ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 87 นี่อยู่ในการคาดการณ์ล่วงหน้าด้วยหรือ?
เยี่ยนจ้าวเกอช้อสายนตามองขึ้นไป เห็นเพียงชายชราตาเดียวผู้นั้นกำลังเหาะเหินเดินอากาศมาจากระหว่างแนวเขา
อีกฝ่ายมองลงมาด้านล่าง เขากวาดสายตามองไปรอบๆ สุดท้ายก็หยุดอยู่ที่เยี่ยนจ้าวเกอ “มาแล้วสินะ ดูสิว่าครั้งนี้เจ้าจะหนีไปที่ไหนได้อีก”
“เยี่ยนจ้าวเกอ เจ้าช่างใจกล้านัก”
“ครั้งแรกก็ช่วยศิษย์ทรยศสำนักข้าหลบหนี ตอนนี้ยังกล้าสังหารคนของสำนักข้าอีก”
“เจ้าต้องชดใช้ให้เซียวเซิงด้วยชีวิต!”
เมื่อถูกสายตาของอีกฝ่ายจดจ้อง ทั้งร่างกายของเยี่ยนจ้าวเกอก็ร้อนผ่าว เกิดความรู้สึกเหมือนกับอวัยวะภายในถูกเผาไหม้ ราวกับทั่วทั้งร่างกายติดไฟขึ้นมาเองอย่างไรอย่างนั้น
สีหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอยังคงราบเรียบเช่นเดิม “ความหมายของท่านก็คือ ให้ข้ายื่นคอออกไปให้เซียวเซิงฆ่าแต่โดยดีถึงจะถูกหรือขอรับ”
“เซียวเซิงจะฆ่าข้า ข้าก็เลยฆ่าเขา มันก็ง่ายแค่นี้แหละ”
ชายชราตาเดียวขมวดมุ่น นัยน์ตาฉายแววดุร้าย
ดูจากสีหน้าท่าทางของเขาแล้ว ราวกับว่าหากคนที่อยู่เบื้องหน้าไม่ใช่เยี่ยนจ้าวเกอที่เกิดในเขากว่างเฉิง เปลี่ยนเป็นจอมยุทธ์ที่เกิดในสำนักเล็กๆ คนอื่น ได้ตายในมือของคนในสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็ถือว่าเป็นเกียรติแล้ว
อีกฝ่ายจดจ้องเยี่ยนจ้าวเกออย่างเย็นชา “โอ้ อย่างนั้นหรือ?”
“เช่นนั้นตอนนี้ข้าก็จะสังหารเจ้าเช่นกัน ดูสิว่าเจ้าจะทำอะไรได้บ้าง หรือเจ้าจะสังหารข้าได้หรือไม่”
เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มแต่ไม่พูดอะไร
ด้านหลังมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา “เจ้าสังหารเขาไม่ได้หรอก”
ท่ามกลางเมฆลมที่รุนแรง พลังสายที่แข็งแกร่งหนึ่งปรากฏขึ้น
เงาคนผู้หนึ่งลอยมากับอากาศ ขณะที่เพิ่งเอ่ยปากกล่าว ระยะห่างยังไกลมาก ทว่ายังไม่ทันสิ้นเสียง คนผู้นั้นก็เข้ามาใกล้แล้ว
เขาเป็นชายชราร่างกายผ่ายผอมคนหนึ่ง มือทั้งสองไพล่หลังเอาไว้ ฝีเท้าไม่ช้าแต่ก็ไม่เร็ว
เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “ท่านผู้อาวุโส ลำบากท่านแล้วขอรับ”
ชายชราโบกไม้โบกมือ “ไม่เป็นไร”
เขาไปถึงเบื้องหน้าของชายชราตาเดียว แล้วกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ข้าก็อยากจะดูเช่นกันว่าต่อหน้าข้า เจ้าจะสังหารศิษย์เขากว่างเฉิงของข้าอย่างไร”
เมื่อเห็นชายชราร่างผอมแห้งผู้นี้ปรากฏตัว สวีชวนก็รู้สึกโล่งอกทันที “ยอดฝีมือของสำนักเราที่มาสนับสนุนก็มาถึงแล้วเช่นกัน”
“นายน้อยเยี่ยนไม่ตกอยู่ในอันตรายง่ายๆ จริงด้วย การกระทำต่างๆ ต่างก็มีการคาดการณ์ตระเตรียมล่วงหน้าเอาไว้อย่างถี่ถ้วนแล้ว”
กองหนุนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่เข้ามาในอาณาจักรถังตะวันออกล้วนแล้วแต่เป็นยอดฝีมือ
หลังจากที่เขากว่างเฉิงได้รับข่าวว่าเยี่ยนจ้าวเกอเล่นงานเซียวเซิงจนสิ้นชีพ แน่นอนว่าก็ต้องไม่นิ่งดูดายอยู่เฉยๆ อย่างแน่นอน
เพียงแต่ว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็ต้องใช้เวลาในการโต้ตอบเช่นกัน
เมื่อเทียบกันแล้ว แม้ว่าถังตะวันออกจะอยู่ห่างออกไปไกล ทว่าอย่างไรก็ยังอยู่ในอาณาเขตของนภาพิภพ ยอดฝีมือของเขากว่างเฉิงจะให้การสนับสนุนย่อมง่ายกว่า
แต่สนามรบที่ใช้รบของทั้งสองฝ่ายในตอนนี้ช่างซับซ้อนนัก ยากที่จะแบ่งแยกฝั่งฝ่าย
จะตัดสินการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามอย่างแม่นยำ เพื่อยืนยันตำแหน่งของอีกฝ่าย ก็คงต้องดูอำนาจของแต่ละฝ่ายที่มีอยู่ในถังตะวันออกแล้ว
เมื่อมองจากมุมนี้แล้ว การที่จ้าวหยวนต้องประสบกับอันตราย และเยี่ยนจ้าวเกอถูกลอบทำร้าย อย่างน้อยเหยียนซวี่ก็ต้องรับผิดชอบฐานกระทำการไม่รอบคอบ ตรวจสอบศัตรูไม่ชัดเจนไว้หนึ่งกระทง
ภายในใจของสวีชวนรู้สึกหวาดหวั่นอยู่เล็กน้อย “เหยียนซวี่จงใจจริงๆ หรือ?”
“เขาบ้าไปแล้ว ต่อให้บ่ายเบี่ยงว่าเป็นเพียงความผิดพลาด แต่ก็ต้องรับผิดชอบส่วนหนึ่งเช่นกัน!”
ทว่าสิ่งที่ทำให้สวีชวนโล่งอกก็คือ เยี่ยนจ้าวเกอเตรียมการเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว การที่ตนเองเสี่ยงอันตรายดูนั้น ถือว่าเดิมพันถูกต้องแล้ว
ผู้อาวุโสสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คนนั้น มองมหาปรมาจารย์เขากว่างเฉิงที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แล้วกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เจ้ากับข้าก็มีระดับวรยุทธ์พอๆ กัน เจ้าจะปกป้องเขาได้หรือ”
ขณะที่เขากำลังกล่าวอยู่นั้น ก็ยกฝ่ามือหนึ่งขึ้น แสงอาทิตย์สีทองทั่วทั้งท้องฟ้าพลันถูกเก็บกลับคืนทั้งหมด รวมกันเป็นก้อนอยู่กลางฝ่ามือของเขา
จากนั้นเขาก็ตบฝ่ามือนั้นลง ราวกับยกพระอาทิตย์ดวงหนึ่งขึ้นแล้วเขวี้ยงลงไปยังเบื้องล่าง!
วิชาหัตถ์เทพกลางเวหาที่เขาเป็นผู้ใช้นั้น แข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าของมหาปรมาจารย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่เจอในหุบเขาวายุวิญญาณเสียอีก!
กลุ่มคนของจ้าวหยวนที่อยู่ในเหตุการณ์ ต่างก็รู้สึกเคร่งเครียดอยู่ภายในใจ
เป็นอย่างที่ชายตาเดียวกล่าวเอาไว้ การประมือของทั้งสองฝ่ายที่มีพลังความสามารถใกล้เคียงกัน ทว่าฝ่ายหนึ่งจะสังหารคน ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งต้องการปกป้องคน
ฝ่ายที่ปกป้องก็ต้องอยู่ในตำแหน่งที่ด้อยกว่าเป็นแน่ อำนาจการรุกอยู่ในมือของศัตรูทั้งหมด
ถึงขั้นมีความเป็นไปได้ว่าเพราะภายในใจมุ่งแต่จะคุ้มกัน จึงทำให้ได้อย่างเสียอย่าง เมื่อตนเองเผยช่องโหว่ ก็จะถูกศัตรูฉวยโอกาสเข้าโจมตี ทำให้ตนเองตกอยู่ในอันตรายได้
เมื่อถึงตอนนั้นผู้คุ้มกันและผู้ถูกคุ้มกัน ต่างก็จะกลายเป็นเนื้อปลาบนเขียงของฝ่ายตรงข้าม ซึ่งทำได้แค่เพียงโกรธแค้นเท่านั้น
ชายชราร่างผอมแห้งผู้นั้นกลับมีสีหน้านิ่งสงบ ไม่รีบไม่ร้อน “ในเมื่อข้ามาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ ข้าย่อมมีความมั่นใจที่จะคุ้มกันศิษย์ในสำนักได้ด้วยตัวคนเดียวอยู่แล้ว”
ในขณะที่พูด กลางฝ่ามือทั้งสองของชายชราผอมแห้งคนนั้น ก็ปรากฏแสงสีทองอ่อนขึ้น
เงาฝ่ามือก็ค่อยๆ ขยายออกจนบดบังไปทั่วทั้งสี่ทิศ คลื่นแสงสีทองเคลื่อนสลับไปมาอยู่กลางอากาศ ราวกับจะเปลี่ยนรูปเป็นเชือกสีทองนับเส้นไม่ถ้วนผูกฟ้ามัดแผ่นดินไว้
หัตถ์เทพกลางเวหาของผู้อาวุโสสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ตกลงสู่เบื้องล่าง และถูกเชือกสีทองมากมายล้อมเอาไว้
อานุภาพของหัตถ์เทพที่ทั้งแข็งแกร่งและร้อนแรง อ่อนกำลังลงเพราะพลังของความอ่อนโยนอย่างต่อเนื่องในทันที ยากที่จะดิ้นหลุดได้
“ฝ่ามือม่านทอง?” คิ้วของชายชราตาเดียวพลันขมวดเป็นปมขึ้นมา
วรยุทธ์ที่อีกฝ่ายสำแดงออกมาก็คือ ฝ่ามือม่านทอง หนึ่งในยอดวิชาแปดพิภพ วิชาที่สืบทอดกันโดยตรงของเขากว่างเฉิง
เยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่ด้านข้างเห็นเข้าก็พยักหน้า พลางกล่าวในใจว่า ‘ใกล้จะสมบูรณ์แล้ว’
เขาเคยเห็นผู้อาวุโสข่งใช้วิชานี้ในหุบเหวปราการมังกรก่อนหน้านี้ ครั้งนั้นน่าอัศจรรย์ใจยิ่งกว่าเพราะระดับวรยุทธ์ของผู้อาวุโสข่งสูงกว่า
หากวิเคราะห์แค่การสร้างฝ่ามือม่านทอง ชายชราร่างผอมแห้งที่อยู่เบื้องหน้านี้ ในระดับวรยุทธ์เดียวกันก็เรียกได้ว่าสุดยอดแล้ว
ชายชราผอมแห้งคนนั้นใช้ฝ่ามือม่านทองอย่างสบายกำลัง ร่างกายของเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง ก่อนจะล่องลอยขึ้นไปไกลอย่างว่องไวดั่งสายลม
และนี่ก็คือวายุอัคคีหนึ่งในยอดวิชาแปดพิภพ
อัคคีปล่อยพลัง ส่วนวายุเคลื่อนไหว
ชายชราผอมแห้งปิดตายแม้กระทั่งหนทางการใช้วิชาสุริยันทะยานบูรพาของคู่ต่อสู้ ทำให้ผู้อาวุโสสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ
พลังความสามารถของอีกฝ่ายนั้นพอๆ กันกับเขา ทว่าวิธีการต่อสู้นุ่มนวลและยืดหยุ่นจนถึงที่สุด ทำให้เขาแม้มีกำลังแต่ก็ไม่สามารถใช้ได้
ทว่าผู้อาวุโสสำนักเขากว่างเฉิงผู้ผอมแห้งอยากจะเอาชนะเขาก็เป็นเรื่องยาก ซึ่งเขาเองก็ไม่สามารถทลายการป้องกันของฝ่ายตรงข้ามได้เช่นกัน
อย่าว่าแต่เอาชนะเลย ลำพังแค่คิดอยากจะจัดการกับกลุ่มคนของเยี่ยนจ้าวเกอ ในชั่วขณะหนึ่งก็ทำได้แค่เพียงจ้องตา
“จ้าวเกอ พวกเจ้าออกไปจากที่นี่ก่อน” ชายชราร่างผอมแห้งสกัดการโจมตีของอีกฝ่ายไปพลาง กล่าวอย่างเรียบเฉยไปพลาง
กลุ่มคนของเยี่ยนจ้าวเกอจึงถอยออกไปในทันที มหาปรมาจารย์ทั้งสองจึงเปิดฉากโจมตีกันอย่างเต็มกำลัง ลำพังแค่คลื่นพลังที่เหลืออยู่ก็สามารถทำลายล้างรอบด้านได้
ถึงกระนั้นเพิ่งจะออกมาได้ไม่ไกลนัก จู่ๆ เสียงดุดันสายหนึ่งก็ดังขึ้น สั่นสะเทือนจนหูแทบหนวก “ไปไม่ได้! ”
เมื่อได้ยินเสียงนี้ คิ้วของเยี่ยนจ้าวเกอก็พลันกระตุกทันที
“หานเซิ่ง เฒ่ามารหัวขวาน!”
“สถานการณ์เช่นนี้ในตอนนี้ เขายังกล้าโผล่หัวมาอีกหรือ”
ท่ามกลางหมอกดำที่หมุนวน ชายชราไว้หนวดเคราและผมยาวคนหนึ่งก็พลันปรากฏกายขึ้น
บรรยากาศรอบกายน่าหวาดผวา ไม่ด้อยไปกว่ามหาปรมาจารย์ทั้งสองที่กำลังประมือกันอยู่ในสนามตอนนี้เลยแม้แต่น้อย
ซึ่งนั่นก็คือหานเซิ่ง เฒ่ามารหัวขวานที่ปรากฏตัวขึ้นขณะที่อยู่ในหุบเหวปราการมังกร ซึ่งมีความเกี่ยวพันกับเยี่ยจิ่ง
หลังจากเฒ่ามารหัวขวานปรากฏกายขึ้น เขาก็ทอดสายตามองไปที่เยี่ยนจ้าวเกอ
เยี่ยนจ้าวเกอมองไป เห็นเพียงแต่แววตาของอีกฝ่าย ที่นอกจากความหุนหันพลันแล่นแล้ว ที่มีมากกว่าก็คือความละโมบและการสำรวจ
“เขาต้องการของบางอย่างที่อยู่กับตัวข้า” เยี่ยนจ้าวเกอคิดได้โดยพลัน ชั่วพริบตาเดียวก็เกิดการคาดเดาขึ้น
ไม่รอให้ได้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน หานเซิ่งก็ตะโกนออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว จากนั้นยื่นฝ่ามือหนึ่งออกมา ปราณสีดำรวมตัวกันที่ฝ่ามือของเขาในทันที ก่อนจะกลายมือใหญ่ขนาดปิดฟ้าบังตะวัน ที่ตบลงไปบนศีรษะของเยี่ยนจ้าวเกอ
ชายชราร่างผอมแห้งก็พลันขมวดคิ้วขึ้นมา ใช้วิชาวายุอัคคี หมุนกายกลับมาดักอยู่เบื้องหน้าของหานเซิ่ง
ฝ่ามือม่านทองของเขากางออก คว้าเอาหานเซิ่งเข้าไปอยู่ในม่านด้วยในทันที
แต่ได้อย่างเสียอย่าง ความกดดันทางผู้อาวุโสสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์อีกด้านหนึ่ง ก็เบาลงไปมากในพริบตา
เขาใช้วิชาสุริยันทะยานบูรพา ฝืนข้ามผ่านการสกัดกั้นจากฝ่ามือม่านทองของชายชราร่างผอมแห้ง แล้วพุ่งตรงไปยังเยี่ยนจ้าวเกอ!
สวีชวนเห็นดังนั้นใจเต้น มองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยใบหน้าซีดขาว
“นายน้อยเยี่ยน อย่าบอกข้านะ ว่านี่ก็อยู่ในการคาดการณ์ของท่านเช่นกัน!”
…………….