ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 64 การกระทำสำคัญกว่าคำพูดเสมอ
‘เพิ่งจะผ่านจากการบรรลุจากระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นในถึงขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้นมานานเท่าไร?’
เหยียนซวี่จ้องเยี่ยนจ้าวเกอตาเขม็งโดยไม่ละสายตา พูดไม่ออกอยู่นาน
‘ก่อนหน้านี้เขาปกปิด เก็บซ่อนวรยุทธ์ของตนเองมาตลอดอย่างนั้นหรือ?’ ความคิดแรกแล่นเข้ามาได้หัวของเหยียนซวี่
นอกจากความคิดนี้แล้ว เขาก็คิดเหตุผลอื่นที่ทำให้ตนเองยอมรับได้ไม่ออก
หลายปีที่ผ่านมา เหยียนซวี่เองก็ถือว่าพบพานสิ่งต่างๆ มามาก ยิ่งเป็นสำนักในดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างเขากว่างเฉิงด้วยแล้ว ยอดอัจฉริยะมากความสามารถก็พบเจอมานับไม่ถ้วน
ต่อให้เป็นตอนที่เขายังเป็นวัยรุ่น บุคคลที่เป็นเลิศในระดับคนรุ่นเดียวกัน และเคยพบเจอสัมผัสด้วยตนเองก็มีมากมาย
เหยียนซวี่ที่สามารถก้าวมาจนถึงระดับมหาปรมาจารย์ได้ ก็ใช่ว่าคนทั่วไปจะเทียบเคียงได้เช่นกัน
ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน ประสบการณ์ที่เคยฟังเรื่องเล่าขานของบุคคลหลากหลายในตำนานก็มากมายสารพัด
ทว่าก็ยังไม่เคยมีใครที่สามารถบรรลุจากขั้นจิตราชั้นในระยะท้ายจนถึงขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้นได้อย่างรวดเร็ว และบรรลุถึงขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลางต่อได้ในทันที
เยี่ยนตี๋ บิดาของเยี่ยนจ้าวเกอ สมัยนั้นเขาก็เพิ่มระดับวรยุทธ์เร็วจนทำให้คนทั้งโลกตกตะลึง เขาใช้เวลาเพียงสั้นๆ ด้วยหนทางที่อัจฉริยะคนอื่นทำตามทั้งชีวิตก็ไม่แน่ว่าอาจจะทำสำเร็จ
ทว่าตอนนี้ได้เห็นการเลื่อนขั้นจากขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้นถึงขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลางนี้ แม้แต่เยี่ยนตี๋ก็สู้เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้
แม้ว่าจะแตกต่างกันไปตามแต่ละคน จริงอยู่ที่ว่าบางคนอาจจะมีการเพิ่มขึ้นของบางระดับหรือหลายๆ ระดับด้วยความเร็วที่เร็วมาก ไม่เพียงแต่เร็วกว่าคนทั่วไป ยังราบรื่นยิ่งกว่าตอนที่ตนเองฝึกฝนในเวลาปกติเสียอีก
ทว่าเหมือนอย่างเยี่ยนจ้าวเกอเช่นนี้ รวดเร็วเกินไปแล้ว!
ผิดจากมุมมองและสามัญสำนึกของเหยียนซวี่ไปหมดแล้ว
เหยียนซวี่เป็นถึงขนาดนี้ คนอื่นๆ ที่รู้เห็นด้วยคงไม่ต้องเอ่ยปากพูดอะไร ได้แต่ตะลึงอ้าปากค้างกันหมด
ส่วนผู้ที่ยังไม่รู้เรื่องราวละเอียด พอได้ฟังคำอธิบายต่างก็ตัวแข็งทื่อกลายเป็นหิน
แม้จะมีคำพูดที่ว่า อัจฉริยะที่ตายไปไม่ถือเป็นอัจฉริยะ มีเพียงผู้ที่สามารถใช้ศักยภาพที่มีเปลี่ยนเป็นพลังความสามารถที่แท้จริงเท่านั้น จึงจะเป็นอัจฉริยะที่แท้จริง
ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่เบื้องหน้า กลับเกินออกไปไกลมากจากความเข้าใจของทุกคน
ก็มีคำกล่าวว่าคลื่นใหญ่เซาะดินทราย อัจฉริยะที่สามารถเติบโตจนถึงความคาดหวังสูงสุดอย่างแท้จริงมีอยู่น้อยนิด แต่ศักยภาพที่เยี่ยนจ้าวเกอแสดงออกมาในตอนนี้ ทำให้คนยากจะเชื่อว่าเขาจะตายก่อนวัยอันควรจริงๆ
เฟิงอวิ๋นเซิงที่มองภาพนี้อยู่ข้างๆ ในใจรู้สึกตระหนักรู้มากขึ้น
ตอนแรกที่นางรู้ว่าเยี่ยนจ้าวเกอใช้เวลาสั้นๆ เช่นนี้ ในการบรรลุจากขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้นถึงขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลางนั้น นางก็ตกตะลึงไปไม่น้อยเช่นกัน
ตอนนี้มีคนมากมายที่เป็นเช่นเดียวกัน ในที่สุดเฟิงอวิ๋นเซิงก็รู้สึกได้รับความมั่นใจคืนมาเล็กน้อย “เดิมทีก็ไม่ใช่เพราะข้าหูตาแคบจริงๆ”
นางพินิจพิจารณาเยี่ยนจ้าวเกอ แล้วกระซิบด้วยน้ำเสียงที่มีแต่ตนเองเท่านั้นที่ได้ยินออกมาประโยคหนึ่ง
“แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็ไม่เหมือนกับเรื่องที่คนจะทำได้…”
แรกเริ่มผู้อาวุโสฉินก็ชะงักงันไปเล็กน้อยเช่นกัน สถานการณ์ของเยี่ยนจ้าวเกอนั้นพิเศษ ครั้งนั้นที่เยี่ยนจ้าวเกอบรรลุจากขั้นจิตราชั้นในถึงขั้นจิตราชั้นนอกที่หุบเหวปราการมังกร ก็มีรายงานมายังเขาและทางสำนักโดยเฉพาะ
ดังนั้นผู้อาวุโสฉินจึงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ทว่าบัดนี้ที่ปราณจิตราของเยี่ยนจ้าวเกอหลอมรวมเป็นอาวุธลอยอยู่รอบๆ ก็เป็นการพิสูจน์แล้วว่า ตอนนี้เขาอยู่ในระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลางแล้วจริงๆ
“ดี ดีมาก”
ผู้อาวุโสฉินหายใจเข้าลึก แล้วพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง
ก่อนหน้านี้เยี่ยนจ้าวเกอจงใจปกปิดระดับวรยุทธ์ เจตนาทำให้เกิดผลที่ตามมายิ่งใหญ่หรือไม่ ตอนนี้ผู้อาวุโสฉินยังไม่สนใจ ค่อยตรวจสอบให้แน่ชัดภายหลังก็ได้
ทว่าสำหรับเขากว่างเฉิงในตอนนี้แล้ว ตรงหน้าถือกำเนิดยอดมังกรที่สามารถจัดการปีศาจอัจฉริยะอื่นๆ ได้เช่นนี้ นับเป็นเรื่องที่เพิ่มพูนกำลังใจให้กับผู้คนอย่างยิ่งยวดโดยไม่ต้องสงสัย
ในที่สุดเหยียนซวี่ก็ได้สติกลับมา แล้วพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้น ไม่สามารถลอกเลียนการลงมือของปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลางได้”
“แต่ถ้ากลับกัน นั่นเป็นเรื่องง่ายยิ่งนัก”
เยี่ยนจ้าวเกอพูดอย่างไม่รู้สึกรู้สาว่า “วรยุทธ์สูงกว่าระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้น ทั้งยังฝึกฝนฝ่ามือดุสิตของสำนัก ใครเป็นคนกระทำก็เป็นเรื่องง่ายเช่นกันขอรับ”
ดวงตาทั้งสองของเหยียนซวี่ค่อยๆ หรี่ลง สายตาที่มองเยี่ยนจ้าวเกอกลายเป็นเย็นเยียบ
เยี่ยนจ้าวเกอสีหน้าสุขุมใจเย็น “ผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านผู้อาวุโสเคยตรวจสอบศพแล้ว ก็น่าจะทราบว่าศิษย์น้องหลินถูกสังหารเมื่อใด”
เหยียนซวี่ก็รีบรายงานช่วงเวลาออกมาทันที
เขามองเยี่ยนจ้าวเกอ “ช่วงเวลาคือ ก่อนที่เจ้าจะพบกับกลุ่มคนของจ้าวซื่อเลี่ย จ้าวหยวน และจ้าวเฉิง”
“ในตอนนั้นคนที่อยู่กับเจ้ามีเพียงองครักษ์ของเจ้าและนาง” เหยียนซวี่กล่าวพลางมองเฟิงอวิ๋นเซิงครั้งหนึ่ง “ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นพยานให้เจ้าไม่ได้”
ฝั่งหนึ่งเป็นคนสนิทที่เยี่ยนตี๋จัดเตรียมมาให้กับเยี่ยนจ้าวเกอ แน่นอนว่าต้องเชื่อฟังคำสั่งของเยี่ยนจ้าวเกออยู่แล้ว
อีกฝั่งหนึ่งก็ต้องการความช่วยเหลือจากเยี่ยนจ้าวเกอ ต้องการให้เขาช่วยนางฟื้นฟูจันทรากาย จึงพามาเพื่อให้เข้าสำนัก
หลังจากที่เยี่ยนจ้าวเกอครุ่นคิดอยู่เงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก็ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่บังเอิญ ตอนนั้นข้าได้พบกับศิษย์น้องเฟิงผู้นี้พอดี เพื่อจะปกป้องนาง ข้ายังอัดเซียวเซิงและเฉาหยวนหลงไปยกหนึ่ง”
“หากคำพูดจากคนของข้า และศิษย์น้องเฟิงยังไม่เพียงพอแก่การเป็นพยานยืนยันได้ เช่นนั้นท่านไม่ขอคำยืนยันจากเซียวเซิงแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ไปเลยเล่า”
ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็เงียบสงัดครู่หนึ่ง
พวกเขาก็รับรู้ได้ถึงคำพูดที่ไม่ปกติของเยี่ยนจ้าวเกออย่างรวดเร็ว
ฟังจากความหมายของเยี่ยนจ้าวเกอก็คือ ไม่เพียงแต่เฉาหยวนหลวงเท่านั้น แม้แต่เซียวเซิงก็พ่ายแพ้ให้กับเยี่ยนจ้าวเกออย่างนั้นหรือ?
ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างก็รู้กันดีว่าคนที่ไล่จับเฟิงอวิ๋นเซิงก็คือเซียวเซิง และก็รู้เช่นกันว่าเพื่อปกป้องนาง เยี่ยนจ้าวเกอจึงปะทะกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์
แต่ในตอนนั้นคิดเพียงว่าคงไม่ใช่การปะทะกันซึ่งๆ หน้ากับเซียวเซิง อย่างมากที่สุดก็แค่ประมือกับเฉาหยวนหลงและศิษย์คนอื่นๆ ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง
ตอนนี้ทราบว่าเยี่ยนจ้าวเกอบรรลุระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลางแล้ว เช่นนั้นต่อให้เจอกับเซียวเซิงก็คงจะสามารถเอาตัวรอดได้
แต่ว่าถ้ายังต้องคุ้มกันเฟิงอวิ๋นเซิงด้วยแล้ว ก็เป็นเรื่องยากใช่เล่น นั่นทำให้ทุกคนตกตะลึงอย่างมาก
อย่างไรเสียเซียวเซิงก็ไม่ใช่คนที่ปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกทั่วไปจะสามารถเทียบเคียงได้
ทว่าดูจากตอนนี้แล้ว ความเป็นจริงก็อยู่เหนือการคาดเดาของทุกคนอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้ความสนใจของทุกคนล้วนอยู่ที่จันทรากายของเฟิงอวิ๋นเซิง และการเข้าโจมตีของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ในภายหลัง
ทว่ากลับมองข้ามไปว่าเยี่ยนจ้าวเกอrkตัวเฟิงอวิ๋นเซิงออกมาจากเงื้อมมือของเซียวเซิงได้อย่างไร อีกทั้งยังพากลับมาที่ถังตะวันออกอีกด้วย
เหยียนซวี่จ้องเยี่ยนจ้าวเกอ “เจ้าจะบอกว่าเจ้าเอาชนะเซียวเซิงได้อย่างนั้นหรือ?”
เยี่ยนจ้าวเกอทำเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ท่านผู้อาวุโสเหยียนก็ทราบแล้วว่าข้าเคยพบกับท่านจ้าวซื่อเลี่ย จิ่นอ๋องแห่งถังตะวันออก และท่านพี่จ้าวหยวนไม่ใช่หรือ”
“ดูแล้วมีบางเรื่อง ที่ท่านยังไม่รู้สินะขอรับ”
เหยียนซวี่ขมวดคิ้ว “เจ้าอยากจะพูดอะไร”
ชายหนุ่มสองมือไพล่หลัง แล้วยิ้มเล็กน้อย “ก็ไม่มีอะไรขอรับ เพราะอย่างไรหลังจากที่จัดการกับเรื่องที่อยู่ตรงหน้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้าก็จะไปรายงานกับท่านผู้อาวุโสฉินอยู่พอดี”
“หากท่านผู้อาวุโสฉินไม่ถือสาแล้วล่ะก็ ระดับของท่านผู้อาวุโสเหยียนสามารถนั่งฟังร่วมกันได้”
เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างไม่รีบร้อนว่า “ส่วนเรื่องที่ข้าสามารถเอาชนะเซียวเซิงได้จริงหรือไม่ หากต้องการจะพิสูจน์นั้นง่ายนิดเดียวขอรับ”
“การกระทำย่อมสำคัญกว่าคำพูดเสมอ”
“ปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้ายของสำนักที่อยู่ที่นี่ ใครก็ได้สักคนหนึ่ง มาประลองกับข้า”
บ้าคลั่ง!
นี่คือความคิดแรกที่อยู่ในใจของทุกคน
เหยียนซวี่ไม่กล่าวอะไรแม้แต่คำเดียว จ้องเยี่ยนจ้าวเกอเขม็งครู่หนึ่งแล้วหันไปมองผู้อาวุโสฉิน
บนใบหน้าของผู้อาวุโสฉินเผยให้เห็นสีหน้าสนอกสนใจ ทว่าก็ไม่ร้อนใจ นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่พูดอะไร
เหยียนซวี่เห็นดังนั้นก็รู้ว่าผู้อาวุโสฉินอนุญาตแล้ว เขาจึงหันไปออกคำสั่ง ไม่นานนักชายกำยำร่างสูงใหญ่คนหนึ่งก็เดินเข้ามา
“เจ้าสองคนก็ลองประลองกันหน่อยแล้วกัน ข้าจะปกป้องตำหนักให้เอง”
เมื่อเหยียนซวี่พูดจบก็เห็นผู้อาวุโสฉินส่ายหน้าไปมา “ถึงอย่างไรพื้นที่ตรงนี้ก็มีจำกัด ไม่สามารถใช้จุดเด่นการลอยตัวของปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้ายได้ ในเมื่อต้องการประลอง ก็ออกไปข้างนอกกันเถอะ”
เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อย “อันที่จริงก็ไม่แตกต่างกันหรอกขอรับ”
พูดยังไม่จบ เขาก็ส่งแรงไปที่ฝ่าเท้า พลังที่รุนแรงพลันระเบิดออกมา!
เพียงแค่ก้าวเดียว เยี่ยนจ้าวเกอก็ไปถึงตรงหน้าของชายร่างกำยำคนนั้นแล้ว!
…………