ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1257 ชาติก่อนและชาติปัจจุบันของเยี่ยนจ้าวเกอ
เยี่ยนจ้าวเกอวางเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับลงบนแท่นบูชาทิศใต้ เหนือแท่นบูชาพลันมีเงาแสงลอยขึ้นมา ผนึกจับกันเป็นอักษรอาคมเก่าแก่
จักรพรรดิเมฆยืนอยู่ด้านข้าง อ่านเสียงเบา
“ข้าลืมตาจากความมืด เหมือนกับทารกเกิดใหม่…เลอะเลือนไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง กาลเวลาในอดีตพากันปรากฏขึ้นมาเหมือนกับความทรงจำในชาติก่อนของสิ่งมีชีวิต การล่มสลายของวังเทพได้ผ่านมาปลายพันปีแล้ว…เรื่องราวในวันวานเหมือนกับตายในวันนี้ เรื่องราวในวันนี้เหมือนกับเกิดวันนี้ ตั้งแต่นี้ไป ข้าชื่อเทียนซู (ฟ้าฟื้น) ไม่ใช่ตำหนักฟ้าฟื้น ข้าจะมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเองเท่านั้น!”
เฮ่อเหมี่ยนกล่าว “เป็นสำนึกแรกสุดจริงๆ สมควรเป็นความคิดในตอนที่วิญญาณตำหนักฟ้าฟื้นมีสติปัญญาสมบูรณ์แล้ว”
ตำหนักโอสถเป็นคำเรียกหาตามความหมายทั่วไป ชื่อที่แท้จริงของตำหนักโอสถแห่งวังเทพ มีชื่อว่าตำหนักฟ้าฟื้น
เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้พูดอะไร เก็บเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับ จากนั้นก็วางลงบนแท่นบูชาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือในหอคอย
แท่นบูชาแท่นนี้ฉายเงาแสง ผนึกจับแสดงเป็นประโยคหนึ่งเช่นกัน เยี่ยนจ้าวเกอลองอ่านดู เงียบงันไม่กล่าววาจา เหม่อลอยอย่างหาได้ยาก
“ข้าไม่เดียวดาย…ก่อนหน้านี้ในตอนที่ไร้ปัญญามีเพียงความรู้สึก ได้ผ่าลกาลเวลามานับไม่ถ้วน ประสบเรื่องราวนับหมื่นนับพันไม่ได้ทำความเข้าใจ วันนี้ปัญญากับความรู้สึกรวมกันเป็นหนึ่ง อดีตปรากฏ จึงค่อยทราบว่าข้าไม่ใช่คนแรก…หอโชคล้นได้มีสติปัญญาก่อนวังเทพจะล่มสลาย ข้าที่เหมือนกับรูปปั้นโคลนตุ๊กตาไม้ไม่อาจเทียบได้…น่าเสียดายที่เขาล่มสลายไปพร้อมกับวังเทพ เขา…ตายแล้ว…ความตาย…เป็นความรู้สึกแบบใดกัน”
จักรพรรดิสัญญะเมฆอ่าน สีหน้าฉายแววประหลาดใจ “ฟังความหมายของวิญญาณตำหนักฟ้าฟื้น ก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ ในสิ่งก่อสร้างกลางวังเทพมีวิญญาณสิ่งก่อสร้างอื่นๆ มีสติปัญญาของตัวเองแล้ว?”
“ท่านอาจารย์ หอโชคล้นหมายถึงอะไรหรือ” เฮ่อเหมี่ยนถาม
จักรพรรดิเมฆระบายลมหายใจออกยาวๆ สีหน้ากลับเป็นปกติ “คัมภีร์เสียหายหนัก ข้าเองก็ไม่กล้ายืนยัน แต่ถ้าหากไม่ได้เข้าใจผิด สมควรเป็นหอเก็บหนังสือของวังเทพในตำนาน”
“หอเก็บหนังสือ?” เฮ่อเหมี่ยนใบหน้าเคร่งขรึม “หอเก็บหนังสือของวังเทพที่นอกจากการสืบทอดกระแสตรงสามพิสุทธิ์สายหลักแล้ว ยังได้บันทึกวรยุทธ์สำนักเต๋าในใต้หล้าก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ไว้ถึงเก้าในสิบส่วนหรือ”
“ว่ากันว่าการสืบทอดสามพิสุทธิ์สายหลักก็มีบันทึกไว้ เพียงแต่ไม่ครบถ้วน” จักรพรรดิเมฆว่า “นอกจากการสืบทอดกระแสตรงแล้ว ในสิบล้วนมีเก้าส่วน ไม่กล่าวเกินไป ก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ มรรคายุทธ์เฟื่องฟู สาขาอื่นๆ ที่เกิดจากการสืบทอดกระแสตรงสายสามพิสุทธิ์ก็มีวรยุทธ์ที่เลิศภพจบแดนมากมาย ไม่ได้ด้อยกว่าบรรพบุรุษ”
เฮ่อเหมี่ยนได้ยินก็จิตใจล่องลอย “น่าเสียดายที่ถูกทำลายเพราะวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ ไม่เช่นนั้นสมควรเป็นที่เก็บสมบัติอันยิ่งใหญ่”
เขาดึงสติกลับมา จุ๊ปากอย่างประหลาดใจ “คิดไม่ถึงเลยว่าก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่นั้น ในวังเทพถึงกับมีวิญญาณของสิ่งก่อสร้างอย่างอื่นที่มีสติปัญญาเป็นของตัวเอง แต่ว่าก็อย่างที่วิญญาณตำหนักของตำหนักโอสถกล่าว นั่นกลับเป็นความโชคร้ายอย่างหนึ่ง ถูกทำลายไปพร้อมกับวังเทพ เหมือนกับที่พวกมนุษย์อย่างเราถูกสังหาร”
สีหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอในตอนนี้เหมือนกับเพิ่งได้สติหลังจากความตื่นตระหนก พยักหน้ากล่าว “ถูกต้อง…”
เขาเก็บเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับ วางบนแท่นบูชาทางทิศตะวันตก เนื้อหาอักษรอาคมที่ลอยขึ้นในครั้งนี้ ทำให้ม่านตาของเยี่ยนจ้าวเกอหดตัวอีกรอบหนึ่ง
“ข้าถึงแม้จะเกิดใหม่ แต่กลับเหมือนพอจุติก็มาอยู่ในกรงขัง…ไม่อาจออกจากตำหนักแห่งนี้ ไม่อาจแข็งแกร่งขึ้น ถึงขั้นที่ความเสียหายที่ได้รับมาจากตอนวังเทพพังทลายก็ไม่อาจฟื้นฟู…ข้าไม่ยินยอม ในอดีตหยวนเฮิง (โชคล้น) ก็ทดลองสร้างเปลือกร่างของมนุษย์ขึ้นมาเพื่อสร้างร่างปลอมให้ตัวเอง ข้าเองก็ทำได้ ข้าจะต้องหลุดจากพันธนาการนี้ให้ได้!”
จักรพรรดิเมฆกับเฮ่อเหมี่ยนเห็นดังนั้นต่างก็สับสน “เลียนแบบเปลือกร่างของมนุษย์ สร้างร่างปลอมให้ตัวเอง?”
พวกเขามองหน้ากัน
หยวนเฮิง สมควรเป็นวิญญาณตำหนักโอสถใช้วิธีตั้งชื่อให้ตัวเอง มาเรียกวิญญาณหอเก็บหนังสือวังเทพที่มีสติปัญญาก่อนหน้าตนหนึ่งก้าว
“ดูจากความหมายนี้ หรือว่าก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ วิญญาณหอโชคล้นไม่เพียงแต่มีสติปัญญา ยังคิดจะสร้างร่างกายที่เหมือนกับมนุษย์ให้แก่ตัวเองอีก?”
มิหนำซ้ำ ตามการคาดเดาในวาจาของวิญญาณตำหนักของตำหนักโอสถ วิญญาณหอเก็บหนังสือวังเทพในอดีตคล้ายกับทำสำเร็จแล้ว
จักรพรรดิเมฆสองศิษย์อาจารย์รู้สึกเหลือเชื่อ สิ่งที่ได้เจอได้ยินในวันนี้อยู่เหนือการคาดการของพวกเขา
“ประเดี๋ยวก่อน หากยึดตามคำพูดนี้ วิญญาณตำหนักโอสถตอนนี้ออกจากหอเซียนม่วงอันเป็นแกนกลางของตำหนักโอสถ เพื่อครอบครองร่างกายที่เหมือนกับมนุษย์หรือ” เฮ่อเหมี่ยนรู้สึกตัว
เยี่ยนจ้าวเกอยามนี้เอ่ยอย่างแช่มช้า “ศพของสหายร่วมเส้นทางหกคนที่ก่อนหน้านี้หายสาปสูญ ข้าได้นำใส่โลงศพแล้ว แต่ก็ได้ทำการชันสูตรแล้วเช่นกัน เสียดายในร่างกายของพวกเขาถูกทำลายหมด ทั้งยังละเอียดป่นปี้ ก่อนหน้านี้ยังไม่เข้าใจสาเหตุ ตอนนี้พอคิดดู เกรงว่าจะเป็น…” เขาพูดพร้อมกับส่ายหน้า
จักรพรรดิเมฆกับเฮ่อเหมี่ยนสีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “เพื่อศึกษาโครงสร้างร่างกายของมนุษย์ เตรียมการสร้างร่างกายให้แก่ตัวเขาเอง!”
“คำกล่าวที่ลอยขึ้นมาเหนือแท่นบูชาตรงกลางก่อนหน้า ที่บอกว่าเตรียมตัวไม่พร้อม หมายถึงเรื่องนี้หรือ” เฮ่อเหมี่ยนพึมพำ
“เกรงว่าจะใช่” เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า “มันบอกว่าข้านำเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับไป ทำลายแผนการของมัน เห็นได้ชัดว่าเจตนาเดิมของมันความจริงเป็นการลักพาตัวคนให้มากกว่านี้ เพื่อนำมาศึกษาและวิจัย”
จักรพรรดิเมฆกล่าว “วิญญาณตำหนักโอสถนี้ หลังจากมีสติปัญญาก็เป็นตัวตนที่อันตรายถึงขีดสุด”
เห็นแก่ตัว โหดเหี้ยม แน่วแน่ เด็ดขาด
“ดูความหมายในวาจาของมัน มันไม่อาจยึดครองเปลือกร่างของพวกเราได้โดยตรง ต่อให้เป็นคนที่ตายไปแล้ว จะยืมศพเพื่อสิงสถิตก็ไม่ได้เช่นกัน” เฮ่อเหมี่ยนวิเคราะห์ “เมื่อไม่อาจครอบครองร่างมนุษย์ มันก็ไม่อาจออกจากตำหนักโอสถ ในขณะเดียวกันก็ไม่อาจรักษาคามเสียหายของตัวเอง แต่ถ้าให้ร่างมนุษย์กับมัน มันจะมีอิสระโดยสิ้นเชิง หนำซ้ำยังฝึกฝนและเพิ่มพลังของตัวเองได้เหมือนอย่างพวกเรา”
เฮ่อเหมี่ยนขมวดคิ้ว “เพียงแต่ไม่ทราบว่าถ้าหากได้ร่างมนุษย์ไปแล้ว มันจะรักษาพลังควบคุมต่อตำหนักแห่งนี้ได้มากขนาดไหน”
“ไม่อาจบอกได้ แต่พวกเรายังคงยึดถือว่ามันครอบครองพลังความคุมตำหนักโอสถ เพื่อระวังตัวไว้ก่อน” จักรพรรดิเมฆมองอักษรแถวนั้น พูดเหมือนนึกอะไรออก “กลับเป็นในตัวอักษรแถวนี้ มันพูดถึงเรื่องของวิญญาณหอเก็บหนังสือวังเทพ ดูเหมือนจะรู้สึกว่าที่นั่นประหลาดมาก”
เยี่ยนจ้าวเกอมองตัวอักษรแถวนั้นเช่นกัน ยามนี้เอ่ยว่า “ก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ วังเทพมียอดฝีมือดุจหมู่เมฆ ถึงวิญญาณหอหนังสือจะเป็นผู้ดูแลหอเก็บหนังสือ แต่ว่าหลังจากมีสติปัญญา เหล่าผู้ปกครองในวังเทพต่างไม่พบอะไรหรือ โดยเฉพาะวิญญาณหอคล้ายกับทดลองสร้างร่างมนุษย์ให้แก่ตัวเองร่างหนึ่ง”
จักรพรรดิสัญญะเมฆปรบมือชมเชย “เซียนผู้ถูกเนรเทศกล่าวไม่ผิด ข้าผู้เฒ่ารู้สึกว่าที่นี่แฝงความพิสดารไว้”
ชายชรามองตัวอักษรแถวนั้น ถอนหายใจ “น่าเสียดาย หอเก็บหนังสือของวังเทพที่เคยรุ่งโรจน์ เก็บรวบรวมตำราในใต้หล้าไม่ได้รอดพ้นวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่เหมือนตำหนักโอสถ กลุ่มก้อนปริศนายังคงฝังอยู่ในประวัติศาสตร์”
“ถูกต้อง ข้าเองก็อยากรู้คำตอบมากเช่นกัน” เยี่ยนจ้าวเกอหรี่ตา ในใจเขาเก็บซ่อนคำถามมากมายมาโดยตลอด อย่างเช่น วิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ในวันนั้นเกิดขึ้นเพราะอะไรกันแน่
‘หรืออย่างเช่น…’ เยี่ยนจ้าวเกอคิดในใจ ‘…ชาติแรกที่ข้ามาถึงโลกใบนี้ ไฉนโอกาสได้เป็นคนยังไม่มี แต่เมื่อข้ามีจิตวิญญาณก็เป็นวิญญาณหอเก็บหนังสือแล้ว?’
………………..