ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1270 กระบี่เปิดฟ้าดิน
ในความว่างเปล่า บุรุษวัยกลางคนงามสง่าคนหนึ่งปรากฏ ด้านหลังแบกหีบใส่พิณใบหนึ่ง ก้าวเดินอย่างผ่อนคลาย เสียงพิณดังไม่ขาดหู
เป็นจางปู้ซวี กษัตริย์อนันต์
พอได้ยินเสียงพิณดังขึ้น พวกเยี่ยนจ้าวเกอพลันขมวดคิ้ว
ในตอนที่เผชิญกับการคุมคามจากวิญญาณตำหนักโอสถและปีศาจกวางขาวพร้อมกัน ทุกคนเป็นพันธมิตร ยืนอยู่บนแนวรบเดียวกัน
ทว่าตอนนี้วิญญาณตำหนักโอสถไม่อาจพัดมรสุมขึ้นได้อีกแล้ว กษัตริย์อนันต์จางปู้ซวีกลับปรากฏตัวอย่างกะทันหัน ทุกคนใช่ว่าจะเป็นฝ่ายเดียวกันต่ออีก
ตอนแรกร่วมมือ ตอนหลังเป็นศัตรู สภาพการณ์ละเอียดอ่อนเช่นนี้
ไม่ว่าจะเป็นพวกเยี่ยนจ้าวเกอหรือจางปู้ซวี เมื่อต้องเปลี่ยนสถานะต่างไม่มีความลังเลใดๆ
แม้แต่หลงเสวี่ยจี้กับอวี่เยี่ยที่เป็นจอมยุทธ์สายเหนือพิสุทธิ์เหมือนกัน เวลานี้พอเห็นจางปู้ซวีมาถึงต่างก็ลอบขมวดคิ้ว
จางปู้ซวีมองค่ายกลที่ตั้งตระหง่านกลางอากาศ และควันยาของวิญญาณตำหนักโอสถที่เกิดจากการถูกสะกด สีหน้าฉายแววประหลาดใจชนิดไม่อำพราง
“ข้าผู้แซ่จางเคยเห็นภาพเหมือนของสหายน้อยเยี่ยนมาก่อน วันนี้ได้พบกันเป็นครั้งแรก ได้ฟังมิสู้ได้เห็นอย่างแท้จริง”
กษัตริย์อนันต์มองเยี่ยนจ้าวเกอที่เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ควบคุมค่ายกลตรงกลางค่ายกล “เซียนผู้ถูกเนรเทศสมคมร่ำลือ”
เยี่ยนจ้าวเกอตอบอย่างเยือกเย็น “กษัตริย์อนันต์ชมเกินไป เพียงมีวาสนาดี สำเร็จเพราะโชคช่วย ก่อนหน้านี้ข้ายังต้องปาดเหงื่ออยู่”
“สหายน้อยเยี่ยนไม่จำเป็นต้องถ่วงเวลา” กษัตริย์อนันต์ยิ้มเฉิดฉัน “ตามเหตุผลผู้อาวุโสเช่นข้า หากแย่งชิงวาสนากับผู้เยาว์อย่างพวกเจ้าก็ออกจะไร้เกียรติไปบ้าง โดยเฉพาะตอนนี้ยังต้องชิงผลประโยชน์ของพวกเจ้า ทำตัวเป็นชาวประมงได้ประโยชน์ ทว่าทุกฝ่ายล้วนเข้าใจคุณค่าและความหมายของตำหนักโอสถดี ข้าได้แต่หน้าด้านแหกกฎสักครั้งหนึ่ง”
จางปู้ซวีมองรอบๆ สัมผัสได้ถึงการสั่นไหวของมิติเวลาในจักรวาลของตำหนักและอุณหภูมิร้อนแรงที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เขาถอนใจคำหนึ่ง “เป็นสั่วหมิงจางนี่เอง คิดไม่ถึงว่าเขาจะเข้ามายุ่งเกี่ยวในเรื่องนี้ ตอนนี้กลับต้องขอบคุณกวางขาวตนนั้นแล้ว ไม่อย่างนั้นยิ่งไม่มีหวังกว่าเดิม”
เขาเดินไปหาพวกเยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่กลางค่ายกลทีละก้าวๆ
ตอนนี้วิญญาณตำหนักโอสถถูกสะกดลดพลัง ต่อให้ค่ายกลจะสลายไป วิญญาณตำหนักเทียนซูก็ไม่อาจฟื้นฟูอยู่ชั่วขณะ
จางปู้ซวีมีพลังฝึกปรือและขีดความสามารถมากพอจะนำควันยาสายนั้นไป
กรณีเดียวกัน ระดับและพลังของเขาก็ทำให้เขามองข้ามพวกเยี่ยนจ้าวเกอได้
เซียนลี้ลับสงบนิ่ง มนุษย์ไม่อาจรบกวน
ในบรรดาคนที่อยู่รอบๆ มีแต่หลงเสวี่ยจี้ที่ได้ผลักเปิดประตูเซียน สำเร็จร่างเซียนจริงแท้เพียงคนเดียวเท่านั้น แต่ตอนนี้กำลังสู้กับเฉินเฉียนหัวอยู่
เฉินเฉียนหัวเห็นการเคลื่อนไหวของจางปู้ซวี ตาเป็นประกายในทันที
ไม่ต้องสื่อสารกับจางปู้ซวี เฉินเฉียนหัวก็พยายามตรึงหลงเสวี่ยจี้ไว้ ทำให้อีกฝ่ายไม่อาจปลีกตัวไปได้ชั่วขณะ
เขาไม่ได้สนใจว่าสุดท้ายแล้ววิญญาณตำหนักจะตกไปอยู่ในมือใคร แต่เขายินดีเพิ่มความลำบากให้แก่เยี่ยนจ้าวเกอส่วนหนึ่ง
นอกจากเฉินเฉียนหัวแล้ว คนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ไม่ว่าผู้ใดจะเผชิญกับจางปู้ซวี ต่างถูกจำกัดอยู่ที่ลักษณะโดยกำเนิด จึงทำอะไรไม่ได้
ถ้าทวนพระอังคารเป็นอาวุธเซียนประเภทเครื่องสวมใส่ หลังจากเยี่ยนจ้าวเกอใส่แล้วอาจจะยังมีโอกาสป้องกันอย่างเหนียวแน่นได้สักหนึ่งสองส่วน แต่เสียดายที่นี่เป็นศาสตราที่เอาไว้จู่โจมเข่นฆ่าชิ้นหนึ่ง สำหรับกษัตริย์อนันต์เหมือนกับวีรบุรุษไร้อาวุธให้ใช้
ตัวค่ายกลเพียงเจาะจงแค่วิญญาณตำหนัก ไม่มีผลต่อยอดฝีมืออย่างกษัตริย์อนันต์หรือปีศาจกวางขาว
จางปู้ซวีกษัตริย์อนันเคลื่อนไหวเรียบง่าย เสียงพิณติดตาม
ทว่าแสงสว่างของค่ายกลที่พวกเยี่ยนจ้าวเกอรักษากลับเริ่มสั่นไหวอย่างต่อเนื่อง ส่ายไปจนเกือบสลาย
ห้าคนในค่ายกล มีเยี่ยนจ้าวเกอเป็นผู้นำ สัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาลทั้งหมด
แรงกดดันนี้ถึงแม้จะไม่ได้ยิ่งใหญ่เท่าวิญญาณตำหนักเทียนซู กระนั้นกลับไม่ใช่สิ่งที่เยี่ยนจ้าวเกอในปัจจุบันจะทนรับได้
เมื่อเยี่ยนจ้าวเกอได้ยินเสียงพิณที่ไพเราะเพราะพริ้ง งดงามเกินจะนิยาม กลับเหมือนเสียงรบกวนที่อึกทึกอย่างไม่เคยมีมาก่อน ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนแก้วหูแทบแตก
ไม่เพียงแต่เลือดที่กำลังเดือดพล่านเท่านั้น อวัยวะภายในและกระดูกกำลังจะแหลกสลาย แม้แต่วิญญาณก็รับการสั่นสะเทือนไม่หยุด เหมือนกับกำลังจะระเบิดจากด้านในสู่ด้านนอก
“ต้องอาศัยโชคทั้งหมดแล้ว” เยี่ยนจ้าวเกอฝืนสะกดจิตใจ หันไปมองเนี่ยจิงเสิน
เนี่ยจิงเสินผงกศีรษะเล็กน้อย “พวกเราโชคไม่เลว”
เสียงขาดลง กลางอากาศไกลออกไปพลันมีเสียงดังขึ้น
เสียงกระบี่คำราม!
เสียงกระบี่คำรามที่ปัจจุบันทันด่วนสายหนึ่งเหมือนกับคมกระบี่ ฟันเสียงพิณที่ครอบคลุมจักรวาลออกจากตรงกลาง เหลือเพียงเสียงอ้อยอิ่ง ยากจะคงสภาพต่อ
ต่อจากเสียงกระบี่คำราม ประกายกระบี่อันยิ่งใหญ่ก็บรรลุถึงด้านหน้าจางปู้ซวีในชั่วพริบตา
จางปู้ซวีมีสีหน้าจริงจรังขึ้นหลายส่วน หีบเก็บพิณด้านหลังเปิดออก ปราณกระบี่หลายสายทะลักออกมาจากด้านใน ขัดขวางประกายกระบี่ที่โจมตีเขากลางอากาศ
สองฝ่ายปะทะกันตรงๆ ประกายกระบี่หายไป จางปู้ซวีหยุดเคลื่อนไหว
ประกายกระบี่ตั้งตรงสายหนึ่งกลางความว่างเปล่าอันมืดมิดที่อยู่ไกลออกไป เหมือนกับแยกจักรวาลออกเป็นสองส่วน
บัดนี้ประกายกระบี่ราวกับเส้นทาง ยืดเหยียดจากที่ไกลมายังที่ใกล้
เงาร่างสายหนึ่งก้าวเดินอย่างไม่รีบไม่ร้อนบนทางเดิน กระนั้นก็มาถึงเบื้องหน้าทุกคนในชั่วอึดใจ
เนี่ยจิงเสินคำนับก่อน “ศิษย์เนี่ยจิงเสิน คำนับท่านอาจารย์”
เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เยี่ยนจ้าวเกอคำนับอาจารย์ลุงเยว่”
เยี่ยนตี๋พูดขึ้นเช่นกัน “ศิษย์พี่เยว่”
นั่นเป็นบุรุษวัยกลางคนสวมมงกุฎสูงอาภรณ์โบราณ อายุราวๆ สี่สิบกว่าปี ใบหน้าเคร่งขรึม สายตาคมกริบคนหนึ่ง คนผู้นี้เหมือนกับกระบี่เปิดฟ้า กลับไม่แสดงความคมกล้า เพียงแต่แค่ยืนตัวตรงอยู่ที่นั่นก็เหมือนกับยอดเขาแทงสู่หมู่เมฆ ทำให้ผู้คนต้องเงยหน้ามอง
ผู้มาเป็นผู้ปกครองเขานครหยกยอดเขาเป่ยเกาแห่งเขาคุนหลุน หนึ่งในสามกษัตริย์ของโลกซ้อนโลก
กษัตริย์กระบี่ เยว่เจิ้นเป่ย!
ลูกศิษย์ของราชันพระศุกร์เยี่ยนซิงถาง อดีตเก้านพเคราะห์คุนหลุนใหม่ ถูกจัดเป็นสามกษัตริย์แห่งโลกซ้อนโลกเหมือนกับราชันพระเสาร์เจี่ยงเซิน ราชันพระเกตุหยางเซ่อด้วยสถานะของผู้เยาว์
ทั้งโลกซ้อนโลกและมรกตท่องฟ้าต่างนับได้ว่าเป็นยอดฝีมือระดับเซียนลี้ลับที่อายุน้อยที่สุดในปัจจุบัน เป็นลูกศิษย์สามพิสุทธิ์สายหลักที่โดดเด่นที่สุดท่ามกลางจอมยุทธ์รุ่นราวคราวเดียวกัน
ก่อนหน้านี้ เขาอยู่ในมิติต่างแดนมาโดยตลอด ไม่ได้กลับโลกซ้อนโลก เยี่ยนจ้าวเกอเองก็คาดไม่ถึงว่าตนจะได้เจออาจารย์ลุงเยว่ผู้นี้ในตำหนักโอสถ
ตอนแรกเขาสัมผัสได้ว่านอกจากราชันพระอังคารสั่วหมิงจางแล้ว ยังมีคนอื่นติดตามเข้ามาในตำหนักโอสถ จึงเดาดูว่าเยว่เจิ้นเป่ยจะอยู่ในนี้หรือไม่ เพียงแต่ไม่อาจยืนยันเท่านั้น
เขาจึงพูดว่า ต้องเดิมพันโชคทั้งหมดแล้ว
ปัจจุบันเป็นไปตามคำกล่าวของเนี่ยจิงเสิน พวกเยี่ยนจ้าวเกอโชคไม่เลว
เยว่เจิ้นเป่ยสีหน้าน่าเกรงขาม เพียงพยักหน้าน้อยๆ ให้แก่พวกเยี่ยนจ้าวเกอ จากนั้นก็มองจางปู้ซวี
“เยว่เจิ้นเป่ย…ศิษย์ของเยี่ยนซิงถาง” จางปู้ซวีมองเยว่เจิ้นเป่ยเช่นกัน “ศิษย์น้องข่งตายด้วยกระบี่ของท่านกระมัง ข้าผู้แซ่จางอกตัญญู มักทำให้ท่านอาจารย์โกรธเคือง ยังดีที่มีศิษย์น้องข่งคอยปรนนิบัติ แต่เขากลับถูกท่านฆ่าตาย”
พิณหยกคันหนึ่งปรากฏกลางฝ่ามือของเขา “ให้ข้าดูหน่อยเถิดว่าท่านได้การสืบทอดของเยี่ยนซิงถางมาสักกี่ส่วน”
เสียงพิณดังขึ้น ประกายกระบี่บ้างเขียว บ้างแดง บ้างดำ บ้างขาวแผ่พุ่งออกมา ตัดสลับรวมกัน ให้กำเนิดภาพอันน่าอัศจรรย์ไร้สิ้นสุด ขณะเดียวกันก็แฝงพลังทำลายล้างที่น่าพรั่งพรึงไร้ขีดสุด ฟันใส่เยว่เจิ้นเป่ยมืดฟ้ามัวดิน
เยว่เจิ้นเป่ยสีหน้าเรียบเฉย “ท่านไม่ใช่กษัตริย์ลี้ลับ”
ขณะที่พูด ประกายกระบี่อันบริสุทธิ์สายหนึ่งก็พุ่งขึ้นอีกครั้ง ข้ามผ่านจักรวาล
………………..