ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1368 การช่วงชิงในไซอิ๋ว
“อัญเชิญพระคัมภีร์? กลายเป็นพุทธ? มรรคผล?” ซุนหงอคงได้ยิน หัวเราะอย่างแปลกประหลาด
เพียงแต่แม้กำลังหัวเราะ ในเสียงหัวเราะกลับเต็มไปด้วยความเคียดแค้นไม่ยินยอม
“มรรคาผลของศาสนาพุทธหายากนักหรือ?” เขาตะโกนขึ้น “กลับไม่อยู่ในสายตาของข้าเหล่าซุน!”
“คนหลอกลวง! หลอกลวงข้าแต่ต้นแล้ว! พุทธตะวันตกเข้าสู่ตะวันออก แผ่พระธรรมไปไพศาล มีผลบุญมหาศาลหรือ? ผลบุญที่ต้องเหยียบย่ำเหล่าพี่น้องมากมายจึงค่อยสำเร็จ หายากตรงไหน?”
เยี่ยนจ้าวเกอพอฟัง ก็ตกอยู่ในห้วงความคิด
เฟิงอวิ๋นเซิงอดถามขึ้นไม่ได้ “มหาเทวะท่านในเมื่ออยู่ที่นี่ เช่นนั้นยุทธวิชัยพุทธะที่อยู่ด้านนอก...หรือจะเป็นวานรหกหูนั่น?”
เมื่อทราบชัดว่าภูเขาเบญจคีรีเป็นเป้าหมาย ก่อนหน้านี้เฟิงอวิ๋นเซิงได้ยัดความรู้ที่เกี่ยวข้องกับยุคไซอิ๋วยุคโบราณตอนกลางมาไม่น้อย
ถึงจะเป็นเพราะยุคสมัยยาวนาน ส่วนใหญ่ล้วนเป็นตำนานเรื่องเล่า
หากแต่เฟิงอวิ๋นเซิงก็ทราบว่า ในอดีตเคยมีตำนานของราชาวานรโสภาตัวจริงตัวปลอม
ว่ากันว่าขณะเดินทางไปยังชมพูทวีป วานรหกหูซึ่งมีความเป็นมาไม่ชัดเจน ได้สวมรอยเป็นมหาเทวะเสมอฟ้าซุนหงอคง ก่อคลื่นลมขนาดใหญ่ ไม่มีผู้ใดแยกแยะจริงปลอมออก
จนกระทั่งพระยูไลแห่งเขาหลิงซานออกหน้า จึงค่อยทำให้วานรหกหูเผยร่างเดิม ภายหลังถูกซุนหงอคงฆ่าตาย
ถ้าหากว่าวานรที่อยู่ที่นี่เป็นมหาเทวะเสมอฟ้าที่แท้จริง
เช่นนั้นยุทธวิชัยพุทธะที่สำเร็จมรรคาผลในศาสนาพุทธด้านนอกนั้น สมควรเป็นเทพเทวาองค์ใด?
“หรือว่าเป็นราชาวานรโสภาตัวจริงถูกสะกด ส่วนวานรหกหูนั้นฉวยโอกาสเลียบนแบบตัวจริง” เฟิงอวิ๋นเซิงถาม
วานรตนนั้นไม่ได้ตอบ แต่ว่าอารมณ์ที่พลุ่งพล่นในที่สุดก็สงบลงแล้ว
“ยุทธวิชัยพุทธะๆ สำเร็จมรรคาผลในศาสนาพุทธ ในเมื่อมันกลายเป็นพระพุทธแล้ว เช่นนั้นหมายความว่าพวกเขาทำสำเร็จแล้ว…” วานรพึมพำ “พุทธตะวันตกสู่ตะวันออก แดนอภิรดีศูนย์กลางรุ่งเรือง ศาสนาพุทธรุ่งเรือง…พวกเขาทำสำเร็จแล้วจริงๆ…”
ครู่ต่อมา เขาพลันเงยหน้าขึ้นมองเยี่ยนจ้าวเกอและเฟิงอวิ๋นเซิง “เหล่าเด็กน้อย ข้าเหล่าซุนถูกคนสะกดไว้ที่นี่ ยากจะทราบถึงเรื่องโลกภายนอก การไปอัญเชิญพระคัมภีร์ที่ชมพูทวีปสุดท้ายแล้วเป็นอะไร เล่าให้ข้าฟังดู”
เว้นครู่หนึ่งวานรค่อยกล่าวเสริม “เริ่มจาก...ที่เจ้าพูดถึงตอนที่ข้าได้พบกับพระถังซำจั๋งนั่น”
เฟิงอวิ๋นเซิงพอฟังก็ประหลาดใจ หันไปมองเยี่ยนจ้าวเกอแวบหนึ่ง เห็นเยี่ยนจ้าวเกอยังคงเหม่อลอย ขบคิดสักพักค่อยตอบว่า “ผู้เยาว์ทราบจำกัด หวังว่าจะไม่ทำให้ท่านเข้าใจผิด”
นางเลือกตำนานที่ค่อนข้างแม่นยำส่วนหนึ่งที่ตัวเองทราบ จากนั้นก็เล่าให้วานรฟัง
วานรยิ่งฟัง ดวงตายิ่งเบิกใหญ่ขึ้น กัดฟันดังกรอดๆ เห็นได้ชัดว่าพยายามยควบคุมอารมณ์ของตัวเองอยู่
รอฟังถึงการอัญเชิญพระคัมภีร์ที่ชมพูทวีปประสบความสำเร็จ พระถังซำจั๋งได้ตรัสรู้ ขึ้นสู่ตำแหน่งบุญกุศลพุทธะ ซุนเห้งเจียก็ขึ้นสู่ตำแหน่งยุทธะวิชัยพุทธะ นอกจากนี้สุดท้ายหลังจากกาลเวลาอันแสนยาวนาน พระยูไลแห่งเขาหลิงซานก็หลุนพ้นสำเร็จ วานรตนนั้นส่งเสียงร้องโวยวาย เหมือนกับคั่งแค้น และเหมือนทุกข์ตรม
สักพักใหญ่ๆ เขาแสดงสีหน้ากลัดกลุ้ม ถอนใจยาวๆ เฮือกหนึ่ง
เฟิงอวิ๋นเซิงเงียบเสียง เยี่ยนจ้าวเกอที่ก่อนหน้านี้เงียบงันโดยตลอดพลันถาม “มหาเทวะเสียใจแล้ว?”
“เสียใจอันใด?” วานรมีโทสะอีกรอบ ตวาดว่า “ถ้าหากข้าให้ความสำคัญ ไฉนจึงติดอยู่ใต้เขานี้มาโดยตลอด!”
เฟิงอวิ๋นเซิงงุนงง “หลังจากที่ท่านถูกสะกดเป็นครั้งแรก ก็ไม่เคยได้ออกจากเขาเบญจคีรีแห่งนี้หรือ?”
เช่นนั้นก่อนที่วานรหกหูจะปรากฏตัว ซุนเห้งเจียที่ส่งพระถังซำจั่งไปอัญเชิญพระคัมภีร์ที่ชมพูทวีปเป็นผู้ใด?
ผู้ที่สำเร็จมรรคผลเป็นยุทธวิชัยพุทธะในตอนสุดท้ายเป็นผู้ใดกันแน่?
หรือว่าวานรตรงหน้านี้เป็นตัวปลอม ตอนนี้กำลังโกหกพกลมอยู่?
ขณะนี้เฟิงอวิ๋นเซิงรู้สึกเย็นวาบที่กลางหลัง
เยี่ยนจ้าวเกอมองดูวานรตรงหน้า ไม่ได้ปิดบังความคิดไต่ถามในสายตาของตัวเอง
วานรกวาดมองเขาแวบหนึ่ง ถอนใจกล่าว “ข้าไม่ให้ความสำคัญ แต่ก็มีคนให้ความสำคัญจริงๆ ข้าก็คือมัน มันก็คือข้า แต่เรื่องที่มันทำลงไป ข้าไม่มีวันทำ!”
“แม้จะถูกสะกดไว้ที่นี่เป็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้านปี ข้าก็ขอพูดคำเดิม!”
เยี่ยนจ้าวเกอมองวานรที่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน โพล่งขึ้นว่า “ตอนนั้นท่านแบ่งเป็นสองแล้ว!”
เฟิงอวิ๋นเซิงที่ได้ยินเรื่องที่ฟู่อวิ๋นฉือจักรพรรดิแพรได้ประสบมาก่อน ยามนี้รู้สึกตัว มองมหาเทวะเสมอฟ้าตรงหน้าด้วยความตื่นตระหนก
“ซุนเห้งเจียใส่มงคลรัดเกล้า ติดตามพระถังซำจั๋งไปอัญเชิญพระคัมภีร์ที่ชมพูทวีป” เยี่ยนจ้าวเกอพูดทีละคำ “มหาเทวะเสมอฟ้ากลับอยู่ที่นี่มาโดยตลอด?”
ซุนเห้งเจียคือซุนหงอคง มหาเทวะเสมอฟ้าก็คือซุนหงอคงเช่นกัน
ทว่าซุนเห้งเจียกลับไม่ใช่มหาเทวะเสมอฟ้าแล้ว
“เหอะๆ ข้าย่อมอยู่ที่นี่!” ดวงตาของวานรเหมือนกระจกใส ในกระจกมีแสงไฟสั่นไหว ยึดติดและไม่ยินยอม
เยี่ยนจ้าวเกอคล้ายนึกอันใดออก “วานรหกหูนั่น…”
“เรื่องอื่นข้าไม่ทราบ ต้องถามพวกเจ้าสองคน” มหาเทวะเสมอฟ้าที่อยู่ตรงหน้ายิ้มเยาะตนเอง “แต่ข้ากลับรู้จักวานรกหกหูทีว่า ยังรู้ด้วยว่าเขาเกิดและเขาตายตอนไหน”
“มารจิตของซุนเห้งเจีย…” เยี่ยนจ้าวเกอกับเฟิงอวิ๋นเซิงล้วนกระจ่างแจ้ง
ถึงจะแยกจากหนึ่งเป็นสอง มหาเทวะเสมอฟ้าที่ยืนกรานไม่ยอมรับถูกสะกดอยู่ใต้ภูเขาต่อ ส่วนซุนเห้งเจียที่ยินยอมนับถือศาสนาพุทธได้ออกจากที่นี่
ทว่าสุดแล้วซุนหงอคงก็คือซุนหงอคง แม้จะเป็นซุนเห้งเจียที่ออกไป แต่เกิดสองจิตใจ
น่าเสียดาย เหตุเปลี่ยนแปลงนี้ในที่สุดยังถูกจัดการได้
ทุกอย่างกลับคืนสู่ครรลองที่ถูกต้อง ประวัติศาสตร์เดินหน้าต่อ
“เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเบื้องหลังอาจมีเงาของนพยมโลก ขัดขวางความรุ่งเรืองของแดนสุขาวดีอภิรดี และการหลุดพ้นขององค์ยูไล” เยี่ยนจ้าวเกอระบายลมหายใจยาวๆ มองดูมหาเทวะเสมอฟ้าตรงหน้า ถามขึ้นอีกว่า “เส้นทางไปอัญเชิญพระคัมภีร์ที่ชมพูทวีป เป็นเส้นทางความรุ่งเรืองของศาสนาพุทธ และเป็นเส้นทางการดับสูญของเผ่าปีศาจ”
เห็นวานรถลึงตา เยี่ยนจ้าวเกอก็ยักไหล่ “เอาเถอะ นอกจาเราเผ่ามนุษย์แล้ว เผ่าอื่นๆ ในยุคบุพกาลต่างพบพานความเสื่อมโทรม”
เขาปั้นสีหน้าจริงจัง “ปีศาจน้อยใหญ่จำนวนมากบ้างตกตาย บ้างถูกปราบ ตามคำกล่าวของใต้เท้า ในนี้ยังมีเหล่าพี่น้องและสหายสนิทของท่าน”
“ซุนเห้งเจียนั่นหันไปนับถือศาสนาพุทธ จิตใจมุ่งหาพระธรรม ไม่คำหนึ่งถึงน้ำใจเก่าก่อน แต่ท่านนึกถึง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ กลับมิสู้ให้ท่านออกไป บางทีสามารถยั้งไมตรี ละเว้นชีวิตได้มากกว่าเดิม”
มหาเทวะเสมอฟ้าแค่นเสียง “ไหนเลยง่ายดายเพียงนั้น นั่นเป็นสถานการณ์ไม่ตายไม่เลิกรา”
เขาเงยหน้ามองฟ้า เซื่องซึมเหม่อลอย “หลังจากยุคโบราณตอนต้น สามพิสุทธิ์สำนักเต๋าหลุดพ้น ทว่าศาสนาพุทธแห่งแดนตะวันตกรุ่งเรือง เผ่าพันธุ์มากมายในยุคบุพกาลยังมีพลังเหลือ ดังนั้นสองฝ่ายจึงแก่งแย่งความเป็นเจ้าของของโลกใบนี้”
“แดนลี่กว่างสวรรค์ชั้นไท่ซู่ที่อยู่นอกเหนือสวรรค์สามสิบสามชั้นได้บัญชาคำสั่ง มหาเทวะสามสิบหกตน อนุเทวะเจ็ดสิบสามตน รวมกันทั้งหมดหนึ่งร้อยแปดตนจากเผ่าพันธุ์ต่างๆ แบ่งศิลาวิญญาณที่เหลืออยู่หลังจากเจ้าแม่หนี่ว์วาใช้อุดฟ้า จากนั้นก็ก่อตั้งค่ายกลป้องกันศาสนาพุทธ”
“ศิลาวิญญาณหนึ่งร้อยแปดชิ้นผสานกับมหาเทวะกับอนุเทวะมากมาย หากคิดทำลายค่ายกล จำเป็นต้องสังหารให้หมดสิ้น”
“ถึงแม้ว่าจะสังหารมหาเทวะและอนุเทวะที่ครองชิ้นส่วนศิลาวิญญาณอยู่ ศิลาแต่ละส่วนก็จะบินกลับไปยังแดนลี่กว่างเอง ถึงเวลานั้นยังคงมีโอกาสตั้งหลักได้ใหม่”
“เจ้าแม่หนี่ว์วาอุดฟ้า เหลือศิลาวิญญาณสามชิ้น ตามจำนวนฟ้า ดิน และมนุษย์สามไตรภาค ชิ้นที่นำมาใช้วางค่ายกล เรียกว่าศิลามนุษย์กำเนิด”
“คิดทำลายความวิเศษของศิลามนุษย์กำเนิด จำเป็นต้องใช้ศิลาดินกำเนิด”
วานรชี้ศิลาที่ฝังบนเขาด้วยความท้อแท้“นั่นคือศิลาดินกำเนิด และเป็นรากฐานความเป็นมาของข้า!”
………………..