ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1422 หมู่มารปั่นป่วน
จิตที่ยิ่งใหญ่พอปรากฏ ก็แทบเปลี่ยนมิติทั้งหมดกลายเป็นเขตมาร
ถึงพวกผู้ยิ่งใหญ่สำนักเต๋าจะขัดขวาง ทว่ามีเผ่าปีศาจกับแดนสุขาวดีตะวันตกสอดมือ กองทัพจากสี่ฝั่งต่อสู้อย่างดุเดือด สะกดและดูเชิงกันเอง มิตรศัตรูยากแยกแยะ ในที่สุดก็ปล่อยจอมมารระดับมหาชาลตนหนึ่งหลุดออกมา
จอมมารนตนนี้ไม่สนใจสถานการณ์ที่วุ่นวายนั้น บัญชามารตนอื่นออกตามหาพวกเยี่ยนจ้าวเกอ
ตอนนี้มันมาถึงดินแดนพันเกล็ด ปราณมารพวยพุ่ง พลันสร้างการสะกดแก่ดินแดนพันเกล็ด
จอมมารผู้น่ากลัวระดับมหาชาลตนนี้ออกคำสั่ง แสงสีเลือดกะพริบขึ้นในควันมารไร้ขอบเขต มิติฉีกออก จอมมารที่แข็งแกร่งตัวแล้วตัวเล่าปรากฏร่างที่แท้จริง
จอมมารเหล่านี้มีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกัน
มีตัวตนที่เหมือนกับเทพมาร กอปรด้วยสี่เศียรสี่กร บนศีรษะไม่มีตาจมูกปากหรือหู ร่างกายท่อนล่างเหมือนกับหมอกเมฆ ไม่เห็นขาและเท้า
นี่เป็นจอมมารที่เกิดในนพยมโลก ปราณมารที่ชั่วร้ายให้กำเนิดขึ้นมา ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเป็นร่างมนุษย์ มันมีปากงุ้มแหลม ขนเต็มใบหน้า แขนสองข้างยาวเลยเข่า ลักษณะเหมือนวานรยักษ์ ตัวเป็นสีดำสนิท มีเพียงสองตาที่คล้ายบ่อเลือด
กลับเป็นวานรปีศาจตนหนึ่ง หลังจากร่วงหล่นสู่มารเข้าสู่นพยมโลกก็กลายเป็นจอมมาร ยังคงรูปลักษณ์ของวานรยักษ์ แต่ว่ามีปราณมารแข็งแกร่ง เหมือนกับจอมมารที่มีสี่เศียรสี่กรด้านข้าง ไม่มีความแตกต่าง
มีตนหนึ่งร่างเล็ก แต่ว่าความรู้สึกของพลังกลับไม่ด้อยกว่า ลักษณะเหมือนบัณฑิตวัยกลางคนเผ่ามนุษย์ นอกจากหน้าตาที่ค่อนข้างซีดเซียว ในดวงตาปรากฏริ้วเลือด และดูโซมไปบ้างแล้ว หน้าตาของมันก็ไม่ต่างจากคนทั่วไปมาก
แต่ว่านี่เป็นจอมมารตนหนึ่ง ยอดฝีมือระดับสุดยอดแห่งวิถีมารที่โด่งดังไปทั่วมหาจักรวาลตั้งแต่ก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ มีชื่อว่าจ้าวสุขสันต์
เดิมเป็นยอดฝีมือเผ่ามนุษย์ที่ฝึกฝนวรยุทธ์วิถีมาร เรียกว่าพญามารสุขสันต์ แต่หลังเข้าสู่นพยมโลก ร่วงหล่นเป็นมารโดยสมบูรณ์ก็กลายเป็นมารร้ายที่แท้จริง ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป
“การต้อนรับการกลับมาของใต้เท้าน้ำกุ่ยกับใต้เท้าดินโบ่วเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด” จอมมารที่แต่งกายแบบมนุษย์วัยกลางคนผู้นี้กล่าวด้วยความผ่อนคลาย “แต่ว่าถ้าหากนำสตรีนางนั้นกลับไปด้วยได้จะดียิ่งกว่า”
จอมมารที่เหมือนวานรยักษ์ด้านข้างถลึงมองเขา “นางครองอำนาจของมารสวรรค์ปัจฉิมธรรม ท่านคิดจะวางแผนเล่นงานนางหรือ”
สำหรับมารร้ายแห่งนพยมโลก ตอนที่เรียกหกสุดยอดมาร จะเติมคำเคารพเช่น ‘ใต้เท้า’ เข้าไปด้วย
ตอนที่พูดถึงหกบรรพมาร จะเรียกว่า ‘มารสวรรค์’
ไม่ใช่ว่าไม่มีความนับถือ แต่นาม ‘มารสวรรค์’ ก็เป็นคำเรียกที่สูงส่งที่สุดอยู่แล้ว มีแต่บรรพมารระดับมรรคาถึงจะใช้ได้
การใช้คำว่า ‘มารสวรรค์’ ของมารร้าย เหมือนกับการพูดถึงพระพุทธเจ้าของศาสนาพุทธ และการพูดถึงบรมครูสามพิสุทธิ์ของสำนักเต๋า
“สตรีนางนี้เดิมขโมยอำนาจของมารสวรรค์ปัจฉิมธรรม การดูดพลังนางเป็นแค่การลงโทษเท่านั้น” พญามารสุขสันต์กล่าวอย่างไม่รีบไม่ร้อน “หากข้าได้รับความโปรดปราณจากมารสวรรค์ปัจฉิมธรรมเพราะเหตุนี้ เมื่อนางกลายเป็นร่างสถิตในการจุติของมารสวรรค์ปัจฉิมธรรม นั่นย่อมเป็นเกียรติของข้า”
วานรยักษ์หัวเราะ “เช่นนั้นท่านไปเถอะ ข้าไม่ห้ามแล้ว แต่ท่านลืมไปแล้วหรือว่าใต้เท้ามารจิตเคยบอกว่าตอนนี้นางห่างจากมหาชาลเพียงหนึ่งก้าว ท่านสามารถเอาชนะนางที่ครอบครองอำนาจของมารสวรรค์ปัจฉิมธรรมได้หรือ”
“แล้วนางสามารถเอาชนะนพยมโลกทั้งหมดได้หรือไม่ สุดท้ายก็ต้องตกอยู่ในมือพวกเราอยู่ดี” พญามารสุขสันต์หัวเราะ “ข้ายินดีร่วมเสพสุขกับคนอื่นอยู่แล้ว”
จอมมารสี่เศียรสี่กร ไม่มีหน้าตาตนนั้นกล่าวอย่างเย็นชา “จะจัดการสตรีนางนี้อย่างไร ให้มารสวรรค์ไร้พันธนากับพวกใต้เท้าตัดสินใจร่วมกัน ท่านกล้าทำตามใจชอบก็รอความตายเถอะ”
“ต้องจับให้ได้เสียก่อนค่อยว่ากันไม่ใช่หรือ” พญามารสุขสันต์ไม่เครียดไม่โมโห ไม่ลุกลี้ลุกลน สีหน้าผ่อนคลายตั้งแต่ต้นจนจบ
วานรยักษ์แค่นเสียงคำหนึ่ง “ยังพร่ำพิไรอันใดอีก รีบเผด็จศึกเสีย จัดการพวกมัน ต้อนรับใต้เท้าน้ำกุ่ยกลับมา จากนั้นก็ไต่สวนพวกมันว่านำร่างสถิตของใต้เท้าดินโบ่วไปซ่อนไว้ที่ไหน”
นอกจากพวกมันแล้ว จอมมารนพมโลกก็โผล่มามากขึ้นเรื่อยๆ เหล่ามารสร้างความปั่นป่วน เพลิงมารพวยพุ่งขึ้นฟ้า และต่อจากพวกมัน ยังมีแม่ทัพมารร้ายระดับมหาชาลตนนั้น
เหล่ามารพุ่งไปยังดินแดนพันเกล็ด คิดทำลายที่นั่นเป็นผุยผง แต่ว่าในตอนนั้นเอง กลางประกายแสงระยิบระยับพลันย้อมด้วยสีดำบริเวณหนึ่ง
จากนั้นเห็นประกายดาบที่น่ากลัวสายหนึ่งปรากฏขึ้น กวาดทำลายทุกทิศทาง
พวกเยี่ยนจ้าวเกอที่เฝ้าดินแดนพันเกล็ด นอกจากจะช่วยเฉินเสวียนจงกับฉู่หลีหลีที่กำลังถอนทำลายสำนึกมาร ก็กำลังคุ้มครองพวกเขาที่นี่
ดินแดนพันเกล็ดกับพิธีผสมฟ้าขับไล่มารเพียงแค่ส่งผลซ่อนร่องรอย ขวางกั้นการโจมตีจากปราณมาร เดิมช่วยพวกเฉินเสวียนจงถอนทำลายสำนึกมาร มีผลสนับสนุนที่สำคัญที่สุด
เพราะมีการเตรียมการและการช่วยเหลือมากมายขนาดนี้ เฉินเสวียนจงจึงได้ถอนทำลายตรามารของมารน้ำกุ่ยได้ราบรื่นเช่นนี้ ทั้งยังทดลองสะกดมันเพิ่มอีกขั้น ขัดขวางการคืนชีพของมันได้
เมื่อเป็นแบบนี้ จึงจำเป็นต้องรวบรวมพลัง ใช้พิธีรับมือมารน้ำกุ่ย
สามารถป้องกันมารจิตที่แผ่กระจายสำนึกมาร แต่ไม่อาจป้องกันกองทัพ ต้านทานการบุกมาของตัวจริงได้
ดังนั้นการจะสู้กับมารร้ายที่บุกมาถึง พวกเยี่ยนจ้าวเกอจำเป็นต้องใช้กลยุทธ์ป้องกันศัตรูไว้ด้านนอก ไม่ให้อีกฝ่ายทำลายดินแดนพันเกล็ดและพิธีผสมฟ้าขับไล่มาร
สาเหตุที่อาศัยตำหนักโอสถและมุกผ่าดินถ่วงเวลาการคืนชีพของมารดินโบ่ว ก็เพื่อที่จะรวบรวมพลังของตัวเอง มาปกป้องทางด้านดินแดนพันเกล็ดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เฟิงอวิ๋นเซิงเป็นทัพหน้า เข่นฆ่าออกจากดินแดนพันเกล็ด ปะทะกับมารที่มาบุกรุก ผู้ขวางทางล้วนแตกพ่าย แต่ว่าไม่ทันไรจิตใจของนางก็เคร่งขรึมลง
เขตมารครอบคลุม ตัวตนที่น่าพรั่นพรึงถึงขีดสุดตัวตนหนึ่งสั่นสะเทือนมิติ
เฟิงอวิ๋นเซิงคุ้นเคยกับสำนึกมารที่อยู่อีกฝั่ง
เป็นมารร้ายที่ก่อนหน้าสู้กับนางในแควธารสวรรค์ ยอดฝีมือจอมมารระดับสุดยอดที่เลื่อนสู่ระดับมหาชาล!
สองฝ่ายไม่ต้องกล่าวมากความ เริ่มสงครามอีกครั้งในทันที
ถึงตนจะเป็นเซียนกำเนิดสุญญตา ตรงหน้าเป็นคู่ต่อสู้ที่เทียบได้กับเซียนสวรรค์ชั้นมหาชาลของสำนักเต๋า แต่เฟิงอวิ๋นเซิงลงมือโดยไม่ตั้งรับ
บนศีรษะนางมีแสงสีดำสองสายส่องสว่าง สภาวะหุบเหวโกลาหลสูญปรากฏ ประกายดาบตรงไปตรงมา ขณะขัดขวางศัตรูที่เล็งเป้าหมายมาที่ตนเอง ก็ทักทายมารตนอื่นๆ ที่อยู่รอบข้างด้วย
ส่วนคู่ต่อสู้ของนาง พอลงมือกลับเป็นสภาวะต้านทานโดยใช้อ่อนข่มแข็ง ปราณมารหลายสายกระจายถี่ยิบดุจใยแมงมุม ห้อมล้อมเฟิงอวิ๋นเซิงแล้วค่อยๆ หุบเข้าหากัน
จอมมารตนนี้แม้จะแข็งกร้าว แต่วินาทีนี้ไม่อาจไม่ระวังป้องกันไว้ก่อน
เฟิงอวิ๋นเซิงที่อยู่ตรงหน้าอยู่ห่างจากมหาชาลเพียงหนึ่งก้าว ที่หยุดอยู่ในชั้นสุญญตาก็เพื่อรักษาการควบคุมตัวเอง หากนางสูญเสียการควบคุมกลายเป็นมารอย่างแท้จริง นพยมโลกย่อมยินดีเห็น
แต่ว่าก่อนจะถึงวินาทีนั้นจริงๆ ไม่มีใครยินยอมปะทะกับดาบปัจฉิมธรรมระดับมหาชาลซึ่งหน้า
สงครามนี้ผลแพ้ชนะยากคาดถึง เฟิงอวิ๋นเซิงแม้มีข้อกริ่งเกรง ตอนนี้ก็ปลดปล่อยพลังทั้งหมด ตั้งสมาธิกับการต่อสู้ตรงหน้า ทำให้นางแสดงระดับที่เหนือกว่าในอดีตออกมาได้
คู่ต่อสู้ของนางไม่ได้งำประกายเหมือนกับตอนที่ลงมือหยั่งเชิงที่นอกแควธารสวรรค์ในตอนแรก แสดงพลังที่แข็งแกร่งกว่าเดิมออกมาเช่นกัน
ครั้งนี้ในเมื่อหมู่มารออกนพยมโลก ต้องการอาละวาดอย่างเปิดเผย จอมมารเหล่านี้ก็ละทิ้งข้อกริ่งเกรงมากมายเช่นกัน!