม้ว่าท่าทีจะแข็งกระด้าง การลงมือก็ไม่รวนเร แต่การกัดไม่ปล่อยไม่ยอมรับตั้งแต่ต้นว่าสำนักของตนเองรับตัวของเฟิงอวิ๋นเซิงไว้นั้น ก็ทำให้กลายเป็นจุดอ่อนให้กับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ไม่มากก็น้อย
แม้กระทั่งผู้อาวุโสฉินที่แข็งกระด้างยิ่งกว่า ตรงไปตรงมายิ่งกว่าก็ยังเห็นด้วยกับคำพูดนี้อย่างเงียบๆ
ในตอนนี้เผชิญหน้ากับศัตรูภายนอกเช่นเดียวกัน เยี่ยนจ้าวเกอย่อมไม่เปิดโปงผู้อาวุโสของสำนักตนเองแน่นอนอยู่แล้ว
เฟิงมู่เกอ ศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ แน่นอนว่าจะไม่มีความข้องเกี่ยวใดๆ กับตนเองและเขากว่างเฉิงอีกต่อไป
ทว่าเฟิงอวิ๋นเซิงที่เป็นสตรีจันทราน่ะหรือ นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง…
จะบอกว่าหน้าตาเหมือนกันอย่างกับแกะอย่างนั้นหรือ
ฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาล มีเรื่องแปลกประหลาดมากมาย จะมีคนที่หน้าตาละม้ายคล้ายกันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
รูปลักษณ์งดงามเช่นนี้ อีกทั้งยังเหมือนกันอย่างกับแกะงั้นหรือ?
นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้กระมัง ไม่แน่ว่าอาจเป็นพี่น้องฝาแฝดที่พลัดพรากกันตั้งแต่เด็กก็เป็นได้…
อย่างไรเสีย ขอคนไม่มีให้ จะสู้ก็สู้กันสักตั้ง
ให้ทางเลือกกับเจ้าแล้ว หากเจ้ายอมอ่อนข้อ ทุกคนก็จะอยู่กันอย่างสงบ หากเจ้าไม่ยอมอ่อนข้อ เช่นนั้นพวกเราก็คงต้องใช้ไม้แข็งกัน
เหยียนซวี่กล่าวว่า “การทดสอบแห่งจันทราครั้งก่อน เมิ่งหว่านพลาดท่าทำมงกุฎจันทราหลุดมือไป จึงตกไปอยู่ในมือของเมืองทะเลมรกตที่เป็นปรปักษ์กับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นมิตรกับสำนักของเรา”
“ยอดฝีมือสูงสุดของพวกเขาได้เข้าฌานไปก่อนหน้านี้ ไม่ได้ออกฌานมาโดยตลอด หากไม่ใช่ปัญหาที่ใหญ่หลวงนัก สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็คงไม่หวังให้ศิษย์ร่วมสำนักตีกันเองจนตายในช่วงนี้เช่นกัน”
ผู้อาวุโสฉินมองไปยังเฟิงอวิ๋นเซิง “ประเด็นสำคัญก็อยู่ที่ตัวของสหายเฟิงคนนี้แล้ว”
“จากการพิจารณาแต่ละด้านแล้ว เจ้าไม่เหมาะที่จะอยู่ที่ถังตะวันออก หรือเกาะนภาตะวันออกต่อไป”
“หากคนจากทางสำนักมาถึงที่นี่แล้ว ก็จะส่งเจ้ากลับไปที่เขากว่างเฉิงเสีย”
เขามองกลับไปที่เยี่ยนจ้าวเกออีก “จ้าวเกอ เจ้าก็กลับไปด้วยเช่นกัน ครั้งนี้สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ถูกไล่กลับ แต่หลังจากนี้อาจจะจงใจเล่นงานเจ้าอีกก็ได้”
“หลังจากกลับสำนักไป เจ้าก็จงตั้งใจช่วยสหายเฟิงฟื้นฟูจันทรากายเสีย”
เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยตอบว่า “ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโสที่เป็นห่วง แต่ข้าตั้งใจว่าจะอยู่ที่ถังตะวันออกต่ออีกสักระยะหนึ่ง มีบางเรื่องที่ยังจำเป็นต้องเตรียมการ”
“แค่ส่งศิษย์น้องเฟิงกลับสำนักโดยเร็วก็พอแล้วขอรับ เมื่อข้าจัดการธุระในมือจนเสร็จสิ้นแล้ว ถึงจะเดินทางกลับไปที่สำนัก”
“ระยะนี้ข้าจะลดการออกไปข้างนอก ปฏิบัติตนอย่างระมัดระวัง ไม่เปิดโอกาสให้สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์”
ผู้อาวุโสฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้ายังมีธุระอันใดอีกหรือ”
ชายหนุ่มไม่ได้ตอบในทันที กลับเป็นเหยียนซวี่ที่อยู่ข้างๆ ที่กล่าวขึ้นอย่างช้าๆ ว่า “ความจริงแล้วเขายังมีบางเรื่องที่ต้องอธิบายให้ชัดเจน”
สายตาของผู้อาวุโสฉินมองมา เหยียนซวี่กล่าวว่า “หลินอวี้เสา ศิษย์ในสำนักถูกสังหารที่ถังตะวันออก ผู้ลงมือใช้วิชาฝ่ามือดุสิต ที่สืบทอดโดยตรงภายในสำนักของเรา”
“หลินอวี้เสา หากข้าจำชื่อนี้ไม่ผิดแล้วล่ะก็ จ้าวเกอ…” น้ำเสียงของผู้อาวุโสฉินไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป ทว่าสายตากลับจับจ้องอยู่ที่เยี่ยนจ้าวเกออีกครั้ง
เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้าด้วยสีหน้าท่าทางหนักแน่น แล้วกล่าวตอบว่า “เป็นศิษย์เองที่พานางกลับสำนัก และแนะนำให้เข้าเป็นศิษย์สำนักของเราเองขอรับ”
“ภูมิลำเนาของนางอยู่ที่เดียวกับเยี่ยจิ่ง ซึ่งก็คือถังตะวันออก เกาะนภาตะวันออกขอรับ”
“และก่อนหน้านี้ข้ากับนางเป็นคนรักกันขอรับ” เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ เยี่ยนจ้าวเกอก็เริ่มที่จะหมดคำพูด
การที่หลินอวี้เสาถูกสังหาร ในใจของเยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกเวทนาและเสียดายอยู่บ้าง อย่างไรเสียก็เป็นหนึ่งชีวิต
การกระทำนั้นถูกหรือผิดยังไม่ต้องพูดถึง ทว่าอย่างน้อยๆ ก็ไม่จำเป็นถึงขั้นที่จะต้องแลกด้วยชีวิตเพื่อชดใช้
ทว่าหากกล่าวอย่างจริงจังก็คือ ทั้งสองคนยังไม่เคยพูดคุยกันแม้แต่คำเดียว มีแค่ความเข้าใจที่ได้จากความทรงจำของเจ้าของร่างคนเดิม เหมือนกับการดูภาพเคลื่อนไหว
หากไม่นับความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมแล้วล่ะก็ เยี่ยนจ้าวเกอยังไม่เคยแม้กระทั่งได้เจอตัวจริงของนางเลย
หากบอกว่าตนเองเศร้าเสียใจอย่างยิ่ง จะมีคนเชื่อหรือไม่
ถึงอย่างไรทั้งสองก็เป็นคู่รักในสายตาของผู้อื่น ดังนั้นเยี่ยนจ้าวเกอจึงทำได้เพียงทำหน้าเศร้า แล้วพูดอย่างช้าๆ ว่า ”ตอนที่ข้าอยู่ที่เทือกเขามฤคลับตา ก็ได้รับข่าวนี้แล้ว”
“เพียงแต่ตอนนั้นยังมีภารกิจสำคัญติดตัวอยู่ จึงทำได้เพียงแต่เห็นแก่ส่วนรวมก่อนส่วนตัว”
“ตอนนี้เรื่องของศิษย์น้องเฟิงก็เสร็จสิ้นไประดับหนึ่งแล้ว ข้าจึงอยากขอตามหาตัวคนร้ายด้วยตนเอง เพื่อเป็นการสั่งเสียให้กับวิญญาณที่อยู่บนสวรรค์ของศิษย์น้องหลิน”
เหยียนซวี่มองเยี่ยนจ้าวเกอแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “ข้าว่าเจ้าอย่าทำตัวให้น่าสงสัยจะดีกว่า”
เยี่ยนจ้าวเกอมองไปยังเหยียนซวี่ ทว่าเหยียนซวี่ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย “ที่เมืองใกล้ปราการมีข่าวลือที่ไม่ดีเกี่ยวกับเจ้ามากมาย”
ผู้อาวุโสฉินขมวดคิ้วพลางเอ่ยถามว่า “ข่าวลืออะไร”
เหยียนซวี่กล่าวตอบ “ข่าวลือบอกว่าเยี่ยนจ้าวเกอและซือคงจิง ศิษย์หญิงอีกคนหนึ่ง มีท่าทีสนิทสนมกันตอนที่อยู่ในหุบเหวปราการมังกร ยิ่งเดินทางยิ่งใกล้ชิด”
“เมื่อหลินอวี้เสาได้ยินข่าวนี้ก็อยู่เฉยไม่ได้ จึงรีบเร่งมาที่ถังตะวันออก”
เขายังกล่าวไม่ทันจบ ผู้อาวุโสก็เข้าใจความหมายที่ต้องการจะสื่อแล้ว “ข่าวลือเช่นนี้ไม่มีมูลพอให้เชื่อ”
“หลินอวี้เสาแม้จะเป็นคนของถังตะวันออก แต่ก็ไม่ได้มีคู่แค้นแต่อย่างใด” เหยียนซวี่กล่าวว่า “อีกทั้งหลินอวี้เสายังสิ้นชีพด้วยวิชาฝ่ามือดุสิต ซึ่งเป็นวิชาสืบทอดของสำนัก”
เขามองไปที่เยี่ยนจ้าวเกอ “ข้าได้ตรวจสอบด้วยตัวเองมาแล้ว ผู้ที่ลงมือน่าจะมีวรยุทธ์ระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้น”
“พิธีโลหิตจิตหวนเวลา ก็ใช้ได้แค่ในสถานการณ์ที่ทั้งสองฝ่ายยังมีชีวิตอยู่ทั้งคู่เท่านั้น”
“หากทั้งสองฝ่ายเตรียมการกันมาก่อน ความคิดก็จะต้องเหมือนกันอย่างแน่นอน ซึ่งสามารถกำหนดผลที่จะออกมาไว้ก่อนได้ ฉะนั้นทั้งเจ้ากับคนของเจ้า และสหายเฟิงคนนี้จึงไม่เหมาะสมที่จะใช้”
“การตายของหลินอวี้เสาตอนนี้ ยังถือว่าเป็นการจากไปอย่างไร้หนทางตรวจสอบความจริง”
เหยียนซวี่หันกลับไปมองผู้อาวุโสฉิน “ตอนนี้จะพูดอะไรก็ยังถือว่าเร็วเกินไป แต่ข้าคิดว่าอย่างน้อยเรื่องนี้เยี่ยนจ้าวเกอควรจะหลีกเลี่ยงการกระทำที่ก่อให้เกิดความสงสัย”
ผู้อาวุโสฉินได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าช้าๆ
ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอกลับแสยะยิ้มออกมา
ผู้อาวุโสขมวดคิ้ว “จ้าวเกอ จงระวังกาลเทศะด้วย”
เยี่ยนจ้าวเกอหุบยิ้ม แล้วพยักหน้าอย่างจริงจัง “หากเป็นระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้นแล้วล่ะก็ ข้าไม่ใช่ระดับนี้แล้วขอรับ”
สิ้นคำพูด เขาก็ปลดปล่อยปราณจิตราออกมา หลอมเป็นอาวุธ แล้วลอยไปรอบๆ ร่างกายของตนเอง
เหยียนซวี่ก็ลุกขึ้นยืนในทันทีทันใด จนเก้าอี้ข้างหลังเกือบจะล้มคว่ำ
ก่อนหน้านี้เยี่ยนจ้าวเกอไม่ยอมลงมือ กักเก็บปราณจิตราไว้ ทำให้เขาเพิ่งพบว่าชายหนุ่มมีวรยุทธ์ถึงขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลางแล้ว “แต่…เป็นไปได้อย่างไร?” เหยียนซวี่พูดตะกุกตะกัก “ภายใต้การจับตามองของข้าก่อนหน้านี้ไม่นานนัก เจ้าเพิ่งบรรลุจากขั้นจิตราชั้นในเป็นขั้นจิตราชั้นนอกเท่านั้นเอง!”
………….