ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 68 จ้าวฮ่าวเป็นคนดีจริงด้วย
จ้าวซื่อเฉิงมองเยี่ยนจ้าวเกอครั้งหนึ่ง แล้วพยักหน้าช้าๆ “ข้ารู้จ้าวเกอ ว่าเจ้าอยากจะพูดอะไร”
เมื่อไม่มีคนอื่น จ้าวซื่อเฉิงจะไม่ได้ใช้คำพูดเป็นทางการกับเยี่ยนจ้าวเกออีก แต่เปลี่ยนเป็นการเรียกทั่วไปแทน
“หากจะบอกว่าบรรลุฉับพลัน เช่นนั้นการเปลี่ยนแปลงของฮ่าวเอ่อร์ ก็อาจจะดูมากเกินไป และกะทันหันเกินไป”
“นิสัยของเขาเปลี่ยนไปมาก จนไม่ต้องพูดถึงเมื่อก่อนเลย ส่วนความสามารถทางโอสถ ต่อให้เป็นข้าก็คงจะเทียบไม่ได้เช่นกัน ทางด้านวรยุทธ์ เบื้องต้นข้ายังมองไม่ออก แต่ความก้าวหน้าในช่วงครึ่งปีมานี้นับว่าเหนือกว่าเมื่อก่อนมากโข”
ราชาแห่งอาณาจักรถังตะวันออกตรงไปตรงมาอย่างมาก ไม่มีการดูถูกเพราะว่าเยี่ยนจ้าวเกอเป็นคนรุ่นหลังแต่อย่างใด
สำหรับจ้าวฮ่าวที่ก่อนหน้านี้ไม่เป็นที่น่าสนใจเสมอมา หากจ้าวซื่อเฉิงจะบอกว่าเขารู้มากเพียงใด นั่นก็คงไม่ใช่
ถึงกระนั้นหลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงกับตัวของจ้าวฮ่าวแล้ว ขอเพียงแค่จ้าวซื่อเฉิงยินยอม แน่นอนว่าสามารถตรวจสอบทุกๆ เรื่องขององค์ชายสิบหกผู้นี้ได้ตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบันอย่างแจ่มแจ้ง มิเช่นนั้นเขาก็คงไม่เหมาะที่จะเป็นราชาอาณาจักร
“ถ้าจะบอกว่าได้พบกับปาฏิหาริย์ที่ยิ่งใหญ่ ได้รับมรดกตกทอดมา หรือมีผู้ยิ่งใหญ่รับเป็นลูกศิษย์ ก็พอจะอธิบายได้อยู่”
“แต่ศาสตร์แห่งการกลั่นโอสถ ไม่เพียงแต่ต้องมีพรสวรรค์ ทว่าก็ต้องสั่งสมการฝึกฝนอย่างหนักด้วยเช่นกัน ฮ่าวเอ๋อร์ก้าวมาถึงจุดสูงสุดเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
จ้าวซื่อเฉิงส่ายหนเบาๆ “แต่ว่า เรื่องพวกนี้ค่อยตรวจสอบในภายหลังก็ได้ ข้างกายข้ามีลูกหลานที่ยิ่งกว่าเป็นเลิศคนหนึ่ง สำหรับถังตะวันออกแล้วก็เป็นเรื่องที่ดีอย่างไม่ต้องสงสัย”
เยี่ยนจ้าวเกอฟังไปพลาง พึมพำกับตนเองไปพลาง
สำหรับผู้ที่อยู่เบื้องบน หากผู้ที่อยู่เบื้องล่างมีความสามารถคงไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือทุกอย่างยังอยู่ในขอบเขตที่ตนควบคุมได้หรือไม่
เพียงแค่ตนเองไม่สูญเสียการควบคุมสถานการณ์ไป เช่นนั้นเบื้องล่างยิ่งความสามารถมากก็ยิ่งดี
หลายครั้ง รอยแตกบางรอยที่มองไม่เห็น ใช่ว่าคนอื่นจะมองไม่ออก เพียงแต่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วสังเกตการณ์อยู่เงียบๆ ก็เท่านั้น
จ้าวซื่อเฉิงก็ยังเป็นเช่นนี้ บิดาของเยี่ยนจ้าวเกอ เยี่ยนตี๋ก็ยิ่งหลอกลวงถูไถไปก่อนไม่ได้
ดังนั้นตั้งแต่ที่เยี่ยนจ้าวเกอมาถึงโลกใบนี้ ทุกสิ่งอย่างจึงเป็นไปตามลำดับขั้นอย่างช้าๆ
ไม่พูดว่าจะไม่ทำให้คนไม่สงสัยเลย แต่อย่างน้อยๆ ก็ไม่ควรจะมีความแตกต่างจากในอดีตจนเกินไป
แม้ว่าจะนำเตาผลึกหินชั้นในกลับมาได้อีกครั้ง แต่นั่นเป็นการประดิษฐ์สิ่งของขึ้น ไม่ใช่ระดับความสามารถในศาสตร์แห่งการหลอมอาวุธของตนเอง ฝีมือด้านวิชาหลอมอื่นๆ ของตัวเยี่ยนจ้าวเกอเองก็ถือว่าอยู่ในระดับกลางที่เยื้องสูง
ส่วนวิชาเข็มทองผ่านโอสถที่ถูกนำกลับมาอีกครั้ง นั่นเป็นเพียงเคล็ดวิชาหนึ่งเท่านั้น ระดับความสามารถโดยรวมในการกลั่นโอสถของเขาเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ อยู่แล้ว นับว่าสร้างความประทับใจที่มีต่อตนเองให้กับคนอื่นๆ ทีละนิดๆ
ส่วนการเปลี่ยนแปลงด้านวรยุทธ์ และการได้รับมาซึ่งของแปลกประหลาดต่างๆ โดยส่วนมากสามารถใช้คำว่า ‘ได้รับมาโดยบังเอิญ’ หรือ ’บรรลุอย่างกะทันหัน’ มาอ้างอธิบายได้
ตอนนี้เดินช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร แต่อนาคตอันใกล้จะกางปีกโบยบินผงาด
แท้จริงแล้วมีบางครั้งที่คิดๆ ดูแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็อดขำไม่ได้ ‘จ้าวฮ่าว ช่างเป็นคนดีเสียจริง’
ความสำเร็จที่เยียนจ้าวเกอได้รับในตอนนี้ แน่นอนว่ามีมากกว่าจ้าวฮ่าวอยู่แล้ว
แต่เมื่อเทียบกับจ้าวฮ่าวที่เปิดเผยความสามารถอย่างตรงไปตรงมา ราวกับจะไม่เกรงกลัวสิ่งใด เยี่ยนจ้าวเกอกลับดูแล้วปกติกว่า
และแน่นอนว่านี่ก็เป็นเพียงการเปรียบเทียบเท่านั้น
ในสายตาของผู้คนจำนวนมาก เยี่ยนจ้าวเกอก็ผงาดขึ้นมาอย่างไร้ที่ติเช่นเดียวกัน
ทว่าเจ้าของร่างเดิมเมื่อก่อนก็มีอุปนิสัยแบบนี้เช่นกัน ดังนั้นความแตกต่างทั้งก่อนและหลังจึงไม่ได้มากเท่าใดนัก
ด้วยเหตุนี้ การที่เยี่ยนจ้าวเกอบอกกับเฟิงอวิ๋นเซิงว่าตนเองไม่อวดเบ่งนั้น นั่นก็เพราะรู้สึกว่าตนเองไม่อวดเบ่งจริงๆ
สำหรับสายตาที่ไม่คิดเช่นนั้นของเฟิงอวิ๋นเซิง เยี่ยนจ้าวเกอแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าตนน้อยใจยิ่งนัก…
นิสัยที่ชอบอวดความสามารถของตนเอง เขากำลังพยายามควบคุมมันไว้อย่างเต็มกำลัง!
จ้าวซื่อเฉิงทอดถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกจนใจอยู่บ้าง “ความสามารถที่ฮ่าวเอ๋อร์แสดงออกมาในขณะนี้ อย่าว่าแต่เจ้าใหญ่ หรือเจ้าสามเลย แม้จะเป็นเจ้าสี่ก็สู้ไม่ได้”
เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อย นอกจากองค์ชายใหญ่จ้าวหยวน กับองค์ชายสามจ้าวเฉิงแล้ว อันที่จริงภายในราชวงศ์ถังตะวันออกยังมีจ้าวหมิง องค์ชายสี่อีกด้วย
ลำพังแค่พรสวรรค์ด้านวรยุทธ์ ไม่นับรวมจ้าวฮ่าวที่จู่ๆ ก็กลายเป็นม้ามืด จ้าวหมิงนับเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาโอรสทั้งหลายที่รายล้อมจ้าวซื่อเฉิง ในขณะเดียวกันก็ยังเป็นอัจฉริยะท่ามกลางคนรุ่นเยาว์ทั่วทั้งอาณาจักรถังตะวันออก
หลายปีก่อน จ้าวหมิงฝากตัวเข้าเป็นศิษย์เขากว่างเฉิงเพื่อร่ำเรียนวิชาวรยุทธ์ เป็นลูกศิษย์อย่างเป็นทางการของเขากว่างเฉิง
เขากว่างเฉิงทรงอำนาจมากที่สุดในนภาพิภพ จอมยุทธ์มากฝีมือล้วนแต่เข้ามาอยู่ในกำมือ ซึ่งผู้ที่เป็นอัจฉริยะของนภาพิภพต่างก็รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เข้าเป็นศิษย์ของสำนัก
เพียงแต่ว่าจ้าวหมิงที่เข้ามาร่ำเรียนที่เขากว่างเฉิงแล้ว ถ้าหากไม่มีเหตุฉุกเฉินที่ใหญ่หลวงใดๆ ตำแหน่งราชาแห่งถังตะวันออกก็จะหมดวาสนากับเขาแล้ว
อาณาจักรถังตะวันออกและอาณาบริเวณใกล้เคียงขึ้นตรงกับเขากว่างเฉิง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าทั้งหมดของถังตะวันออกจะกลายเป็นเบื้องล่างที่เป็นส่วนหนึ่งของเขากว่างเฉิง
สามารถฝึกฝนวรยุทธ์ในเขากว่างเฉิงได้ หรือสามารถครอบครองตำแหน่งราชาแห่งถังตะวันออก ท้ายที่สุดแล้วสิ่งใดจะดีกว่ากันแน่ ปัญหานี้ก็ขึ้นอยู่กับความคิดและความเข้าใจของแต่ละบุคคล
ทว่าสำหรับตัวจ้าวหมิงแล้ว เขากลับอยากฝึนฝนวรยุทธ์เพียงเท่านั้น และเต็มใจที่จะเข้าศึกษาวิชาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์มากกว่า
เขาฝากตัวเข้าเป็นศิษย์เขากว่างเฉิง แม้จะดูเหมือนว่าหลุดพ้นจากอาณาจักรถังตะวันออกแล้ว ทว่าถังตะวันออกก็ยังสามารถนำตัวเขากลับไปเสริมกำลังได้เสมอ ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างถังตะวันออกและเขากว่างเฉิงแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นไปอีก
จ้าวซื่อเฉิงเทใจให้กับเขากว่างเฉิงมาโดยตลอด จึงไม่พยายามสร้างเรื่องที่ทำให้เกิดปัญหากับทั้งสองฝ่ายอย่างแน่นอน นอกจากโอรสคนที่สี่ที่เข้าเป็นศิษย์เขากว่างเฉิงแล้ว โอรสองค์อื่นๆ ที่เหลือล้วนอยู่ที่ถังตะวันออก
นอกจากนี้ที่คู่ควรแก่การเอ่ยถึงอีกเรื่องหนึ่งก็คือ โอรสคนรองของจ้าวซื่อเลี่ยนั้น กลับเข้าเป็นศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์
ด้วยเหตุนี้ความสัมพันธ์ระหว่างจ้าวซื่อเลี่ยและสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จึงยิ่งแน่นแฟ้นกว่าปกติ ช่วยขยายอิทธิพลของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่หยุดหย่อน
เยี่ยนจ้าวเกอและจ้าวซื่อเฉิงต่างก็เข้าใจซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี จึงไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ ชายหนุ่มพูดขึ้นอย่างช้าๆ ว่า “จ้าวฮ่าวเป็นอะไรกันแน่ ข้าเองก็ไม่มั่นใจนัก แต่จากการคาดเดาของข้า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเขา น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ยอดฝีมือในอดีต เขาอาจจะได้รับการสืบทอดมาจากนักปราชญ์ระดับสูง เซียนกระบี่ตันหั่วาก็เป็นได้”
พูดถึงตรงนี้ ก็เพียงพอแล้ว
จ้าวซื่อเฉิงพยักหน้า ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ “เชี่ยวชาญในวิชากระบี่ เชี่ยวชาญในวิชากลั่นโอสถ โอสถหมอกควันสลาย…อืม มีความเป็นไปได้จริงอย่างที่เจ้าว่า”
เขาเงยหน้ามองเยียนจ้าวเกอแวบหนึ่ง “หากข้าจำไม่ผิด มีคำร่ำลือกันว่าเซียนกระบี่ตันหั่วกับเขากว่างเฉิงมีความความสัมพันธ์ที่ไม่สู้ดีนัก ถูกต้องหรือไม่”
เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “เรื่องนั้นข้าเองก็ไม่รู้แน่ชัด แต่มีเรื่องนี้อยู่จริง ไม่ผิดพะยะค่ะ”
“นอกจากนี้ ก็ไม่รู้ว่ายอดนักปราชญ์ได้ทิ้งข้อมูลใดไว้หรือไม่ และก็ไม่รู้เช่นกันว่าจ้าวฮ่าวสืบทอดอะไรจากตรงนั้นมาบ้าง จึงทำให้เขาเหมือนกับจะมองสำนักข้าเป็นศัตรูอยู่เล็กน้อย”
จ้าวซื่อเฉิงถอนหายใจครั้งหนึ่ง “ข้าฟังจากที่เบื้องล่างมารายงาน ก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน”
“วางใจเถอะ ข้าจะจัดการแก้ปัญหาเอง หากไม่มีความคืบหน้าก็จะจัดการด้วยวิธีอื่น”
ไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวกับเยียนตี๋ จ้าวซื่อเฉิงเองก็ไม่ปล่อยให้โอรสที่เห็นเขากว่างเฉิงเป็นศัตรูเป็นผู้สืบทอดของตนเช่นกัน
หากเป็นการทุ่มกำลังอบรมบ่มเพาะวรยุทธ์ นั่นเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว ทว่าตำแหน่งราชานั้นอย่าได้หวัง
เยี่ยนจ้าวเกอคำนับครั้งหนึ่ง “ท่านลุงมีวิธีการของท่านลุงเอง จ้าวเกอไม่กล้าพูดมาก เรื่องที่พูดคุยกันในวันนี้ก็เป็นการเสียมารยาทมากแล้ว”
จ้าวซื่อเฉิงโบกไม้โบกมือ “ไม่เป็นไรหรอก บิดาเจ้ามีบุตรเช่นเจ้า มีผู้สืบทอด นับเป็นบุญวาสนา ข้าก็ยังอิจฉาเขาเลย”
ชายหนุ่มเล็กน้อย “ข้าก็หวังว่าข้ากับพี่น้องทุกคน จะมีมิตรภาพที่แน่นแฟ้นเช่นท่านลุงกับท่านพ่อขอรับ”
ในฐานะที่เป็นราชาแห่งอาณาจักรคนหนึ่ง จ้าวซื่อเฉิงอาจจะใช้อารมณ์ตัดสินปัญหามากไปหน่อย
แต่ท่านลุงผู้นี้มีกัลยาณมิตรกับบิดาของตนเองมากพอแน่นอน และยังเป็นห่วงเป็นใยในตัวของเยี่ยนจ้าวเกอมากด้วย
จ้าวซื่อเฉิงและเยี่ยนจ้าวเกอคุยกันเป็นการส่วนตัว แน่นอนว่าเหยียนซวี่เองก็จับตามองอยู่
สีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนแปลง พลางเดินไปอีกด้านหนึ่งเพียงลำพัง
มีคนหนึ่งเดินตามหลังเหยียนซวี่ด้วยท่าทีกลัดกลุ้มเป็นอย่างมาก “เยี่ยนจ้าวเกออยู่ระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลาง ดันเอาชนะเซียวเซิงที่เป็นปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้ายได้เสียนี่”
“หากเป็นเช่นนี้ ทางฝั่งลวี่เวิ่นเกรงว่าจะ…”
ฝีเท้าของเหยียนซวี่ชะงักไปครั้งหนึ่ง สีหน้าหม่นลงเล็กน้อย
ลวี่เวิ่น เป็นลูกศิษย์ที่สืบสายตรงจากฟางจุ่น อาจารย์ลุงรองของเยี่ยนจ้าวเกอ และเป็นผู้ที่โดดเด่นอยู่ในลำดับต้นๆ ของคนรุ่นเยาว์แห่งเขากว่างเฉิงเช่นเดียวกับชายหนุ่ม ทั้งยังถือว่าเป็นหน้าเป็นตาอีกด้วย
เขาอายุมากกว่าและเริ่มฝึกฝนวรยุทธ์มาก่อนเยี่ยนจ้าวเกอ ปัจจุบันอายุยี่สิบห้าปี รุ่นราวคราวเดียวกับเซียวเซิง
เขากว่างเฉิงและสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน มีการบาดหมางกันมากทีเดียว
ก่อนจะเกิดความผิดปกติที่หุบเหวปราการมังกร ก็เป็นเยี่ยนจ้าวเกอที่สู้กับเฉาหยวนหลง ลวี่เวิ่นสู้กับเซียวเซิงมาโดยตลอด ทั้งสองฝ่ายต่างไม่มีใครยอมใคร ต่างคนต่างก็มีดีเป็นของตนเอง
ขณะนี้ลวี่เวิ่นกำลังเข้าฌานอยู่ที่เขากว่างเฉิง เขาที่เป็นปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้ายเช่นเดียวกับเซียวเซิง การเข้าฌานครั้งนี้ก็เพื่อที่จะทดลองก้าวข้ามอุปสรรค บรรลุสู่ระดับปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาให้ได้
ดูแล้วครั้งนี้ลวี่เวิ่นคว้าโอกาสเอาไว้ก่อน นำหน้าเซียวเซิงไปแล้วเล็กน้อย หากบรรลุถึงระดับปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาได้ก่อนก้าวหนึ่งล่ะก็ นั่นก็เหมือนกับการเดินนำคนอื่นไปแล้วก้าวหนึ่งจริงๆ
แต่ไม่มีใครคาดคิดเลยว่า การถือกำเนิดที่ทรงพลังยิ่งกว่าของเยี่ยนจ้าวเกอนั้น ไม่เพียงเหนือหว่าเฉาหยวนหลงที่เป็นคนหนุ่มในรุ่นเดียวกัน บัดนี้ก็ยังชนะข้ามขั้นอีกด้วย
ระดับวรยุทธ์ของเขา ก็ยิ่งเข้าใกล้กับลวี่เวิ่นมากขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากเหยียนซวี่เงียบไปนาน สีหน้าของเขาก็กลับมาเรียบนิ่งเช่นปกติ แล้วกล่าวอย่างเฉยชาว่า “ตอนนี้ทุกอย่างยังเร็วเกินไป”
……………..