ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1291 การต่อสู้ของเส้นทาง
ในตอนที่ได้ฟังข่าวว่าราชันพระเสาร์เจี่ยงเซิ่นในที่สุดก็กลับโลกซ้อนโลกจากปากของเฉินเสวียนจง เยี่ยนจ้าวเกอก็ระบายลมหายใจออกยาวๆ “ต้องเริ่มแล้ว”
เขาตรวจสอบแผนการต่างๆ ของตนรอบหนึ่ง คาดคำนวณเป็นมั่นเหมาะ “ยังต้องเร่งอีกสักหน่อย”
ถ้าหากมีเวลามากกว่านี้อีกสักนิด ย่อมประเสริฐที่สุด
กระนั้นนั่นเป็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องที่เป็นอุดมคติเกินไป อีกฝ่ายไม่มีทางยอมรอตามที่ตนต้องการ
เยี่ยนจ้าวเกอกำหนดความคิดเป็นมั่นเหมาะ หลังจากเตรียมเรื่องที่ควรจัดการเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ก็กล่าวกับกษัตริย์ดารา “ที่นี่รบกวนใต้เท้าแล้ว”
“ตัวข้าเต็มใจ” กษัตริย์ดาราเฉินเสวียนจงสีหน้าสงบนิ่ง พยักหน้าราบเรียบ
เยี่ยนจ้าวเกอผละจากโลกซ้อนโลก บรรลุถึงมิติจักรวาลด้านนอกเขตแดนฟ้าดิน
เขามุ่งหน้าไปยังตำหนักโอสถที่ซ่อนร่องรอยไว้ ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกมุ่งหน้าไปยังอีกทิศทางหนึ่ง
ขณะนี้ ในจักรวาลด้านนอกโลกซ้อนโลก เห็นเงาคนสายหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่เงียบๆ
ถึงแม้จะกั้นด้วยมิติหลายชั้น อยู่ห่างไกลไร้สิ้นสุด ทว่าเงาร่างของบุรุษผมสั้นผู้นั้นกลับทำให้ทุกคนในจักรวาลต่างเห็นได้ชัดเจน ไม่ว่าจะอยู่ห่างจากเขาขนาดไหน
สถานที่ที่คนผู้นี้อยู่เหมือนกับใจกลางจักรวาล และเหมือนกับคงอยู่ทุกที่ ไม่มีที่ใดไปไม่ถึง
นั่นก็คือสั่วหมิงจาง ราชันพระอังคาร
ต่อหน้าเขา ยืนไว้ด้วยชายชราที่มีอายุรูปลักษณ์ภายนอกราวๆ ห้าหกสิบปี
ชายชราดวงตาเมตตา แต่ใบหน้าจริงจัง
เยี่ยนจ้าวเกอที่ได้เห็นภาพเหมือนเงาแสงของอีกฝ่ายมาไม่รู้กี่ครั้ง ย่อมจดจำได้ว่า นี่ก็คืออดีตกษัตริย์ดินผู้นำแห่งสามกษัตริย์บนโลกซ้อนโลก และราชันพระเสาร์ซึ่งปัจจุบันได้เลื่อนสู่ระดับเซียนกำเนิด สำเร็จตำแหน่งจ้าวสวรรค์ เจี่ยงเซิ่น
พวกเขาสองคนยืนอยุ่ที่นั่น ทำให้ฟ้าดินไร้แสง ทุกสิ่งที่อยู่รอบๆ สูญเสียสีสันอย่างเงียบงัน
เหมือนกับกลางจักรวาล มีแค่พวกเขาสองคนที่เป็นของจริง ที่เหลือล้วนเป็นภาพมายา
พร้อมกับที่ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกเข้าใกล้ ข้างหูก็เหมือนมีเสียงมหามรรคาที่คุ้นเคยดังขึ้นอีกครั้ง
เพียงแต่ว่า ปัจจุบันเสียงมหามรรคาไม่ได้ส่งผลสะกดต่อมัน พอฟังกลับน่าอัศจรรย์ ได้รับผลประโยชน์มากมาย
เมื่อเข้าใกล้ ก็เห็นได้ว่า ด้านข้างสั่วหมิงจางกับเจี่ยงเซิ่น แยกกันยืนไว้ด้วยกษัตริย์กระบี่เยว่เจิ้นเป่ยและหยางเซ่อกษัตริย์เร้นลับ
ราชันพระเสาร์เจี่ยงเซิ่น กับหยางเซ่อกษัตริย์เร้นลับสัมผัสได้ว่าร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกเข้าใกล้ สายตาสั่นไหว กวาดมองมา
ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกใบหน้าเป็นปกติ ประสานมือคำนับ “ผู้อาวุโสสี่ท่านอยู่ตรงหน้า อภัยที่ข้าใช้ร่างแยกมาคำนับ ส่วนที่เสียมารยาท ได้โปรดให้อภัยด้วย”
“ลูกหลานของสหายร่วมเส้นทางเยี่ยนซิงถางหรือ?” เจี่ยงเซิ่นยิ้มเล้กน้อย “ถึงข้าจะมิได้อยู่บนโลกซ้อนโลกนาน แต่นามของเซียนผู้ถูกเนรเทศยังเหมือนสายฟ้าดังกรอกหู”
เขาไม่ได้แสดงสีหน้าเหน็บแนม ในความใจกว้างในดวงตาทอแววเสียดายยิ่งกว่า
เจี่ยงเซิ่นที่เป็นระดับราชันเซียนกำเนิดสุญญาตา เผชิญกับเยี่ยนจ้าวเกอที่ยังมิได้ผลักเปิดประตูเซียน อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ ใช้น้ำเสียงเฉื่อยชา เหมือนกับคนแก่ที่สนทนาเรื่องทั่วไปกับเยี่ยนจ้าวเกอ
“คนหนุ่มที่โดดเด่นอย่างเจ้า หากมีเวลามากกว่านี้ จะต้องประสบความสำเร็จใหญ่หลวง คนชราอย่างข้าสมควรช่วยปกป้องคุ้มครอง ถ่ายทอดความรู้ สำนักเต๋าสายหลักของเราจะได้เจริญรุ่งเรือง”
เจี่ยงเซิ่นส่ยศีรษะเล็กน้อย “น่าเสียดาย โชคชะตากลั่นแกล้งคน เจ้ากลายเป็นผู้สืบทอดชาติภพใหม่ของอิ๋นประกายกาฬ ส่วนมารดาจ้าวเป็นผู้สืบทอดดั้งเดิมของหูเจิดจรัส”
ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกกล่าว “อภัยที่ข้าผู้แซ่เยี่ยนไร้มารยาท คำกล่าวนี้ของผู้อาวุโสเจี่ยงออกจะผิดพลาดไป”
“เรื่องที่ใต้เท้าประกายกาฬกับเจิดจรัสได้กระทำลงไปเมื่อครั้งอดีต ไม่เพียงแต่คนรุ่นหลังอย่างพวกข้า แม้แต่ท่านกับใต้เท้ากษัตริย์เร้นลับก็ได้ผลประโยชน์ร่วมกัน”
“เทวกษัตริย์ไร้ประมาณหลังจากรวบรวมศิลาฟ้ากำเนิดครบแล้ว ไม่จำเป็นต้องลงมือจับกุม ขอแค่เป็นจอมยุทธ์ที่ทราบการดำรงอยู่ของเขา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ขอแค่ต้องการ เขาก็สามารถชำระล้างข้ามมิติได้”
ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกมองเจี่ยงเซิ่น “จ้าวสวรรค์ที่ได้เปลี่ยนห้าปราณมุ่งสู่ต้นกำเนิดเช่นท่าน ก็เกรงว่าจะไม่มีข้อยกเว้น”
เจี่ยงเซิ่นมิได้ถือสา กล่าวอย่างเรียบเฉย “มีเรื่องนี้จริงๆ จะเป็นพวกเขาสองคนอ้างเรื่องส่วนรวบช่วงชิงผลประโยชน์ ตั้งใจขมขู่หรือไม่ จนถึงวันนี้ยังยากจะบอกกล่าว”
เขาเว้นเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยว่า “ถ้าหากมีเรื่องนี้จริงๆ ก็จำเป็นต้องยอมรับว่า ไม่เพียงแต่ข้าติดหนี้บุญคุณพวกเขา การกระทำของพวกเขายังส่งผลดีมาเป็นพันปี สำนักเต๋าสายหลักล้วนได้รับประโยชน์ ทว่า…ตอนนี้ หรือแม้แต่กาลเวลาอันยาวนานในภายหลัง พวกเรามิอาจยอมรับพวกเขา มิอาจสรรเสริญพวกเขา”
“ถึงขั้นที่ต่อให้จะมีเรื่องนี้จริงๆ เรื่องที่พวกเรากำลังทำอยู่ในตอนนี้ก็มิอาจเปลี่ยนแปลงได้”
ชายชรากล่าวอย่างสงบนิ่ง “จาแนวโน้มใหญ่ในปัจจุบัน พวกเราจำเป็นต้องทำเรื่องที่ขัดกับความคิดมากมาย แต่ต่อให้จะยากเย็นกว่านี้ พวกเราก็ได้แต่ต้องทำ”
“ทุกสิ่งในวันนี้เมื่อผ่านไป ก็แล้วแต่อนุชนคนรุ่นหลังจะวิจารณ์ สิ่งที่พวกเราจะทำในตอนนี้ก็เพื่อช่วงชิงอนาคตให้แก่เหล่าผู้มาที่หลัง”
ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกของเยี่ยนจ้าวเกอพอฟัง สีหน้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ “แต่นั่นจะเป็นอนาคตแบบใดเล่า?”
“ตอนนี้เส้นทางนอกรีตยิ่งใหญ่ ยากต้านทาน ไม่ถือว่าแปลกปลอม แต่ก็เพราะแบบนี้ สำนักเต๋าสายหลักของเราคิดฟื้นฟู อีกฝ่ายหรือจะยินยอม?”
ในอาณาเขตการควบคุมของเส้นทางนอกรีต บางทีอาจะทำเป็นไม่สนใจ
แต่ถ้าเกิดมีต้นกล้าที่สูญเสียการควบคุม จะต้องจู่โจมแน่
ต่อให้ไม่ใช่การโจมตีชนิดทำลายล้างให้สิ้นซาก ก็ต้องกดดันให้ถอยกลับไปสู่อาณาเขตปลอดภัยที่ควบคุมได้
เหมือนกับเลี้ยงแกะไว้ตัดขน
ตราบใดที่สงบเสงี่ยม ยอมประนีประนอม รับการสะกด นอกเสียจากจะมีการเปลี่ยนแปลงภายนอกขนาดใหญ่ ไม่อย่างนั้นแทบไม่มีโอกาสทำลายสถานการณ์ปิดตายในตอนนี้ได้
“สถานการณ์ ไม่ใช่จะไม่เปลี่ยนแปลงตลอดไป” เจี่ยงเซิ่นเข้าใจความคิดของเยี่ยนจ้าวเกอ กล่าวอย่างเฉื่อยชา “สภาพการณ์ซับซ้อนกว่าสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทราบ”
“แต่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลดีต่อพวกเราหรือไม่ กลับไม่แน่แล้ว” เยี่ยนจ้าวเกอสงบนิ่งเช่นกัน
เจี่ยงเซิ่นไม่โต้ตอบ
ไม่มีใครรับประกันได้ว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพการณ์จะส่งผลดีต่อตนเองเหมือนที่เหมือนตนคาดคิดไว้
พระศรีอาริย์กับเทวกษัตริย์ไร้ประมาณก็ยังทำไม่ได้
เยี่ยนจ้าวเกอยามเผชิญกับผู้ยิ่งใหญ่ระดับจ้าวสวรรค์ที่เคียดแค้นฝ่ายตนจนมิอาจอยู่ร่วมฟ้าเดียวกัน กลับไม่สะทกสะท้าน “ถึงแม้ว่าไม่ได้อยู่ร่วมเส้นทางเดียวกับผู้อาวุโสเจี่ยงท่าน แต่หลายปีมานี้ความพยายามที่ท่านได้ใช้ไปเพื่อความรุ่งเรืองของสำนักเต๋าก็ยังคงควรค่าแก่การยกย่อง”
“การพัฒนาในปัจจุบันของโลกซ้อนโลก ย่อมเป็นความดีความชอบของท่าน”
ขณะที่พูด เขาก็สบตากับราชันพระเสาร์เจี่ยงเซิ่นอย่างไม่หวั่นเกรง “แต่ว่าที่ผู้สืบทอดกระแสตรงสายสามพิสุทธิ์ทั้งหมดในโลกซ้อนโลกไปจนถึงมรกตท่องฟ้า กลับมารุ่งเรืองอีกครั้งในวันนี้ ใต้เท้าอายุวัฒนาหนานจี๋ เจ้าแม่อู๋ตังเหนียงเหนียง รวมถึงราชันพระพฤหัสบดี ใต้เท้าประกายกาฬและเจิดจรัส ก็มีความดีความชอบใหญ่หลวงเช่นกัน”
ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกยื่นมือหนึ่งออกมา พลิกฝ่ามือและหลังมือไปมา “การฝากความหวังไว้ที่การอดทนอดกลั้น แลกเปลี่ยนราคาทั้งหมดเพื่อช่วงชิงพื้นที่และเวลาเพียงอย่างเดียว มิอาจกระทำได้จริง เป็นเพราะอีกฝ่ายไม่ตอบรับ”
“สมดุลที่เปราะบางในปัจจุบัน ที่แล้วมามิได้เป็นเพราะว่าเส้นทางนอกรีตใจดีกับเรา แต่เป็นเพราะพวกเราสำนักเต๋าสายหลักอาศัยโอกาสที่โถงเซียนกับแดนสุขาวดีสะกดกันเอง จึงค่อยเข่นฆ่าออกเป็นทางรอดที่คดเคี้ยวสายหนึ่ง”
“ที่เส้นทางนอกรีตไม่ได้ฉีกหน้ากับพวกเราโดยสมบูรณ์ และตัดสินใจเข่นฆ่าสามพิสุทธิ์สายหลักเราให้หมดสิ้น นอกจากเส้รทางนอกรีตและแดนสุขาวดีสะกดกันเองอยู่แล้ว หนึ่งในเหตุผลที่สำคัญที่สุดก็คืออย่างน้อยสามพิสุทธิ์สายหลักของพวกเราก็ยังมีเทวกษัตริย์สามคนที่ยังมีชีวิตอยู่”
………………..