ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1406 ชีวิตมีแต่ความเปลี่ยนแปลง เต็มไปด้วยเรื่องเสียดสี
“ณ ที่แห่งนี้ พวกท่านจะรักษาชีวิตไว้ได้หรือไม่ ไม่ใช่เรื่องที่ขึ้นอยู่กับพวกเท่าน แต่ว่าขึ้นอยู่กับข้า”
ยามเผชิญหน้าเซียนกำเนิดสองคน หากมีเซียนจริงแท้กล้ากล่าววาจาเช่นนี้จริงๆ เกรงว่าจะถูกคนยึดถือว่าเสียสติ
ก่อนหน้านี้พวกหลี่ซิ่งป้าก็คิดเช่นนี้ อีกทั้งยังเชื่ออย่างสนิทใจ ทว่าตอนนี้พวกเขานึกถึงคำพูดที่เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยขึ้นก่อนหน้า กลับเพียงรู้สึกว่าจิตใจเกิดความเย็นเยียบไร้สิ้นสุด หนาวเหน็บไปถึงทรวงใน
ตอนนี้หลิ่งซิ่นป้าไม่ได้มีความคับแค้นต่อเยี่ยนจ้าวเกอเท่าก่อนหน้าแล้ว คนที่เขาแค้นที่สุดในตอนนี้ เป็นเกาหานกับเฉินเฉียนหัว!
ตัวเฉินเฉียนหัว พอหลี่ซิ่งป้านึกถึงในตอนนี้ยิ่งรู้สึกว่าพึ่งพาไม่ได้ ทางเกาหานก็ยึดถือเขาหลี่ซิ่งป้าเป็นเครื่องมืออย่างชัดเจน ใช้ตำหนักโอสถเป็นเหยื่อล่อ ให้เขามาหาเรื่องเยี่ยนจ้าวเกอ
กระนั้นไม่ว่าจะเป็นเกาหานหรือเฉินเฉียนหัวต่างไม่ได้บอกเขา ว่าเยี่ยนจ้าวเกอถึงกับมีความสามารถเช่นค่ายกลแม่น้ำเหลืองเก้าโค้ง
ไม่อย่างนั้นพอเห็นสายน้ำขนาดใหญ่อย่างแควธารสวรรค์ เขาจะโง่ย่างเท้าเข้ามา ส่งตัวเองเข้าหากับดักหรือ
ตอนแรกเห็นเฉินเฉียนหัวไม่เข้ามา ใช้มุกลวงตาเป็นจริงแทน ยังเข้าใจว่าเขาสำนึกตัวว่าเป็นเซียนจริงแท้จึงเลือกเป็นคนฉลาดไม่ยืนอยู่ใต้กำแพง[1]
ตอนนี้จึงค่อยเข้าใจว่าสำนึกตัวนั้นสำนึกตัวจริงๆ กลับไม่เกี่ยวข้องกับระดับเซียนจริงแท้
ปีศาจกระเรียนตนนั้นสำนึกเสียใจยิ่งกว่า ปรารถนาใคร่เอาศีรษะกระแทกพื้น
ใต้การสะกดจากพลังฝ่ามือของเยี่ยนจ้าวเกอ ร่างของพวกเขาเริ่มบิดงอ เหมือนกับพลังงานที่ตรงกันข้ามกันโดยสิ้นเชิงสองสายส่งผลต่อพวกเขา ทำให้ผิวทุกส่วนทั่วร่างของหลี่ซิ่งป้ากำลังฉีกออก
“นักบวชฮุ่ยอั้นกล่าวไว้ไม่ผิด” เยี่ยนจ้าวเกอมองหลี่ซิ่งป้า เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านอุตส่าห์ได้ลงจากทำเนียบเซียน สมควรฟื้นฟูพลัง เก็บตัวสงบเสงี่ยม กลับโผล่มาก่อลมก่อฝน เพราะรังเกียจที่ตัวเองอยู่มานานเกินไปหรือ”
“เจ้า…” หลี่ซิ่งป้าเกร็งคอ ต้องการเงยมองเยี่ยนจ้าวเกอ แต่ถูกกดไว้ไม่อาจขยับ
เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยอย่างราบเรียบ “ครั้งกระโน้นไม่ใช่เวลาที่ท่านสามารถสร้างมรสุม กลับผลีผลามออกจากเขา จนถูกฆ่าได้ขึ้นสู่ทำเนียบเซียน ปัจจุบันยิ่งไม่ใช่ยุคของท่าน ครั้งนี้ท่านโผล่มาหาที่ตาย เช่นนั้นก็ตายอย่างแน่นอน ไม่มีทำเนียบสถาปนาเซียนช่วยต่อชีวิตแก่ท่านแล้ว”
ระหว่างที่พูด เยี่ยนจ้าวเกอเพิ่มแรงอย่างต่อเนื่อง
หลี่ซิ่งป้าร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวด ภายใต้ผลจากพลังฝ่ามือของเยี่ยนจ้าวเกอ ร่างกายและพลังทลาย แหลกสลายเป็นผุยผงอย่างสมบูรณ์!
ร่างกายไปถึงวิญญาณล้วนดับสิ้น
ยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ที่บรรลุมรรควิถี ได้ประสบภัยพิบัติขึ้นสู่ทำเนียบเซียนในยุคโบราณตอนต้น ผ่านการเปลี่ยนผ่านยุคสมัยถึงสองครั้งอย่างปลอดภัยมาถึงปัจจุบัน ได้หลุดออกจากทำเนียบสถาปนาเซียนหลังมหาภัยพิบัติ ไม่เพียงไม่ตายในมหาภัยพิบัติ ยังได้รับอิสระ ใช้ชีวิตมาถึงวันนี้
ยอดฝีมือที่มีขีดความสามารถและพลังฝึกปรือเหนือกว่าคนจำนวนมาก ต่างตกตายด้วยเหตุผลต่างๆ นานา กลายเป็นประวัติศาสตร์ไปหลายปี แต่เขาหลี่ซิ่งป้ายังคงรอดชีวิต
ทว่าวันนี้ผู้ยิ่งใหญ่ยุคโบราณตอนต้นผู้นี้กลับตายด้วยน้ำมือของเซียนจริงแท้ผู้หนึ่ง ตายในสถานการณ์ที่เขาไม่คิดคิดมาก่อนว่าตัวเองจะตาย
ชีวิตนั้นไม่แน่นอน เต็มไปด้วยเรื่องเสียดสี
ภายใต้การกดดันจากพลังฝ่ามือของเยี่ยนจ้าวเกอ ปีศาจกระเรียนตนนั้นวินาทีนี้ก็กำลังตามรอยหลี่ซิ่งป้าเช่นกัน
เซียนกำเนิดสำนักเต๋าคนหนึ่ง อนุเทวะเผ่าปีศาจที่เทียบได้กับจ้าวสวรรค์เซียนกำเนิดของสำนักเต๋าตนหนึ่ง ล้วนตายด้วยมือของตนเอง แต่เยี่ยนจ้าวเกอกลับมีสีหน้าเป็นปรกติ
เขากวักมือ ไข่มุกชิ้นหนึ่งปรากฏในแม่น้ำสีเหลืองที่มัวซัว เป็นมุกผ่าดินที่เพิ่งถูกค่ายกลแม่น้ำเหลืองเก้าโค้งกลืนกินไป
ตอนนี้เมื่อไม่มีการควบคุมจากเจ้าของ ทั้งยังถูกค่ายกลแม่น้ำเหลืองเก้าโค้งสะกดไว้ แสงของมุกก็มัวหมองลง เปลี่ยนเป็นสงบนิ่ง แต่ยังคงปฏิเสธการสัมผัสจากเยี่ยนจ้าวเกอ แต่ตอนนี้ถ้าเขาคิดจะเก็บมันไว้กลับไม่ใช่เรื่องยาก
หลังจากเก็บกวาดสนามรบอย่างรวดเร็วรอบหนึ่ง เยี่ยนจ้าวเกอก็มองฟ้า
ขณะนี้ด้านนอกค่ายกลแม่น้ำเหลืองเก้าโค้ง ด้านในความว่างเปล่าไร้สิ้นสุดด้านนอกแควธารสวรรค์ ปราณมารอันน่ากลัวม้วนพัด ถมเต็มจักรวาล
“ยังดีอยู่” เยี่ยนจ้าวเกอพึมพำ
ในการต่อสู้เมื่อครู่ แม้เขาจะมีแผนการอยู่เป็นมั่นเหมาะ แต่ไม่ใช่ว่าไร้แรงกดดันโดยสิ้นเชิง
แรงกดดันอยู่ด้านนอกไม่อยู่ด้านใน ไม่ได้มาจากพวกหลี่ซิ่งป้า แต่เป็นสนามรบของเฟิงอวิ๋นเซิงที่อยู่นอกค่ายกล
เยี่ยนจ้าวเกอพยายามกำจัดคู่ต่อสู้สองคนให้เร็วที่สุด เพื่อไม่ให้เฟิงอวิ๋นเซิงต่อสู้กับอีกฝ่ายนานเกินไป
หากเวลาผ่านไปนาน เฟิงอวิ๋นเซิงถูกสำนึกมารกัดกินสาหัสขึ้น การควบคุมตัวเองก็จะยิ่งแย่ลง ขณะเดียวกันก็อาจชักนำยอดฝีมือวิถีมาร หรือยอดฝีมือระดับมหาชาลจากขุมกำลังอื่นๆ จำนวนมากกว่าเดิม มาได้ง่ายๆ
ตอนนี้เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้ใช้เวลาไปกับตัวหลี่ซิ่งป้ากับอนุเทวะเผ่ากระเรียนตนนั้นมากเกินไป แรงกดดันทางเฟิงอวิ๋นเซิงจึงไม่ได้หนักหนานัก
เยี่ยนจ้าวเกอเปลี่ยนแปลงมุทราที่มือสองข้าง จากนั้นก็ประกบเข้าด้วยกัน
โอสถลวงเซียนกับคาถากักขังเซียนล้วนถูกเขาเก็บกลับ พร้อมกับที่เขาเคลื่อนไหว ลมโรคาสงบลม หมอกดำสลายไป แม่น้ำสีเหลืองเข้มเปลี่ยนเป็นบริสุทธิ์กระจ่างใสใหม่
แควธารสวรรค์ค่อยๆ ฟื้นฟูสู่สภาพเดิม ดวงดาวหลายดวงที่ลอยขึ้นในแม่น้ำเปล่งแสงสว่างละลานตา สาดส่องความว่างเปล่าอีกรอบ
ระหว่างดวงดาวเกิดการสั่นไหว มิติเวลาที่ปั่นป่วนในตอนแรกบิดเบี้ยวหนักกว่าเดิม ม่านน้ำหลายสายตั้งอยู่ในธารสวรรค์แยกเฉือนมิติช่องว่าง
เฟิงอวิ๋นเซิงพอสัมผัสได้ว่าแควธารสวรรค์กลับสู่ลักษณะเดิมก็สะบัดดาบวูบหนึ่ง ต้านสภาวะโจมตีของอีกฝ่าย จากนั้นค่อยพุ่งตัวถอยหลัง
นางเหาะไปด้านล่าง กลับเข้ามาในธารสวรรค์ เยี่ยนจ้าวเกอออกมารอรับ สองฝ่ายประสานงานกัน กำหนดตำแหน่งในมิติเวลาที่สับสน ข้ามผ่านม่านน้ำหลายชั้นแล้วรวมตัวกัน
ทว่ามารโบราณที่ดุร้ายด้านหลังก็ไล่ติดตามลงมา ปราณมารอันน่ากลัวพลันฉีกธารสวรรค์ ทำให้น้ำในธารสวรรค์เปลี่ยนเป็นขมุกขมัว
กระนั้นพวกเยี่ยนจ้าวเกอได้เตรียมการไว้แต่ต้นแล้ว
เฟิงอวิ๋นเซิงใช้มือหนึ่งโบกดาบต้านศัตรู เยี่ยนจ้าวเกอจับมืออีกข้างของนาง แยกม่านน้ำสายหนึ่งออก จากนั้นทั้งสองก็เข้าไปด้านใน
มารโบราณคิดผนึกการเปลี่ยนแปลงของมิติเวลาในแควธารสวรรค์ ทว่าเฟิงอวิ๋นเซิงฟันดาบออกเก้าดาบติดต่อกัน ทำลายสรรพมรรคา กระแทกปราณมารของมารโบราณตนนั้น
เวลาแค่ชั่วพริบตานี้ พวกเยี่ยนจ้าวเกอก็หายตัวไปแล้ว
ในแควธารสวรรค์ มิติเวลาปั่นป่วน อาจเชื่อมไปยังที่ใดก็ได้ หลังจากเข้าไปในทางเชื่อมมิติเวลาสายหนึ่ง พวกเยี่ยนจ้าวเกอก็เคลื่อนย้ายออกไปไกลในชั่วอึดใจ
เฟิงอวิ๋นเซิงฟันออกอีกดาบ ทำลายเส้นทางมา ทำให้มารโบราณยากจะติดตามร่องรอยในทันที
หลังจากจัดการทุกอย่างนี้เสร็จสิ้น แสงมารสีดำอมน้ำเงินในดวงตาสองข้างของนางก็มืดลงแล้วดับไป เก็บพลังทั้งหมด
เยี่ยนจ้าวเกอนำนางเคลื่อนย้ายมิติเวลา ข้ามขอบเขตการทับซ้อนระหว่างมิติมากมาย ออกจากสมรภูมิเมื่อครู่มาไกล
ทิศทางยากแยกแยะ พวกเขาไม่อาจกำหนดตำแหน่งที่ตนอยู่ได้ชั่่วขณะ แต่ว่ายิ่งเป็นแบบนี้ มารโบราณตนนั้นก็ยากจะตามรอยพวกเขายิ่งกว่าเดิม
“สมควรไม่มีปัญหาชั่วคราว” เฟิงอวิ๋นเซิงผ่อนลมหายใจโล่งอก “มารโบราณระดับมหาชาลไม่ธรรมดาจริงๆ แต่ยังดีที่ไม่ใช่มารไม้อิกกับมารจิต”
เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถ้าไม่อาจจัดการเจ้าได้โดยเร็ว อีกฝ่ายความจริงไม่คิดสู้ต่อไป ไม่อย่างนั้นอาจเรียกเซียนสวรรค์ชั้นมหาชาลคนอื่นๆ มา มันเองก็ลำบาก นพยมโลกสุดท้ายยังเป็นศัตรูของทุกฝ่าย”
“ซากสังขารของจักรพรรดิจเดจรัสเล่า” เฟิงอวิ๋นเซิงถาม
“อยู่ที่นี่” เยี่ยนจ้าวเกอแบมือ แสงสีเขียวอมขาวไหลเวียน เขากล่าวเสียงเบา “ไป พวกเราพาจักรพรรดิเจิดจรัสกลับบ้าน”
………………..
[1] คนฉลาดไม่ยืนอยู่ใต้กำแพง หมายถึง ไม่พาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์อันตราย