ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 73 ถึงเวลาสร้างความดีความชอบอีกแล้ว
เยี่ยนจ้าวเกอในตอนนี้ภายนอกดูปกติไม่มีอะไรพิเศษ ทว่าภายในร่างกายของเขากลับแฝงไปด้วยพลังที่พร้อมจะระเบิดออกมา
ภายในจุดลมปราณทั่วร่างกายเหมือนกับมีมังกรน้ำแข็งตัวหนึ่ง และมังกรเพลิงตัวหนึ่งยึดครองอยู่
น้ำแข็งและเพลิงสับเปลี่ยน หยินหยางเบียดเสียด ในระหว่างการหมุนเวียนสับเปลี่ยนไปมา ต่างก็ช่วยกันเบิกทางซึ่งกันและกันอย่างไม่สิ้นสุด
ครั้นยกมือครั้งหนึ่ง ยกเท้าครั้งหนึ่ง ก็เหมือนกับมีมังกรน้ำแข็งและมังกรเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วนเคลื่อนไหวไปพร้อมกัน
เมื่อเยี่ยนจ้าวเกอมาถึงตรงหน้าทุกคน เขาก็ปล่อยตัวลงสู่พื้น แล้วจึงคำนับให้กับทุกคน
ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตอนนี้พลันฟื้นคืนจากความตกตะลึง เพียงแต่สายตาที่มองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอก็ยากที่เลี่ยงความประหลาดใจได้
ใช้เวลาหนึ่งเดือนบรรลุจากขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้น สู่ขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลาง และใช้เวลาครึ่งปีบรรลุจากขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลาง สู่ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้าย
หากพิจารณาดูเร็วๆ การบรรลุครั้งหลังเหมือนจะมีความเร็วลดลงกว่าครั้งแรก
ทว่าทุกคนในเหตุการณ์ต่างก็รู้ดี ว่าการเบิกทะลุของครั้งแรกนั้น จำเป็นต้องเข้าใจความหมายในระดับหนึ่งอย่างฉับพลัน ข้ามผ่านจุดยาก และหลอมปราณเป็นอาวุธ
ส่วนครั้งหลัง นั่นเป็นการฝึกฝนวรยุทธ์เพียงอย่างเดียว เมื่อสั่งสมปราณจิตราจนถึงระดับที่มากพอแล้ว จึงสามารถบรรลุได้
กล่าวอีกความหมายหนึ่งก็คือจำเป็นต้องใช้เวลา
ถึงกระนั้นกระบวนการที่จำเป็นต้องใช้เวลาเช่นนี้ เยี่ยนจ้าวเกอกลับใช้เวลาสั้นกว่าผู้อื่นมากจนไม่น่าเชื่อ
“เขาทำได้อย่างไรกัน?” ผู้คนรู้สึกเพียงว่าตาลายเวียนหัวเป็นพักๆ “หรือว่านี่ก็มีวิธีลัดอีก?”
ก็เหมือนกับวิชาเข็มวิเศษสุริยันของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ทุกอย่างที่เป็นวิธีสำเร็จรวบรัดนั้น ก็มักจะมีผลข้างเคียงที่รุนแรงตามมาด้วย
โดยส่วนมากแล้วสิ่งที่ต้องจ่ายนั้นมากเสียยิ่งกว่าผลกำไร หากไม่คับขันจริงๆ ก็ไม่มีผู้ใดคิดที่จะใช้มัน
อีกทั้งวิธีการที่คล้ายๆ กันนี้ก็ใช้ได้ครั้งเดียว ไม่สามารถใช้ได้อีก เพราะหลังจากการใช้หนึ่งครั้ง ผลสืบเนื่องก็จะปิดกั้นความเป็นไปได้ที่จะใช้อีกครั้ง
ดังนั้นทุกคนที่มองเยี่ยนจ้าวเกออยู่ตอนนี้ ล้วนมีสีหน้าเหมือนกับมองปีศาจทั้งหมด
เยี่ยนจ้าวเกอทำเป็นมองไม่เห็นสายตาพวกนั้น เขาบังคับปราณแล้วลอยตัวไปในอากาศ ก็แค่ต้องการเป็นจุดสนใจ และตอนนี้ก็ทำสำเร็จแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องกล่าวอะไรกันอีก
คำพูดนั้นกล่าวว่าอย่างไรนะ
ส่งสายตาให้เจ้าครั้งหนึ่ง ไปทำความเข้าใจด้วยตัวเจ้าเอง
‘อืม เช่นนี้แหละ’ เยี่ยนจ้าวเกอพอใจกับผลตอบรับเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่เอ่ยถึงประเด็นที่ทุกคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์เมื่อครู่นี้ เพียงแต่ถามเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นว่า “ทุกท่านรวมตัวกันอยู่ที่นี่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
หลายคนค่อยๆ หลุดออกจากภวังค์ มีคนหนึ่งพูดขึ้นมาก่อนว่า “หมอกดำภายในหุบเหวปราการมังกรเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่งอีกครั้งแล้ว อีกทั้งยังรุนแรงขึ้นมาก แม้แต่จอมยุทธ์ปรมาจารย์ทั่วไปก็ยากที่เข้าใกล้ได้”
“ความผิดปกติที่รุนแรงขึ้น ทำให้ท่านผู้อาวุโสฉินและท่านผู้อาวุโสเหยียนต้องเตรียมเข้าไปในหุบเหวปราการมังกร เพื่อควบคุมหมอกดำและตรวจสอบสาเหตุ”
ความผิดปกติขนาดใหญ่ครั้งนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ทว่าสำหรับเขากว่างเฉิง สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ และอาณาจักรถังตะวันออกแล้ว นี่ก็เป็นโอกาสดีที่จะจัดการกับปัญหาให้สิ้นซาก
มิเช่นนั้นหากแก้ไขเพียงแค่ปัญหา แต่ไม่จัดการกับต้นเหตุแล้วล่ะก็ ต่อไปก็จะกลายเป็นปัญหาระยะยาวที่ยิ่งต้องใช้เวลาและพละกำลังที่มากขึ้น
ก่อนหน้านี้ขุมกำลังอื่นคอยจับตามองอยู่ตลอด ก็เพื่อรอให้ปัญหาของหุบเหวปราการมังกรเปิดเผยออกมาจนหมดสิ้น แล้วค่อยหาสาเหตุต้นตอที่มาเพื่อจัดการกับมัน
ในขณะเดียวกันฝั่งอเวจีนั้น ก็เป็นต้นตอที่ว่า
เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า ตนเองออกฌานในช่วงเวลาที่เหมาะเจาะเสียจริง
จากนั้นเยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่ได้พูดอะไรมากอีก เขาไปพบผู้อาวุโสฉินและยอดฝีมือระดับสูงของเขากว่างเฉิงพร้อมกับอื่นๆ
นอกจากผู้อาวุโสฉินกับเหยียนซวี่แล้ว เขากว่างเฉิงยังมีคนผู้หนึ่งที่เร่งรีบเดินทางจากสำนักมายังเกาะนภาตะวันออก เพื่อช่วยจับตามองผู้อาวุโสสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ เขาเป็นมหาปรมาจารย์ที่มีฝีมือแก่กล้า และมีพลังที่แข็งแกร่งเช่นกัน
เมื่อผู้อาวุโสฉินเห็นเยี่ยนจ้าวเกอ เขาพลันพูดว่า “ครั้งนี้เจ้าไม่ต้องตามพวกข้าไปเข้าไปที่หุบเหวปราการมังกรแล้ว”
“เรื่องเร่งด่วนในตอนนี้ คือสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จะมีการเคลื่อนไหวอย่างไร แต่ก็พูดยากนัก สำนักเราต้องระมัดระวังไว้เป็นอันดับแรก จิตใจคอยระวังคนมิควรขาด”
เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวตอบว่า “ข้าเข้าใจขอรับ”
ผู้อาวุโสที่มาจากสำนักผู้นั้น จะคอยคุมการณ์อยู่ด้านนอก และปกป้องเยี่ยนจ้าวเกอ ขณะเดียวกันก็จะคอยจับตามองทิศทางการเคลื่อนไหวของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ด้วยเช่นกัน
เหยียนซวี่ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสคุมการณ์ที่คุ้นเคยกับสิ่งต่างๆ ของถังตะวันออกเป็นอย่างดี ก็จะคอยช่วยเหลืออยู่ด้านนอกด้วยเช่นกัน
ส่วนผู้อาวุโสฉินและคนอื่นๆ จะเข้าไปที่หุบเหวปราการมังกร
ทางด้านของอาณาจักรถังตะวันออก จ้าวซื่อเฉิง ราชาอาณาจักรก็เดินทางไปด้วยตนเอง
แม้ว่าเขาจะมีศักดิ์เป็นราชา ไม่ควรที่จะไปเสี่ยงอันตรายด้วยการนำทัพออกไปเช่นนี้ ทว่าในฐานะที่เป็นบุคคลเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถควบคุมค่ายกลของเมืองชมตะวันจากระยะไกลได้ ฉะนั้นจึงอยู่ในความรับผิดชอบของเขา
พื้นแผ่นดินของถังตะวันออกเชื่อมติดกับหุบเหวปราการมังกร หากใช้เมืองชมตะวันเป็นศูนย์กลางในการรวบรวมกำลังในพื้นที่ของอาณาจักรถังตะวันออก จะมีผลดีอย่างยิ่งในการควบคุมความผิดปกติของหุบเหวปราการมังกร
เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด บรรดายอดฝีมือทั้งหลายของเขากว่างเฉิงอันมีผู้อาวุโสฉินเป็นผู้นำ จะเดินทางไปพร้อมกันกับจ้าวซื่อเฉิงและบรรดาจอมยุทธ์ของถังตะวันออก
ทางสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งก็ส่งข่าวมาว่า อเวจีและหุบเหวปราการมังกรนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ให้ยึดเรื่องนี้เป็นหลักก่อน ดังนั้นยอดฝีมือของสำนักที่มีทะยานบูรพาเป็นผู้นำ ก็จะเดินทางเข้าสู่น้ำลึกปราการมังกรด้วยเช่นกัน
เขาไร้พรมแดนเองก็ส่งข่าวมาเช่นกัน ว่าจะไม่ปลีกตัวออกจากเรื่องนี้
เมื่อประชาชนชาของอาณาจักรถังตะวัน ผู้อยู่ในบริเวณชายแดนที่อันตรายทราบข่าวบ้าง ต่างก็ดีใจจนกระโดดโลดเต้นเป็นธรรมดา
ขณะนี้เมื่อมองอย่างผิวเผิน ทั้งสามดินแดนศักดิ์สิทธิ์เหมือนกับจะมีเป้าหมายเดียวกัน และละทิ้งความขัดแย้งต่างๆ ไปแล้ว
ทว่าภายในจะเป็นอย่างไรนั้น ก็มีเพียงคนที่อยู่ในเหตุการณ์เท่านั้นที่รู้
เยี่ยนจ้าวเกอยืนอยู่บนกำแพงเมืองใกล้ปราการ ทอดสายตามองไกลออกไป เขามองเห็นแนวเทือกเขามฤคลับตา ขณะเดียวกันก็มองเห็นหมอกดำมามายกำลังทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า จากอีกด้านหนึ่งที่ใกล้กับหุบเขา
ครึ่งหนึ่งของท้องฟ้าราวกับถูกปกคลุมไปด้วยหมอกดำ
อาหู่ที่ยืนอยู่ข้างๆ เยี่ยนจ้าวเกอก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาบ้าง “ไม่สามารถปลดปล่อยปราณจิตรา ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่สามารถเข้าใกล้แม้แต่บริเวณรอบนอกด้วย”
ชายหนุ่มลูบคาง “ประเด็นหลักจริงๆ แล้วอยู่ที่อเวจี ดินแดนศักดิ์สิทธิ์หลายแห่งต่างก็ส่งยอดฝีมือระดับต้นๆ ไปตรวจสอบมาก่อนแล้ว กำลังคนน่ากลัวเสียยิ่งกว่าที่นี่อีก ส่วนสำนักเรา บิดาข้าเป็นคนไปด้วยตัวเองแล้ว”
“นายท่านออกโรงด้วยตนเอง ไม่น่ามีปัญหาหรอกกระมัง คิดว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งอื่นๆ ก็คงมีผู้อาวุโสระดับสูงมาเช่นกัน” อาหู่กล่าวพลางลูบคางตาม
เยี่ยนจ้าวเกอมองไปรอบๆ “ที่จะมีปัญหาเอาง่ายๆ ก็ข้านี่ไงเล่า”
“ตอนนี้ข้ากลายเป็นผู้ชำนาญในการเป็นเหยื่อล่อไปแล้ว ใช้สำหรับหลอกล่อคนโดยเฉพาะอีกต่างหาก”
“ก่อนหน้านี้ข้าล่อหัวหน้าค่ายชื่อหลิงมา ตอนนี้ก็กำลังจะล่อคนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มาอีก”
อาหู่ขมวดคิ้ว “คุณชายขอรับ หลังจากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวของหัวหน้าค่ายชื่อหลิงเลย ครั้งนี้จะรอน้ำขุ่นแล้วค่อยจับปลาอีกหรือไม่ขอรับ”
เยี่ยนจ้าวเกอส่ายหน้า “สำหรับเขาน้ำขุ่นมากเกินไปแล้ว ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามแห่งพร้อมใจกันจับตามองพื้นที่ถังตะวันออกแห่งนี้ เขาคงลอบเข้ามาไม่ได้หรอก”
“แค่จะโผล่หัวออกมาก็คงถูกตีจนตายแล้วล่ะ”
“แม้ท่านผู้อาวุโสฉินจะเข้าไปในหุบเหวปราการมังกรแล้ว แต่ท่านผู้อาวุโสข่งกลับคอยท่าอยู่ภายนอกเพื่อรอคนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์โดยเฉพาะ”
อาหู่ยิ้มอย่างสัตย์ซื่อ “คุณชายขอรับ เวลาที่ท่านจะสร้างความดีความชอบมาถึงอีกแล้ว”
“ไปซะ!” เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มและต่อว่า “ในสายตาของเจ้า ข้าพึ่งวิธีเหล่านี้สร้างความดีความชอบหมดเลยหรือ?”
หลังจากที่คุยเล่นกันไปแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอจึงถามว่า “พูดเรื่องจริงจังหน่อย ส่งข่าวออกไปแล้วใช่หรือไม่”
อาหู่เองก็ไม่ได้ยิ้มแล้ว กล่าวตอบด้วยท่าทีจริงจังว่า “ตอนที่พวกท่านผู้อาวุโสฉินเข้าไปยังหุบเหวปราการมังกร ข้าก็ส่งข่าวออกไปแล้วขอรับ”
เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า พลางทอดสายตามองไปไกล แล้วจึงพูดพึมพำกับตนเองว่า “หากจะลงมือก็ต้องเป็นตอนนี้แล้วล่ะ ที่ข้าสนใจก็คือเหยียนซวี่เตรียมจะจัดการข้าอย่างไร”
หลังจากเวลาผ่านไป กลุ่มหมอกดำที่อยู่ไกลๆ ก็เหมือนจะแผ่ขยายออกไปอีก
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด จู่ๆ หมอกดำก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จากนั้นก็มีลำแสงสะดุดตาลอยขึ้นมาจากหมอกดำ แล้วพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า!
ทุกคนที่คอยจับตาสถานการณ์อยู่ที่เมืองใกล้ปราการมาตลอดต่างก็รู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง
ถึงแม้ว่าสถานการณ์จะยังไม่ชัดเจน แต่พลังของหมอกดำค่อยๆ ถูกคุมไว้ได้อย่างเห็นได้ชัด
แต่ไม่นานนัก เยี่ยนจ้าวเกอก็ได้รับอีกข่าวหนึ่ง
ทีแรกเขากำลังอารมณ์ดี เพราะควบคุมสถานการณ์ของหุบเหวปราการมังกรไว้ได้แล้ว ทว่าหลังจากที่ได้รับข่าวนี้ อารมณ์ดีก็มลายหายไปจนสิ้น
“จ้าวซื่อเฉิง ราชาอาณาจักรถังตะวันออก ได้รับอันตรายในหุบเหวปราการมังกร!”
………………..