ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1377 เมื่อของหาย จงตามหาเกาหาน!
“รอเดี๋ยว ถ้าเป็นนกเผิง…” เยี่ยนจ้าวเกอพลันขมวดคิ้ว “ข้าเคยได้ยินว่า ในสงครามที่ต่อสู้กับแดนสุขาวดีตะวันตก ผู้นำทัพเผ่าปีศาจคือเผิงท่องเมฆหมื่นลี้ที่เคยมีชื่อเสียงในยุคโบราณตอนกลาง?”
เผิงท่องเมฆหมื่นลี้ หรืออินทรีเผิงปีกทอง เป็นมหาเทวะเผ่าปีศาจที่เคยมีโด่งดังในยุคไซอิ๋วโบราณตอนกลางอยู่ช่วงหนึ่ง ภายหลังถูกพระยูไลสะกดไว้ นำกลับไปที่วัดลุ่นอิมในเขาหลิงซาน ข่าวคราวสูญหายไปตั้งแต่นั้น
ภายหลังพระยูไลแห่งเขาหลิงซานหลุดพ้น พระศรีอาริยเมตไตรยประสูติแล้วกลายเป็นพระศรีอารย์ ในแดนอภิรดีศูนย์กลางก็ไม่เห็นวิหกท่องเมฆหมื่นลี้อีก
จนกระทั่งยี่สิบปีก่อน เผ่าปีศาจได้เข้าสู่ทางโลกใหม่ ต่อสู้กับแดนสุขาวดีตะวันตก เผิงท่องเมฆหมื่นลี้จึงค่อยปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนอีกครั้ง
บนสมรภูมิที่ต่อสู้กับแดนสุขาวดีตะวันตก วิหกท่องเมฆหมื่นลี้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่นำทัพบัญชาการผู้เข้มเข็งเผ่าปีศาจตนอื่น มีความเก่งกล้าสามารถ สามารถพลิกคว่ำฟ้าดิน ทำให้เหล่านักบวชในศานาพุทธปวดเศียรเวียนเกล้า
โดยเฉพาเขายังเร็วเกินไป เหมือนกับไม่เห็นมิติเวลาในสายตา แม้แต่พระพุทธเจ้าที่อยู่ในระดับมหาชาล ยามก้าวเท้ามีดอกบัวผุดขึ้นยังไล่ไม่ทัน
เป็นเหตุให้พลังของเขาแค่คนเดียวแทบใช้ดูแลทั่วทั้งสนามรบได้ทั้งหมด เหมือนกับคงอยู่ทุกที่
ยามที่เหล่าสมณะในศาสนาพุทธของแดนสุขาวดีตะวันตกต่อสู้กับเซียนปีศาจตนอื่นๆ ยังจำเป็นต้องแบ่งสมาธิส่วนหนึ่งมาป้องกันไม่ให้ถูกเผิงท่องเมฆหมื่นลี้ลอบจู่โจมตลอดเวลา
เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้ตอนแรกเป็นการทำสงครามที่มีพลังสูสีกัน ก็เปลี่ยนเป็นถูกกดดันเพราะถูกมัดมือมัดเท้า
สิ่งที่ทำให้แดนสุขาวดีตะวันตกปวดหัวก็คือ ถ้าระดับพลังฝึกปรือแตกต่างกันเกินไป แม้จะระวังป้องกันก็ไม่มีประโยชน์
ยามเผิงตัวนี้บินผ่าน แค่กระพือปีกครั้งเดียว เหล่าคะเตและอรหันต์แห่งศาสนาพุทธต่างบาดเจ็บล้มตายเป็นเบือ
ทั้งหมดอาศัยการเสริมพลังจากค่ายกลและของวิเศษส่วนหนึ่ง จึงค่อยตั้งหลักได้ แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ การโยกย้ายกำลังโดยรวมจึงชะงักอีกครั้ง
ภายหลังมียอดฝีมือศาสนาพุทธจำนวนมากกว่าเดิมเข้าร่วมสงคราม คอยซุ่มจู่โจมกลุ้มรุมสังหาร ทำให้เผิงท่องเมฆหมื่นลี้เกือบเสียท่า จึงค่อยสงบลง
แต่ว่าสามารถหลุดพ้นจากวงล้อมมาได้ ก็เห็นคามสามารถของเขาได้มากพอแล้ว
นกเผิงยักษ์ที่พลังฝึกปรือและความสามารถต่ำกว่าตนอื่นๆ เทียบกับคู่ต่อสู้ในระดับเดียวกันแล้ว ต่างถนัดในด้านความเร็ว สามารปั่นป่วนสนามรบ มอบความยุ่งยากให้แก่แดนสุขาวดีตะวันตกได้ไม่น้อย
ดังนั้นนักบวชฮุ่ยอั้นจึงนำวารีสามแสงออกเขา เดินทางไปช่วยปราบนกเผิงตัวแล้วตัวเล่าในแต่ละพื้นที่
“นักบวชฮุ่ยอั้นเล็งเป้าหมายไปที่เผ่าเผิงยักษ์โดยเฉพาะ” เยี่ยนจ้าวเกอขมวดคิ้วมองเกาหาน “เผิงท่องเมฆหมื่นลี้ทราบแล้ว ไฉนจึงนิ่งดูดาย?”
“ข้าคิดเรื่องนี้ได้ ยอดฝีมือศาสนาพุทธในแดนสุขาวดีตะวันตกก็สมควรคิดได้ พวกเขาขบคิดแต่แรกว่าจะกลุ้มรุมสังหารเผิงท่องเมฆหมื่นลี้อย่างไร ยากจะบอกเป็นอย่างยิ่งว่านักบวชฮุ่ยอั้นเป็นตัวล่อหรือไม่”
สถานการณ์ที่เหมือนไม่มีอะไร ในความจริงแล้วอาจซ่อนคลื่นใต้น้ำ มหาเทวะเผ่าปีศาจกับสมณะศาสนาพุทธระดับชั้นมหาชาลล้วนจับตาดูนักบวชฮุ่ยอั้น
เผิงท่องเมฆหมื่นลี้ไม่เคลื่อนไหว สมณะศาสนาพุทธไม่มีทางเคลื่อนไหว ถึงอย่างไรนักบวชฮุ่ยอั้นก็ไม่มีทางเสียท่าให้แก่นกเผิงตัวอื่นๆ
ทว่าถ้าหากมีคนอื่นๆ สอดมือเข้ามาสร้างความลำบากแก่นักบวชฮุ่ยอั้น เช่นนั้นผู้ยิ่งใหญ่ศาสนาพุทธไม่แน่ว่าจะละทิ้งแผนการเดิม จัดการความยุ่งยากตรงหน้าก่อน
เยี่ยนจ้าวเกอมองเกาหาน อีกฝ่ายพยักหน้าเหมือนรู้สึกมีเหตุผล “ท่านกล่าวไม่ผิด เป็นเช่นนี้จริงๆ”
เขาหัวเราะ “แต่ในทางกลับกัน เมื่อเผิงท่องเมฆหมื่นลี้เคลื่อนไหว เหล่าพระพุทธเจ้าเคลื่อนไหว มหาเทวะเผ่าปีศาจที่เหลือก็เคลื่อนไหว ทางนักบวชฮุ่ยอั้นก็ไม่มีผู้ใดสนใจอีก เวลานั้นจึงเป็นโอกาสของพวกเรา”
“ถ้าหากว่าทุกฝ่ายไม่เคลื่อนไหวพร้อมกัน เช่นนั้นได้แต่บอกว่าพวกเราทุกคนไม่มีวาสนากับวารีสามแสงแล้ว”
เกาหานกล่าวอย่างเรียบเฉย “ในโลกนี้ที่สุดแล้วยังคงมีเรื่องราวที่ไม่เป็นไปดั่งใจมากมาย”
“กล่าวไม่ผิด แต่ยังมีความเป็นไปได้อีกอย่าง” เยี่ยนจ้าวเกอสีหน้าไร้ความรู้สึก “ราชันพระอาทิตย์ท่านทราบความสามารถของวารีสามแสง ข้าเองก็ทราบ เช่นนั้นเทวกษัตริย์ไร้ประมาณกับคนในโถงเซียนจะไม่รู้เชียวหรือ?”
“กับดักตกปลาเช่นนี้ สุดท้ายแล้วกำลังตกเผิงท่องเมฆหมื่นลี้ หรือกำลังตก…พวกเรา?”
เขาสบสองตาของเกาหานตรงๆ “ถึงตอนนี้โถงเซียนจะถูกแดนสุขาวดีบัวขาวกดดันให้ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เทวกษัตริย์ไร้ประมาณคล้ายไม่อาจแยกร่างได้ แต่เรื่องราวเกี่ยวพันถึงเศษศิลาฟ้ากำเนิด ไม่ว่าสำหรับพวกเราหรือสำหรับพวกเขาล้วนไม่อาจรออยู่เฉยๆ”
เกาหานเผชิญสายตาของเยี่ยนจ้าวเกอ สายตายิ่งมายิ่งสว่างไสว
ครั้งนี้ที่ส่วนลึกดวงตาของเขาฉายความชื่นชมอย่างไม่ปิดบังแม้แต่น้อย
“นี่เป็นก่อนหน้านี้ ตอนที่ข้าผู้แซ่เกาคิดถึงเรื่องนี้ มีส่วนเดียวที่เป็นห่วง” เกาหานปรบมือกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แต่ตอนนี้ไม่กังวลแล้ว”
“อ้อ?” เยี่ยนจ้าวเกอขมวดคิ้ว “ขอฟังรายละเอียด”
เกาหานแย้มยิ้มเอ่ยว่า “ไม่กี่วันนี้ พระศรีอาริยะเมตไตรยได้มายังโถงเซียนด้วยตัวเอง สาดส่องแสงพุทธไปทั่วแปดร้อยแดนเซียนที่ถูกแดนสุขาวดีบัวขาวยึดครองก่อนหน้า”
“เมื่อเป็นแบบนี้เทวกษัตริย์ไร้ประมาณย่อมรับไม่ไหวแล้ว?” เยี่ยนจ้าวเกอกระจ่างแจ้ง
ถ้าเทวกษัตริย์ไร้ประมาณไม่อาจลงมือได้เอง คนอื่นๆ ในโถงเซียน พวกเซียนสวรรค์ชั้นมหาชาลในสำนักเต๋าสายหลักเช่นอายุวัฒนาหนานจี๋ย่อมพายามเตรียมการอย่างเต็มที่
เพียงแต่ว่าติดที่แดนสุขาวดีตะวันตกยังมียอดฝีมือคอยสังเกตการณ์ ดังนั้นพวกจักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋จึงต้องสงบเสงี่ยม พยายามอยู่หลังฉาก เช่นนี้จึงค่อยมีพื้นที่ให้รุกให้ถอยมากกว่าเดิม
“ขอให้ท่านเชื่อเถิดว่า สิ่งที่ข้าผู้แซ่เกาได้ทำไปไม่ได้ขัดแย้งกับพวกสหายร่วมเส้นทางเซ่าและสหายร่วมเส้นทางเยี่ยน ล้วนทำเพื่อความรุ่งเรืองของสำนักเต๋าเรา เพียงแต่วิธีการของแต่ละฝ่ายมีข้อแตกต่างเท่านั้น” เกาหานกล่าวอย่างเป็นมิตร “ในความหมายหนึ่ง พี่ร่วมเส้นทางเจี่ยงก็เป็นเหมือนกัน แน่นอนว่าเขากับพวกเรามีความขัดแย้งใหญ่หลวง”
เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยอย่างเรียบเฉย “ขออภัยที่ข้าเสียมารยาท ราชันพระอาทิตย์ท่านก็มีท่วงทำนองอีกอย่างหนึ่ง”
เฉินเสวียนจงราชันพระพุธ ฟู่อวิ๋นฉือจักรพรรดิแพรงาม รวมถึงเสวี่ยชูฉิงมารดาของเยี่ยนจ้าวเกอ เกรงว่าจะเข้าใจในเรื่องนี้อย่างล้ำลึก
“ดังนั้นท่านมีความเห็นต่อเรื่องวารีสามแสงอย่างไร?” เกาหานไม่นำพาต่อคำวิจารณ์ของเยี่ยนจ้าวเกอ รอยยิ้มยังคงอบอุ่น
“ก่อนจะพูดถึงวารีสามแสง ผู้เยาว์มีเรื่องอีกเรื่องที่อยากขอคำชี้แนะจากราชันพระอาทิตย์ ยังหวังให้ท่านบอกกล่าว” เยี่ยนจ้าวเกอพลันกล่าวขึ้น “ในอดีตตอนยังอยู่บนโลกแปดพิภพ สายสืบทอดเขากว่างเฉิงสำนักของข้ามีของวิเศษที่สืบทอดมาในสำนัก”
“นั่นเป็นของล้ำค่าของบูรพาจารย์เทวกษัตริย์กว่างเฉิงผู้สืบทอดกระแสตรงสายหยกพิสุทธิ์ ว่ากันว่าเป็นเศษชิ้นส่วนของตราพลิกฟ้าที่แตกออกมา”
“เพียงแต่ของวิเศษชิ้นนี้หายสาบสูญไป ผู้อาวุโสท่านเคยมายังแปดพิภพ ไม่ทราบว่ามีเบาะแสหรือไม่?” เยี่ยนจ้าวเกอมองเกาหานอย่างใจเย็น
เมื่อของหาย จงตามหาเกาหาน!
ถึงจะไม่ได้แม่นยำแน่นอน แต่เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกว่านี่เกรงจะเป็นวิธีการที่มีประสิทธิผลสูงที่สุด
ราชันพระอาทิตย์ผู้นี้กะพริบตา รอยยิ้มกลายบนใบหน้ากลายเป็นเสียงหัวเราะ
เยี่ยนจ้าวเกอก็หัวเราะเช่นกัน แต่สายตาคมกริบ
เกาหานค่อยๆ หยุดหัวเราะ สีหน้าเต็มไปด้วยความสะท้อนใจ ดวงตาพลันเป็นประกาย ส่องสว่างจนทิ่มแทงนัยต์ตา
“วันนั้นเพียงรู้สึกว่าของวิเศษชิ้นนี้อยู่ในโลกเบื้องล่างเหมือนกับไข่มุกใสจับฝุ่น จึงนำมาด้วย กลับคิดไม่ถึงว่าจะมีโชคชะตาในวันนี้” เกาหานประกายตาสลาย กลับสู่ความสงบนิ่งอ่อนโยนอีกครั้ง ทางหนึ่งกล่าวอย่างรำพึงรำพัน ทางหนึ่งยกมือขึ้น
กลุ่มแสงกลุ่มหนึ่งลอยไปหยุดอยู่ตรงหน้าเยี่ยนจ้าวเกออย่างเชื่องช้า
………………..