ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1392 ถูกห่านจิกตาเป็นครั้งที่สอง
สินสงครามอีกอย่าง ย่อมเป็นสายเลือดของเผ่าปีศาจวานร
ขณะที่อนุเทวะเผ่าวานรขนสีเทาตนนั้นถูกเฟิงอวิ๋นเซิงทำร้าย คนอื่นๆ ไม่พบว่า เฟิงอวิ๋นเซิงได้เอาเลือดปีศาจส่วนหนึ่งของเขามา
สำหรับอนุเทวะเผ่าปีศาจที่เทียบได้กับเซียนกำเนิดของสำนักเต๋าตนหนึ่ง เลือดหยดหนึ่งมีความบริสุทธิ์ถึงขีดสุด หากกระจายออกมา เกรงว่าจะไม่ได้ไหลรินเป็นสายธาร
เฟิงอวิ๋นเซิงเอามาได้ไม่ต่ำกว่าหนึ่งหยด คิดว่าสมควรใช้ได้เพียงพอ
ที่พวกเขามาในครั้งนี้ นอกจากความสนใจที่มีต่อวารีสามแสง ก็คือหมายตาเผ่าวานรที่อยู่ที่นี่ ต้องการเอาเลือดมา
หลังจากได้เลือดที่ต้องการมาแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอสามารถทดลองให้ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกกับพ่านพ่านกลืนกินหลอมเปลี่ยนเลือดปีศาจนี้ เพื่อเปลี่ยนแปลงเป็นปีศาจวานรดูได้
ปัจจุบันเป้าหมายสองอย่างบรรลุผล การเดินทางครั้งนี้ประสบความสำเร็จ
เยี่ยนจ้าวเกอรออีกสักพัก ก็เห็นเงาร่างภรรยาของตัวเองปรากฏขึ้นจากที่ไกล แล้วมาถึงตรงหน้าเขา
“ได้เลือดปีศาจมาแล้ว” หลังจากเจอกัน เฟิงอวิ๋นเซิงก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
เยี่ยนจ้าวเกอแกว่งน้ำเต้าสีแดงในมือให้นางดู “ทางข้าก็ได้มาแล้วเช่นกัน”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็รีบออกไปเถอะ” เฟิงอวิ๋นเซิงกล่าว “ข้าสังหารนกเผิงยักษ์ไปตัวหนึ่ง เผิงท่องเมฆหมื่นลี้หากอยู่ที่นี่ หลังจากลงมือ เกรงว่าจะเล็งเป้าหมายมาที่พวกเรา”
นางไม่ใช่คนมืออ่อน ยามลงดาบที่แล้วมาล้วนเกิดคนตายนับไม่ถ้วน
แม้จะแย่งชิงวารีสามแสงกับหลิงชิงและชื่อหลานเต้าหยิน ทว่าสุดท้ายก็เป็นนคนที่เดินบนเส้นทางเดียวกัน ที่ไว้ชีวิตวานรเทาตัวนั้นก็เพราะเห็นแก่หน้ามหาเทวะ
กับศัตรูที่เหลือ นางลงมือไม่ปรานีแล้ว
ทว่าการเข่นฆ่าตอนนั้นเป็นเรื่องราวหนึ่ง ปัญหาที่จะต้องเผชิญหลังจากนี้ย่อมไม่อาจมองข้ามได้
การคุกคามของเผิงท่องเมฆหมื่นลี้กับพวกมหาเทวะเผ่าปีศาจ ผู้ใดก็ไม่อาจดูแคลน
“เผิงท่องเมฆหมื่นลี้เป็นผู้นำทัพในการต่อสู้กับแดนสุขาวดีตะวันตกในบริเวณนี้ ศัตรูอันดับแรกของเขายังเป็นแดนสุขาวดีตะวันตก รอเขาลงมือ ยังไม่ทราบว่าต้องรอถึงเวลาไหน” เยี่ยนจ้าวเกอยิ้ม “ในตอนที่ย้ายมรกตท่องฟ้า บุตรของเขาก็มาหาเรื่องพวกเรา วันนี้พวกเขาเผ่าเผิงยักษ์เพีงจ่ายดอกเบี้ยก่อนเวลาเล็กน้อยเท่านั้น”
ถึงในสงครามบนจักรวาลสำนักเต๋าในตอนนั้น ฝูลัวจื่อจะมาถึงในตอนสุดท้าย ไม่อาจต่อสู้กับพวกเยี่ยนจ้าวเกอ
กระนั้นหลังจากการตรวจสอบหลังเรื่องราวจบลง พวกเยี่ยนจ้าวเกอก็ได้ยินชื่อของนายน้อยแห่งเผ่านกเผิงยักษ์ผู้นี้แล้ว
สองสามีภรรยาออกเดินทาง ระหว่างทางเฟิงอวิ๋นเซิงถามขึ้น “จริงด้วย ตะเกียงเขียวเครื่องเคลือบใบนั้นมีความล้ำค่าตรงไหนกันแน่?”
“ไม่รู้สิ” เยี่ยนจ้าวเกอส่ายหน้า
“หา?” เฟิงอวิ๋นเซิงงุนงง “ท่านไม่ทราบ แล้วท่านทราบได้อย่างไรว่าสิ่งที่ราชันพระอาทิตย์ต้องการจริงๆ เป็นของชิ้นนั้น ไม่ใช่วารีสามแสง?”
เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะขึ้นก่อน “ข้าว่าเกาหานก็ต้องการวารีสามแสงเช่นกัน แต่ว่าเทียบกับตะเกียงเขียวเครื่องเคลือบแล้ว วารีสามแสงด้อยกว่า”
จากนั้นเขาก็ยักไหล่ “ข้าไม่ทราบว่าตะเกียงใบนั้นมีประโยชน์อะไร ความล้ำค่าอยู่ตรงไหน และไม่ทราบว่าเกาหานเอามันไปทำอะไร”
“แต่ข้ารู้สึกว่า วาจาที่คนอย่างเกาหานกล่าว แม้แต่เสียงหายใจยังไม่ควรเชื่อง่ายๆ”
เยี่ยนจ้าวเกอเบะปาก “ต่อให้เขาเสแสร้งประดิฐประดอยกว่านี้ วาจาสมจริงกว่านี้ ในปัญหาที่สำคัญที่สุดก็สมควรมีปัญหา!”
“ข้าไม่ทราบรายละเอียดของตะเกียงเขียวเครื่องเคลือบใบนั้น แต่พวกเราดูออกว่า ถ้าหากไม่นับวารีสามแสง สิ่งที่เกาหานจะได้ไปในวันนี้ ก็คือตะเกียงใบนั้น”
“ต่อให้ดูเหมือนกับว่าเขาชิงของวิเศษมาจากศัตรูโดยไม่ได้ตั้งใจ เป็นแค่สินสงครามที่ดูธรรมดาชิ้นหนึ่ง แต่พอของไปอยู่ในมือของคนอย่างเกาหาน ข้าก็ไม่อาจไม่สังเกต”
พูดถึงตรงนี้ เยี่ยนจ้าวเกอก็เว้นเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวต่อ “ต่อให้ไม่ได้ซ่อนเล่ห์เหลี่ยมอะไรจริงๆ การทดลองดูก็ไม่มีอะไรเสียหาย ถึงอย่างไรระหว่างเรากับเขาก็ไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่แท้จริง ก่อนหน้านี้เขายังขุดหลุมให้ข้าด้วย”
“แต่ไฉนข้าจึงเห็นว่าท่านพอใจกับฉายานี้ยิ่ง?” เฟิงอวิ๋นเซิงสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เหลือบมองดูเขา
เยี่ยนจ้าวเกอร้องหึ “ไม่ว่าข้าจะพอใจหรือไม่ คนผู้นั้นก็มีเจตนาไม่ดี ทั้งซ่อนแผนการร้ายเอาไว้”
“ส่วนตัวฉายานั้น…”
“อะแฮ่ม” เยี่ยนจ้าวเกอกระแอม “อืม…ก็ฝืนๆ รับไว้อย่างนั้นเอง”
เฟิงอวิ๋นเซิงอดหัวเราะไม่ได้ “ท่านทำเป็นเรื่องมาก ความหมายในวาจายังไม่ใช่พอใจยิ่งหรอกหรือ?”
“ใช่สิ!” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างแน่วแน่ “ข้าเปลืองสมองมาโดยตลอด ต้องการตั้งชื่อที่ทั้งพิเศษและดูดีในแก่ตัวเอง นี่มันเกี่ยวกับหน้าตาเชียวนะ! มีชื่อที่ตั้งผิด ไม่มีฉายาที่เรียกผิด”
“ข้าอยากตั้งชื่อที่ตรงไปตรงมาและแข็งกร้าวเหมือน ‘เทพยุทธ์’ ของผู้อาวุโสสั่ว หรือ ‘เทพกระบี่’ เหมือนอย่างท่านปู่ เพียงแค่คิดชื่อที่เหมาะสมไม่ออกจริงๆ”
พูดถึงตรงนี้เยี่ยนจ้าวเกอก็ขุ่นข้องอยู่บ้าง “ชื่อที่เกาหานตั้งยังรับได้ ใช้ไปก่อนเถอะ”
เฟิงอวิ๋นเซิงหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ “ถูกต้องๆ ดูถูกท่านแล้ว”
“ข้ากลับคิดว่า ฉายาเทวกษัตริย์น้อย พออยู่บนตัวท่านในวันนี้ กลับสมกับความจริงยิ่ง” เยี่ยนจ้าวเกอมองนาง ยิ้มชอบใจ
ตั้งแต่ยิ่สิบปีก่อน เฟิงอวิ๋นเซิงได้กลับสู่โลกมนุษย์ ตอนนั้นหลังจากขวางราชันพระจันทร์หลิงชิง ทำให้นางไม่อาจรุกคืบต่อ ก็โด่งดั่งขึ้นในการต่อสู้ครั้งเดียว
หลังจากนั้น ฉายา ‘เหมันต์กักขัง’ ก็แพร่หลายออกมา
แต่ทุกคนมักเรียกฉายาอีกฉายามากกว่า
ดาบมาร
เพียงแต่ฉายานี้ไม่ค่อยไพเราะนัก เพราะเกี่ยวกับนพยมโลก ถูกคนนึกถึงมารดาบที่เกิดจากมารทองแกในอดีตได้ง่าย ดังนั้นในที่แจ้งจึงพูดถึงไม่กี่ครั้ง
เฟิงอวิ๋นเซิงยักไหล่เลียนแบบเยี่ยนจ้าวเกอ “ข้าไม่สนใจฉายาอยู่แล้ว”
“พวกเราไม่ไปลาพวกราชันพระอาทิตย์กับราชันพระจันทร์แล้ว กลับบ้านก่อนเถอะ” เยี่ยนจ้าวเกอว่า “วารีสามแสงกับสายเลือดวานรปีศาจนี้ คิดจะใช้ประโยชน์ จำเป็นต้องมีเวลาเตรียมตัวบ้าง”
“หลังจากเตรียมการเสร็จแล้ว พวกเราค่อยออกมาอีก”
พอได้ยินเยี่ยนจ้าวเกอพูดแบบนี้ เฟิงอวิ๋นเซิงถามว่า “ไปตามหาพวกผู้อาวุโสเฉินกับอาจารย์อาเจ้าสำนักหรือ?”
“นั่นเป็นเรื่องหนึ่ง” เยี่ยนจ้าวเกอตอบ “อีกเรื่องคือการตามหาที่ฝังศพของจักรพรรดิเจิดจรัส ก่อนหน้านี้รับปากท่านแม่ว่าออกมาในครั้งนี้จะไปหาดู น่าเสียดายตอนนี้ต้องรีบส่งวารีสามแสงนี้กลับไปก่อน อีกเดี๋ยวค่อยว่ากล่าว”
เฟิงอวิ๋นเซิงผงกศีรษะ “เข้าๆ ออกๆ บ่อยครั้ง จำเป็นต้องระวังไม่ให้คนอื่นๆ ติดตามเราจนไปเจอจักรวาลฟ้าฟื้น”
“นี่ย่อมแน่นอน” เยี่ยนจ้าวเกอพูดพลางออกเดินทางไปพร้อมกับเฟิงอวิ๋นเซิง
หลังจากพวกเขาหายตัวไปสักพักใหญ่ๆ ในมิติจักรวาลแห่งนี้ก็ปรากฏคนอีกคนหนึ่ง กลับเป็นราชันพระจันทร์หลิงชิง
หลิงชิงสีหน้าไร้อารมณ์ กวาดมองรอบๆ ยืนเงียบอยู่ที่เดิม
ครู่ต่อมาา ความว่างเปล่าไกลออกไปมีระลอกน้ำสั่นไหว บุรุษอาภรณ์ขาวปรากฏตัวจากด้านใน เป็นเกาหาน
“ดูเหมือนจะเคยปรากฏตัวที่นี่ แต่ร่องรอยเดี๋ยวหายเดี๋ยวปรากฏ ตรวจสอบไม่ได้” หลิงชิงว่า
เกาหานเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คาดไว้แล้ว หากเจอง่ายขนาดนั้น พวกเขาจะหลบรอดมาตลอดยี่สิบปีได้อย่างไร”
หลิงชิงมองเขา “วารีสามแสงไม่มีแล้ว ตะเกียงเล่า?”
ได้ยินดังนั้น เกาหานก็ปิดหน้าถอยใจ “…ถูกห่านจิกตา[1]เป็นครั้งที่สองแล้ว”
………………..
[1] หมายถึง ทำบางสิ่งบางอย่างจนเคยชิน จึงเกิดความประมาท