ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 99 เชื้อไฟที่อยู่ในจุดตันเถียน
นิ้วมือของเยี่ยนจ้าวเกอลูบบนแหวนที่เต็มไปด้วยรอยร้าว
แหวนวงนี้ครั้งหนึ่งเคยกลายเป็นลำแสง อีกทั้งหลอมรวมเข้าไปในร่างกายของเยี่ยจิ่ง แต่ตอนนี้มันกลับคืนรูปเดิมอีกครั้ง
เพียงแต่แหวนที่ก่อนหน้านี้ราวกับเปลวเพลิงที่ดึงดูดสายตา ขณะนี้กลับมืดมนไร้แสงคล้ายกับมีฝุ่นเกาะ ได้รับความเสียหายอย่างหนัก
บนผิวของแหวนเต็มไปด้วยรอยแตกนับไม่ถ้วนราวกับใยแมงมุม และเหมือนพร้อมจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ได้ทุกเมื่อ ทว่าเมื่อเยี่ยนจ้าวเกอนำแหวนมากำเอาไว้ในมือ ก็ยังคงสัมผัสได้ถึงความอุ่นของแหวนอยู่เลือนราง
เยี่ยนจ้าวเกอหรี่ตาลงจนเป็นเส้นตรง รวบรวมสมาธิ เชื่อมเข้าสู่ภายในแหวน
ภาพสถานการณ์ตรงหน้าเกิดการเปลี่ยนแปลงในทันที
ในตอนแรกเป็นความมืดมิดไปทั่วทั้งผืน จากนั้นท่ามกลางความมืดที่มองไม่เห็นแม้แต่นิ้วมือทั้งห้า จู่ๆ ก็พลันเกิดแสงส่องสว่างขึ้น
แท้จริงแล้วลำแสงนั้นอ่อนกำลังเป็นอย่างยิ่ง เป็นเพียงแค่ลำแสงจางๆ สายหนึ่งเท่านั้น แต่เพราะรอบข้างมีแต่ความมืด ดังนั้นต่อให้เป็นเพียงแค่แสงสว่างที่อ่อนแรง มันก็ยังคงสะดุดตามาก
เมื่อเยี่ยนจ้าวเกอเพ่งมองไป มันดูเหมือนเป็นเพียงแค่ประกายเพลิงสีแดงขนาดเล็กเท่านั้น
ประกายเพลิงค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น ส่องแสงสว่างมากยิ่งขึ้น จนกลายเป็นเพลิงเล็กๆ ดวงหนึ่ง
เปลวเพลิงเผาไหม้ลุกโชน ขณะเดียวกันก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จากดวงเพลิงขนาดเล็ก กลายเป็นดวงเพลิงขนาดใหญ่พวยพุ่งขึ้นท้องฟ้า กระทั่งต่อมาก็กลายเป็นทะเลเพลิงในที่สุด
และท้ายที่สุดแล้ว ความมืดก็สลายไปทั้งหมด แสงไฟแผดเผาไปทั่วทั้งแผ่นดิน เบื้องหน้ากลายเป็นโลกแห่งเปลวเพลิงโดยสิ้นเชิง
ไม่มีสิ่งใดอยู่เลย นอกจากเพลิงไฟที่กำลังโชติช่วง
เยี่ยนจ้าวเกอสงบจิตใจลง แล้วก้าวช้าๆ ไปยังโลกทะเลเพลิง เพื่อสัมผัสระดับพลังจากภายในของมัน
ทั่วทั้งสี่ทิศเต็มไปด้วยไฟโหมกระหน่ำ แต่เยี่ยนจ้าวเกอสัมผัสพลังของมันอย่างละเอียดแล้ว เขาพบว่าแม้เปลวเพลิงจะลุกโชนไปทั่ว แต่ก็ไม่ได้สะเปะสะปะไร้กฎเกณฑ์
เปลวเพลิงก็เหมือนกับกระแสน้ำทะเล มีทิศทางกฎเกณฑ์การเคลื่อนไหวและการหมุนเวียนในตัวของมันเอง
ชายหนุ่มพิจารณาจนได้บทสรุป เขาเริ่มเข้าใจแล้ว
เพลิงลุกโชนบ้าคลั่งที่กำลังกลืนกินรอบด้าน จู่ๆ ก็เปลี่ยนรูปร่างต่อหน้าเยี่ยนจ้าวเกอ
มันคล้ายกันรวมตัวเป็นอักขระที่แปลกประหลาดมากมาย เรียงรายเป็นแถวอักษรนับไม่ถ้วน จากนั้นก็ตัดสลับเข้าหากัน หมุนวนอยู่กลางอากาศอย่างไม่หยุดหย่อนซ้ำแล้วซ้ำอีก
เขามองดูอักษรเหล่านี้ มุมปากกระตุกยิ้มเล็กน้อย “อักษรที่จักรพรรดิปีศาจอัคคีสร้างขึ้น ก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่”
“แม้ว่าจะยังไม่เคยศึกษาจริงจังมาก่อน ทว่าข้าก็พอรู้หลักเกณฑ์คร่าวๆ ยู่บ้าง แค่ลองคาดเดาดูก็น่าจะพอเข้าใจเนื้อหาสำคัญได้บ้าง”
“เป็นการสืบทอดของจักรพรรดิปีศาจอัคคีดังคาด”
เยี่ยนจ้าวเกอกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่บ้าง “ในฐานะที่เป็นคนของโลกแปดพิภพ ได้รับการสืบทอดเช่นนี้มา บัดนี้ก็ไม่รู้ว่าเยี่ยจิ่งโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่”
หลังจากที่อ่านอักขระที่แปลกประหลาดพวกนี้อย่างละเอียด และสัมผัสระดับภายในนั้นแล้ว ภายในใจของเยี่ยนจ้าวเกอก็ค่อยๆ เข้าใจอะไรบางอย่าง
“เทียบกับแนวทางการฝึกฝนของเผ่าปีศาจอัคคีในปัจจุบัน ยังคงมีความแตกต่างอยู่มากดังที่คาดไว้ ในฐานะที่จักรพรรดิปีศาจอัคคีเป็นยอดฝีมือก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ การสืบทอดของเขาก็มีวรยุทธ์อันแกร่งกล้ามากเช่นกัน”
“อาศัยพลังสาย ‘เพลิง’ ก็สร้างพลังหลายสายได้”
ชายหนุ่มกล่าวในใจว่า ‘เพียงแค่เปลี่ยนไปทางด้านจิตใจของเยี่ยจิ่ง ดูอย่างไรก็คล้ายกับวิธีการฝึกฝนของเผ่าปีศาจอัคคีในปัจจุบัน’
ท่ามกลางแสงจากเปลวเพลิงเบื้องหน้า ค่อยๆ ปรากฏประตูขนาดใหญ่ที่ปิดสนิทเอาไว้บานหนึ่ง
เยี่ยนจ้าวเกอสัมผัสถึงประตูบานนั้นอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะนำจิตรับรู้ออกจากโลกแห่งทะเลเพลิง กลับสู่ความเป็นจริงอีกครั้ง
จากนั้นเขาก็ขับเคลื่อนพลังปราณของเชื้อไปไฟสัจจะอัคคีเข้าสู่แหวน ทำให้แหวนที่เต็มไปด้วยรอยแตกคล้ายกับได้รับการหล่อเลี้ยง ค่อยๆ ส่องแสงสีแดงวาบหลายสายออกมา
เขานำจิตสำนึกของตนเองเข้าไปภายในแหวนอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าประตูบานใหญ่ที่ปิดสนิทเอาไว้ บัดนี้ได้เปิดออกแล้ว
ด้านในประตู ท้องฟ้าเป็นสีแดงเข้มทั้งผืน บนพื้นดินเต็มไปด้วยหินหลอมเหลวปะทุ หินหนืดก็ขยายขอบเขตไปทั่วทุกทิศ
ภาพเหตุการณ์วันสิ้นโลกที่เคยเห็นมาก่อนหน้านี้ ปรากฏขึ้นตรงหน้าเยี่ยนจ้าวเกออีกครั้ง
เปลวเพลิงที่กระจายอยู่ทั่วท้องฟ้าก็หลอมรวมกันอยู่กลางอากาศอย่างช้าๆ แล้วกลายเป็นเทพยักษ์เพลิงมายาที่ทั้งเก่าแก่และแข็งแกร่ง
พลังของภัยพิบัติขนาดใหญ่ การทำลายล้างขนาดใหญ่ และความทรมานอย่างยิ่งส่งออกมาจากภายใน ช่างรกร้างไร้ความเจริญ ต่างจากโลกแปดพิภพในปัจจุบันโดยสิ้นเชิง
ทว่าเพราะถูกสือเถี่ยและเยี่ยนจ้าวเกออย่างหนัก ขณะนี้แหวนจึงอ่อนกำลังลงอย่างมาก
โลกแห่งเปลวเพลิงใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นท้องฟ้าสีแดงเข้ม หรือจะเป็นแผ่นดินที่เต็มไปด้วยหินหลอมเหลว ล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยรอยแตกร้าว ราวกับจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ได้ทุกเมื่อ
เทพยักษ์เพลิงตนนั้นแม้จะยังคงปลดปล่อยพลังอันแข็งแกร่งออกมา ทว่าในตอนนี้เมื่อมองดูก็ยิ่งเป็นภาพมายาที่เลือนรางมากขึ้นไปอีก
เยี่ยนจ้าวเกอสบตากับเทพยักษ์เพลิงตนนั้น ภายในดวงตาทั้งสองนั้นราวกับว่ามีความรู้สึกแท้จริงปรากฏออกมาให้เห็น
นั่นเหมือนกับเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ ทั้งยังมีตัวตนอยู่จริง ไม่ใช่แค่เพียงเศษเสี้ยวของพลังที่เหลืออยู่เท่านั้น
เมื่อสบตากับมัน ในใจของเยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อย ก่อนที่ความรู้สึกนั้นจะกลายเป็นความไม่สบายใจ กระวนกระวาย ต้องการทำลายและระบายออก
แววตาของเยี่ยนจ้าวเกอสั่นไหวเล็กน้อย เขาพยายามระงับสติของตนเอง จนความรู้สึกบ้าคลั่งเหล่านั้นหายไปในทันที
เพลิงไฟที่กระจายอยู่ทั่วท้องฟ้าก็กลายรูปเป็นอักขระเก่าแก่น่าประหลาด เรียงรายอยู่ตรงหน้าเยี่ยนจ้าวเกออีกครั้ง
เขาจ้องอักขระเหล่านั้น แล้วอ่านทำความเข้าใจอย่างช้าๆ “คัมภีร์ทำลายสวรรค์…อย่างนั้นหรือ?”
เมื่ออ่านต่อไปเรื่อยๆ อักขระเหล่านั้นก็เปลี่ยนเป็นเปลวเพลิง แทรกซึมเข้าไปในร่างกายของเยี่ยนจ้าวเกอ
เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกเพียงว่าเลือดลมทั่วกายของตนเอง เหมือนกับถูกขับเคลื่อนจนร้อนผ่าวขึ้นมา พลังของเปลวเพลิงไฟสัจจะอัคคีที่สั่งสมในจุดลมปราณทั่วร่างก็เดือดพล่านพร้อมกัน
ราวกับสาดสะเก็ดไฟเข้าใส่กองฟืนนับไม่ถ้วน แทบจะลุกไหม้ขึ้นมาพร้อมๆ กัน
สีหน้าท่าทางเยี่ยนจ้าวเกอสงบนิ่ง กลุ่มปราณขมุกขมัวภายใต้ปราณบริสุทธิ์ ที่ซ่อนตัวอยู่ในจุดตันเถียนชี่ไห่ก็พลันไหลย้อนกลับ
ความร้อนทั่วร่างกายมีจุดหมายในทันที ไหลไปรวมกันที่ปราณดั้งเดิมภายในจุดตันเถียนของเขา
กระแสความร้อนหลากหลายสาย ในที่สุดก็อยู่ภายในปราณดั้งเดิม กลายเป็นเชื้อไฟทอแสงเป็นประกาย
ปราณบริสุทธ์ที่เกิดจากการฝึกวิชาปราณบริสุทธิ์ ก็ค่อยๆ รวมกันและบดบังปราณดั้งเดิมนั้นใหม่อีกครั้งอย่างช้าๆ
เยี่ยนจ้าวเกอยิ้ม เหตุที่ตนเองเลือกฝึกวิชาจากคัมภีร์นภาไร้ขีดจำกัด คัมภีร์ลับระดับสูงที่เก็บรักษาเอาไว้ที่วังเทพนั้น นอกจากความยิ่งใหญ่ของมันแล้ว เหตุผลที่สำคัญมากที่สุดก็คือจุดเด่นของตัวคัมภีร์เอง
ธาตุปราณไร้ขีดจำกัด ไร้จุดเริ่มต้นไร้จุดสิ้นสุด สามารถรองรับสรรพสิ่ง สามารถให้กำเนิดสรรพสิ่ง สามารถทำลายสรรพสิ่งให้พินาศ
คัมภีร์นภาไร้ขีดจำกัดมีความยืดหยุ่นสูงมาก สามารถรับสิ่งที่เหมือนกันและแตกต่างกันเข้ามาได้ทั้งหมด จนถึงขั้นหลอมรวมกับคัมภีร์วิชาวรยุทธ์ลับอื่นๆ ได้โดยไม่ได้เผยร่องรอยเอาไว้แต่อย่างใด อีกทั้งหลังจากหลอมรวมแล้วก็ยังสามารถพัฒนาต่อไปได้อีก
อย่างเช่นวิชาเอกพิสุทธิ์ ที่เป็นวิชาสืบทอดสายหลักแห่งสำนักเขากว่างเฉิง
หรืออย่างเช่นคัมภีร์ทำลายสวรรค์ในตอนนี้
การฝึกฝนของเขาย่อมไม่มีทางเหมือนเยี่ยจิ่ง
เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะเล็กน้อย คัมภีร์ทำลายสวรรค์ก็มีจุดเด่นเป็นของตนเอง ซึ่งสามารถนำมาใช้กับการทดลองครั้งต่อไปของตนได้พอดิบพอดี
เมื่อหลุดออกจากภวังค์แล้ว อาหู่ที่อยู่ด้านข้างก็กำลังชะเง้อมองไปไป
ชายหนุ่มเก็บแหวน ก่อนจะช้อนสายตาขึ้นมองตามอาหู่ไปเช่นกัน
ที่แห่งนั้นมีครึ่งวงกลมสีดำขนาดมหึมาอยู่บนพื้นดิน ปกคลุมเป็นบริเวณกว้าง ซึ่งนั่นก็คือสภาพเฉพาะที่เกิดจากวิชาจันทราในแสงรัตติกาล ของแสงรัตติกาลแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์
ภายในครึ่งวงกลมสีดำนั้น มีแสงสีทองกะพริบไม่หยุด
ยิ่งเวลาผ่านไปจนถึงขณะนี้ แสงสีทองก็ยิ่งสว่างขึ้น และเริ่มทะลุออกจากครึ่งวงกลมสีดำนั้นออกมา
จนในที่สุด ด้านบนสุดของครึ่งวงกลมก็ปรากฏรอยร้าวขึ้น ก่อนที่จะแตกออก ส่องแสงสีทองพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า!
ระหว่างนั้นเงาร่างสายหนึ่ง ก็คล้ายกับกำลังลอยทะยานขึ้นอย่างช้าๆ!
“ท่านอาจารย์ลุงใหญ่ สมกับเป็นท่านอาจารย์ลุงใหญ่” เยี่ยนจ้าวเกอชื่นชม อาหู่ที่ยืนอยู่ด้านข้างก็พยักหน้ารัว
ทว่าไม่นานนักสีหน้าของอาหู่ก็เปลี่ยนไป แล้วกลับหลังหันมองไกลออกไป
ที่แห่งนั้นราวกับมีพลังปราณอันแข็งแกร่งที่ปกคลุมเป็นบริเวณกว้าง และกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้!
ดูจากวรยุทธ์แล้ว เป็นสายวิชาของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์อย่างชัดเจน
ระดับวรยุทธ์ของผู้มาเยือนแข็งแกร่งยิ่งกว่าแสงรัตติกาลเสียอีก!
อาหู่กล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “เกรงว่าจะเป็นท่านตาของเซียวเซิงขอรับ”
สายตาเยี่ยนจ้าวเกอก็มองออกไปไกลในทิศทางเดียวกัน
……………