ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1410 มาถึงตรงหน้า
ถึงสวีเฟยจะเป็นห่วงเรื่องของสือจวินกับอิ๋งอวี่เจิน แต่โดยเปลือกนอกเขาไม่แสดงให้เห็น ไม่ได้วางตัวเปิดเผยเหมือนเช่นวันวาน
สือจวินคำนับเยี่ยนจ้าวเกอด้วยความยินดี
“ใช่แล้ว กลับมาแล้ว” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างสะทกสะท้อน “พวกข้านำซากสังขารของจักรพรรดิเจิดจรัสกลับมาแล้ว”
สวีเฟยกับสือจวินแม้ไม่ทราบถึงการดำรงอยู่ของโถงเซียน แต่ย่อมเคยได้ยินชื่อของจักรพรรดิเจิดจรัสหูเยว่ซินมาก่อน
เยี่ยนจ้าวเกอก็เคยบอกเล่าเรื่องราวของหูเยว่ซินกับจักรพรรดิประกายกาฬอิ่นเทียนเซี่ยอย่างคลุมเครือ ดังนั้นสวีเฟยกับสือจวินสองศิษย์อาจารย์จึงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ผู้อาวุโสเป็นแบบอย่าง วิญญาณได้กลับสู่บ้าน นี่เป็นเรื่องดี”
“สายสืบทอดของราชันพระพฤหัสบดีล้วนเข้มแข็งกล้าหาญ พวกเราคนรุ่นหลัง นอกจากทำเรื่องราวเล็กน้อยนี้แล้วก็ได้แต่มุมานะบากบั่น ไม่ทำให้พวกเขาผิดหวัง” เยี่ยนจ้าวเกอวางท่าผ่อนคลาย มองสือจวินพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หลายปีมานี้จวินเอ๋อร์มีพัฒนาการชัดเจน ครั้งนี้ข้านำของดีมาให้แก่เจ้า”
สือจวินถามอย่างสงสัย “ของดีหรือ”
เยี่ยนจ้าวเกอหยิบใยไหมที่ได้จากปีศาจกระเรียนออกมา “ของวิเศษชี้นี้จะช่วยแก้ไขภัยมารบนร่างของเจ้ากับพี่สะใภ้อวี่เจิน หลังจากแก้ไขปัญหาที่หยั่งลึกเหล่านี้ ต่อจากนี้เจ้าจะทะยานขึ้นฟ้า ไม่มีการขัดขวางอีก”
พอได้ยินคำพูดของเยี่ยนจ้าวเกอ สือจวินก็เอ่ยอย่างดีใจ “อาจารย์อาเยี่ยนอุตส่าห์อวยพร ศิษย์จะกล้าไม่ขยันได้อย่างไร แต่ว่าใยไหมนี้มีแค่เส้นเดียว ถ้าหากว่าจำนวนมีจำกัด ควรจะดูแลทางมารดาข้าก่อน”
เขากล่าวอย่างรู้สึกผิดอยู่บ้าง “ข้ารู้ว่าอาจารย์อาเยี่ยนท่าน อาจารย์อาเจ้าสำนัก ยังมีอาจารย์ของข้าสมควรมีความคิดอยู่แล้ว ข้าไม่จำเป็นต้องสอดปาก แต่ว่าในใจก็มีความกังวลมาโดยตลอด”
เยี่ยนจ้าวเกอกับสวีเฟยต่างหัวเราะ เยี่ยนจ้าวเกอส่ายหน้า “วางใจเถอะ นี่ไม่ได้ใช้ได้กับแค่คนคนเดียว พวกเจ้าสองแม่ลูก ไปจนตลอดพวกกษัตริย์ดารา ต่างดูแลได้ทั่วถึง”
“อ้อ เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี” สือจวินได้ยินพลันหัวเราะขึ้น
เยี่ยนจ้าวเกอเข้าไปในห้องพร้อมกับพวกเขาสองคน มาถึงโถงหลัง
ที่นั่นมีโลงศพน้ำแข็งวางอยู่โลงหนึ่ง สตรีนางหนึ่งหลับตาพริ้มราวกับหลับใหลอยู่ในโลงศพ เป็นอิ๋งอวี่เจิน มารดาของสือจวิน
เยี่ยนจ้าวเกอดีดนิ้วเบาๆ มีแสงสว่างวาบขึ้นมา ปลดผนึกค่ายกลที่สลักไว้บนโลงศพน้ำแข็งออก
ถึงแม้ว่ามารดินโบ่วจะต้องระวัง ไม่มีทางเคลื่อนไหวง่ายๆ ทว่าการเตรียมการส่วนหนึ่งที่ควรกระทำยังเป็นสิ่งที่ขาดไปไม่ได้
หลังจากปลดผนึกค่ายกล เยี่ยนจ้าวเกอก็เปิดโรงศพน้ำแข็ง ยื่นมือข้างหนึ่งออกไปวางอยู่บนหน้าผากของอิ๋งอวี่เจิน
พร้อมกับที่เยี่ยนจ้าวเกอเคลื่อนปราณเซียน พลันมีตราอาคมชิ้นหนึ่งลอยขึ้นเหนือหน้าผากของอิ๋งอวี่เจิน
หลังจากตราอาคมนี้ปรากฏขึ้นมา เยี่ยนจ้าวเกอพลันรู้สึกได้ว่าเหมือนมีดวงตาคู่หนึ่งกำลังมองเขาอยู่ในความว่างเปล่า ความรู้สึกนี้ปรากฏแวบเดียวแล้วหายไปในชั่วพริบตา ทำให้คนอดสงสัยไม่ได้ว่าความรู้สึกเมื่อครู่เป็นความรู้สึกคิดไปเอง
เยี่ยนจ้าวเกอสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เขี่ยปลายนิ้วใส่ใยไหม เมื่อใยไหมขาดออกมาส่วนหนึ่งแล้วก็เหมือนถูกลมพัด คลุมลงบนตราอาคมบนหน้าผากของอิ๋งอวี่เจินอย่างแม่นยำ
จากนั้นเยี่ยนจ้าวเกอก็เก็บใยไหม ตวัดนิ้วในอากาศ เขียนตราอาคมหลายสาย จากนั้นก็ลอยลงตามลำลับ หล่นลงบนผิวหน้าผากของอิ๋งอวี่เจิน
ครู่ต่อมา ค่ายกลอาคมที่ขนาดกะทัดรัดเป็นมันวาวทว่าซับซ้อนก็หลอมรวมเข้าไปด้านใน
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จ เยี่ยนจ้าวเกอชักมือกลับมาประกบกัน ใช้ตราผนึกอีกครั้ง
สตรีในโลงศพน้ำแข็งไม่เคลื่อนไหว ไม่มีความรู้สึกใดๆ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เหมือนกำลังหลับลึก
“พวกเราไปเถอะ” เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า คนทั้งสามเดินออกมาพร้อมกัน จากนั้นเยี่ยนจ้าวเกอหันไปมองสือจวิน
สือจวินนั่งขัดสมาธิทันที รวมกายใจเป็นหนึ่ง หลับตาลง เก็บซ่อนลมปราณ
เยี่ยนจ้าวเกอใช้วิธีเดิม ตัดใยไหมออกส่วนเล็กๆ สลักค่ายกลอาคมแล้ววางลงบนหน้าผากของสือจวิน
สือจวินนั่งนิ่ง ตอนนี้มีความปราดเปรียวต่อการควบคุมร่างของตัวเองเป็นพิเศษ เพียงรู้สึกว่าจิตใจของตัวเองสั่นไหวเล็กน้อย เหมือนกับสดชื่นและคล่องแคล่วกว่าก่อนหน้า แต่ก็คล้ายขุ่นมัวติดขัดกว่าเดิม
ความรู้สึกย้อนแย้งที่ขัดกันอย่างสิ้นเชิงปรากฏขึ้นพร้อมกัน คล้ายใช่แต่ก็ไม่ใช่ ลี้ลับน่าอัศจรรย์
พอได้ยินคำบรรยายของสือจวิน เยี่ยนจ้าวเกอก็พยักหน้า “แบบนี้ถูกต้องแล้ว หมายถึงการคาดเดาก่อนหน้าของข้าถูกต้อง”
สือจวินกับสวีเฟยสองศิษย์อาจารย์ได้ยินคำพูดนี้ ต่างรู้สึกฮึกเหิม
“จวินเอ๋อร์ตั้งใจฝึกฝนไปก่อน ทางพี่สะใภ้อวี่เจินเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงเกินไป ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่เราจะต้องปะทะกับอีกฝ่าย” เยี่ยนจ้าวเกอผุดกายแล้วบอกลา “อีกฝ่ายกำลังรอโอกาส แต่ว่าโอกาสของพวกมันก็เป็นโอกาสของพวกเราเช่นกัน ถึงเวลานั้นต้องดูว่าใครมีฝีมือเหนือกว่า”
เขามองตาของสือจวินตรงๆ “ในการต่อสู้กับมาร การช่วยเหลือจากโลกภายนอกสุดท้ายเป็นอันดับรอง รากฐานยังอยู่ที่ความตั้งใจของตัวเอง”
สือจวินปั้นหน้าจริงจัง “ศิษย์เข้าใจ ขอบคุณอาจารย์อาเยี่ยนที่สั่งสอน”
“ข้ายังมีหน้าที่ต้องจัดการในสำนัก จะไปพร้อมกับศิษย์น้องเยี่ยนเจ้า” สวีเฟยหันไปทางสือจวิน “บทเรียนวันนี้เอาถึงเท่านี้ ต่อจากนี้เจ้าตั้งใจศึกษาดู การทำลายนภาเห็นเทวะสำแดงไม่อาจรีบร้อน จำเป็นต้องมีการสั่งสม”
สือจวินส่งสองคนออกประตู “ท่านอาจารย์วางใจ ศิษย์จะระวัง”
หลังออกจากที่อยู่ของสือจวินแม่ลูก เยี่ยนจ้าวเกอก็รำพึงรำพัน “พริบตาเดียวก็ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว”
“ใช่แล้ว หลายสิบปีแล้ว…” สวีเฟยเหม่อลอยอยู่บ้าง
“ศิษย์พี่สวี หลายปีมานี้ลำบากท่านแล้ว” เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ย “ข้าคร้านจะสนใจเรื่องราวในสำนัก ทั้งหมดอาศัยท่านช่วยบิดาจัดการดูแล”
การฝึกยุทธ์บำเพ็ญเพียรต้องใช้เวลา การจัดการภารกิจประจำวันในสำนักก็จำเป็นต้องใช้เวลาเช่นกัน แม้ไม่ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง สามารถใช้คนได้ แต่หลายๆ เรื่องราวยังคงต้องให้ผู้นำตัดสินใจ ถ้าไม่ใช่เพราะคนรุ่นหนุ่มสาวสามารถรับงานใหญ่ได้แล้ว ผู้อาวุโสในเขากว่างเฉิงก็ไม่อาจผ่อนคลายได้
ตัวสวีเฟยเป็นอัจฉริยะเชิงวรยุทธ์เช่นกัน ทั้งยังมุมานะในการฝึกฝนวิชา ตามปกติแม้จะเก็บงำประกาย แต่ว่าทุกๆ ก้าวในการพัฒนาล้วนเดินอย่างมั่นคงสุดขีด ไม่มีจุดที่ติดขัดด้วยคอขวด
ระหว่างทาง ขณะที่ช่วยแบ่งเบาภาระของเยี่ยนตี๋ หยวนเจิ้งเฟิง และฟางจุ่นควบคุมภารกิจในสำนัก ระดับพลังฝึกปรือก็ไม่ได้ลดลง บัดนี้ไปถึงระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นหก ขั้นเทวะสำแดงระยะท้ายแล้ว
หากพูดถึงแค่ระดับในเขากว่างเฉิง สวีเฟยเป็นรองเพียงเยี่ยนจ้าวเกอ เฟิงอวิ๋นเซิง หยวนเจิ้งเฟิง และฟางจุ่นเท่านั้น
มีศักยภาพและขีดความสามารถในการฝึกฝนวรยุทธ์ล้ำเลิศ จัดการเรื่องราวประจำวันในสำนักได้อย่างเป็นระเบียบ ทั้งกอปรด้วยความยุติธรรมเด็ดขาด
นอกจากเยี่ยนจ้าวเกอที่มีสถานการณ์พิเศษ เขาถูกคิดว่าเป็นคนที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดว่าจะได้รับช่วงควบคุมเขากว่างเฉิงต่อ
สวีเฟยรู้สึกตัว กล่าวด้วยรอยยิ้มเปิดเผย “เจ้าพูดอะไรของเจ้ากัน ในฐานะศิษย์ของสำนัก ไม่อาจผลักไสภาระแก่ผู้อื่น ยิ่งไปกว่านั้นหากพูดกันจริงๆ เจ้าเคลื่อนไหวด้านนอกมาหลายปี ได้กระทำเรื่องใหญ่มากมาย เรื่องไหนไม่สะท้านฟ้าดินบ้าง ยังลำบากกว่าเรื่องราวยิบย่อยประจำวันในสำนักอีก แต่เจ้ากลับกระทำสำเร็จได้ นี่จึงเรียกว่าความสามารถ”
“ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ก็ต้องมีคนไปทำ คนที่ทำเรื่องจริงได้ล้วนสุดยอดทั้งสิ้น” เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะฮ่าๆ
สวีเฟยอดยิ้มไม่ได้ “ไม่ต้องให้ข้าชมเชย เจ้าก็ชมตัวเองไปหมดแล้ว”
หลังจากหยอกล้อกันเสร็จ สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นจริงจัง ถามเสียงเบา “จ้าวเกอ ภัยพิบัติที่เกาะเกี่ยวสำนักเรากับนพยมโลกมาถึงตรงหน้าแล้วใช่หรือไม่”
………………..