ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1441 ค่ายกลมรดกแห่งเหนือพิสุทธิ์
บุรุษและสตรีโสดเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย อีกทั้งมีอันตรายจะคอยประคับประคองคอยชั่วเหลือกัน อีกทั้งต่างฝ่ายต่างชื่นชมกัน มีขีดความสามารถและเบื้องหลังเหมาะสมกัน อายุยังใกล้ๆ กัน ถ้าหากว่าได้ผจญความลำบากด้วยกัน ถึงขั้นที่เจอพายุฝนจากความเป็นความตาย เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกว่าสามารถเสียดสีให้เกิดประกายไฟได้ง่าย
เนี่ยจิงเสินเป็นหลานศิษย์ของเยี่ยนซิงถาง อวี่เยี่ยเป็นหลานสาวของหลงซิงเฉวียนและเกาชิงเสวียน ในด้านการสืบทอดมรรคายุทธ์ พวกเขาเป็นคนรับช่วงต่อที่โดดเด่นที่สุด ถึงขั้นที่การสร้างทัศนคติในระหว่างที่เติบโตก็อาจได้รับอิทธิพลจากผู้อาวุโส แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าโชคชะตาของพวกเขาจะเป็นเหมือนกับผู้อาวุโส
ซึ่งความจริง ก่อนหน้านี้เนี่ยจิงเสินกับอวี่เยี่ยชื่นชมกันและกันจริงๆ แต่ถ้าหากบอกว่าพวกเขามีการพัฒนาในเรื่องบุรุษสตรีหรือไม่ อย่างน้อยปัจจุบันยังไม่มี
การเปลี่ยนศาสตราเป็นชะตาแต่งงาน เดิมเป็นมุกตลกของเยี่ยนจ้าวเกอเท่านั้น
ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้คิดไปในทางนี้ ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้เหมาะเจาะจริงๆ เหมาะถึงขั้นที่ถ้าไม่เกิดอะไรขึ้น กลับทำให้คนรู้สึกผิดปรกติ
“คนอื่นๆ เปลี่ยนศาสตราเป็นหยกและผ้าแพร พวกเราเปลี่ยนศาสตราเป็นชะตาแต่งงาน เรื่องบางเรื่องไม่เชื่อไม่ได้จริงๆ” เยี่ยนจ้าวเกอพึมพำ “ระหว่างข้ากับอวิ๋นเซิงแม้ไม่เคยมีความแค้นหรือความขัดแย้ง แต่หากต้องพูดกันจริงๆ สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่นางเติบโตขึ้นมาก็เป็นคู่ต่อสู้กับเขากว่างเฉิงเราบนโลกแปดพิภพเช่นกัน…”
ถึงแม้จะมีสีหน้าปวดศีรษะ แต่ว่าเยี่ยนจ้าวเกอพูดวาจาจากใจ เขากำลังตั้งใจพิจารณาเรื่องนี้อยู่จริงๆ โดยเฉพาะหลังจากความตายของกษัตริย์เถา ก็ยิ่งทำให้คนทำนายอนาคตไม่ออก
“ถ้าหากเกิดเรื่องอย่างที่เจ้าพูดจริงๆ ระหว่างพวกเขาคนหนุ่มสาวจะเป็นอย่างไรข้าไม่ก้าวก่าย” เยว่เจิ้นเป่ยสีหน้าจริงจังขึ้นหลายส่วน “แต่ว่าความตายของหลี่เถาม่วงนั้น…”
เยี่ยนจ้าวเกอ เยี่ยนตี๋ และเยว่เจิ้นเป่ยข้ามองท่าน ท่านมองข้า พูดอะไรไม่ออกชั่วขณะ
“บางทีเป็นข้าคิดมาก อีกเดี๋ยวพวกศิษย์พี่เนี่ยจะกลับมาแล้ว ขอให้ปลอดภัยไม่มีเรื่องราวใดเถอะ” สุดท้ายเยี่ยนจ้าวเกอก็พึมพำกับตัวเอง
เยว่เจิ้นเป่ยไม่ได้พูดอะไร เยี่ยนตี๋เอ่ยว่า “เอาเป็นว่าขอแค่คนปลอดภัยไร้เรื่องราวสำคัญที่สุด”
เยี่ยนจ้าวเกอกวาดมองความว่างเปล่าที่มืดมิดและไร้ขอบเขต กล่าวเสียงเบา “ถูกต้อง หวังว่าฟ้าจะช่วยคุ้มครองพวกเขา ขอให้ทุกอย่างเรียบร้อยดี”
…
“นี่…คือที่ไหน”
หลังจากเนี่ยจิงเสินหลุดออกมาจากกระแสปั่นป่วนของมิติเวลา เพียงเห็นว่าทิวทัศน์ตรงหน้าแปลกประหลาด
หมอกสีเหลืองแผ่พุ่ง ทำให้คนเกิดความรู้สึกยื่นมือออกมาไม่เห็นห้านิ้ว ยามอยู่ข้างในเหมือนโดนของมีคมจ่อที่กลางหลัง
ด้วยพลังฝึกปรือที่ได้ผลักเปิดประตูเซียนแล้วของเนี่ยจิงเสิน จิตใจอันแน่วแน่ที่แข็งแกร่งมาโดยตลอด เวลานี้ยังรู้สึกได้ถึงความเย็นอันรุนแรงชวนประหวั่นพรั่นพรึง
หลังสงบจิตใจ เนี่ยจิงเสินหันไปมองอวี่เยี่ยที่อยู่ด้านข้าง กลับพบว่าอวี่เยี่ยมีท่าทีสบายกว่าเขามาก
นี่กลับไม่ใช่เพราะความแตกต่างในด้านพลังของทั้งสองฝ่าย แต่เป็นเพราะอวี่เยี่ยมีเจตจำนงกระบี่วรยุทธ์สายเหนือพิสุทธิ์ จึงเคลื่อนไหวในหมอกเหลืองนี้ได้สะดวกกว่า หมอกเหลืองส่งผลกระทบต่อนางน้อยกว่า
เนี่ยจิงเสินเห็นดังนั้นคล้ายนึกอะไรได้ แต่ว่าเขาก็สลัดความคิดทิ้งอย่างรวดเร็ว กล่าวว่า “ศิษย์น้องอวี่อย่าคิดมาก กษัตริย์เถาจะต้องไม่เป็นไร”
ภายใต้การครอบคลุมจากหมอกแสง ถึงอวี่เยี่ยจะผ่อนคลายและสะดวกสบายกว่าเนี่ยจิงเสิน ทว่านางกลับมีสีหน้าเคร่งขรึมกว่า ทั้งแฝงความโศกเศร้า
ก่อนที่จะถูกหลุมขมุกขมัวมืดมิดนั้นกลืนกิน ภาพสุดท้ายตรงหน้านางเป็นกษัตริย์กระบี่เยว่เจิ้นเป่ยลงมือช่วยเหลือ ผลลัพธ์กลับถูกกษัตริย์เถาปฏิเสธ
เพื่อทำลายกรงขังของพญามารดาวโลหิต ก่อนหน้านี้กษัตริย์เถาจ่ายด้วยราคามหาศาล บาดเจ็บสาหัสถึงขีดสุด
อวี่เยี่ยได้ประสบกับอานุภาพฉีกมิติเวลาของพลังแห่งเขตแดนในหลุมขมุกขมัวมืดมิดนั้นด้วยตัวเองมาแล้ว
ด้วยอาการบาดเจ็บในตอนนั้นของกษัตริย์เถา ถ้าหากว่าตกเข้าไปในหลุมขุมกขมัวมืดมิด เกรงว่าจะเสียชีวิตคาที่
นางกระตุ้นพลังที่เหลือ กระแทกฝ่ามือใส่มือที่เยว่เจิ้นเป่ยยื่นเข้ามา ไม่ต่างกับการฆ่าตัวตาย
นี่จะไม่ทำให้อวี่เยี่ยกระวนกระวายใจได้อย่างไร
ตอนนี้พอย้อนนึกดูก็วิตกกังวลถึงขีดสุด น่าเสียดายที่ไม่ทราบว่าผลลัพธ์สุดท้ายเป็นอย่างไร
คิดจะไปตามหากษัตริย์เถาหลี่อิงกับกษัตริย์กระบี่เยว่เจิ้นเป่ยให้เร็วที่สุด แต่ตรงหน้ากลับมีหมอกสีเหลืองนี้ขวางทางอยู่ ไม่เพียงแต่ทำให้คนยากแยกแยะทิศทาง ยังเคลื่อนไหวลำบากกว่าเดิม
“บูรพาจารย์เดิมทีมีอาการบาดเจ็บเก่าติดตัวอยู่แล้ว เมื่อครู่เพิ่มอาการบาดเจ็บใหม่ ถ้าหากว่าตกไปในหลุมขมุกขมัวมืดมิดนั่นจริงๆ ผลลัพธ์ก็ยากจะคิดถึง” อวี่เยี่ยได้ยินคำปลอบประโลมของเนี่ยจิงเสินแล้วก็ยังคงวิตกกังวล
แต่นางเว้นเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวต่อ “กษัตริย์กระบี่มีคุณธรรมสูงส่ง ละทิ้งบุญคุณความแค้นระหว่างสองฝ่าย พยามยามช่วยเหลือบูรพาจารย์สุดกำลัง ข้าเห็นกับตาแล้วรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่ง เพียแต่…เฮ้อ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าบูรพาจารย์จะ…”
นางตบหน้าผากอย่างขุ่นข้อง “ไม่ถูกต้อง สมควรคิดได้ บูรพาจารย์เป็นคนที่มีนิสัยแข็งกร้าวเพียงนั้น เพียงแต่ข้าไม่เคยรู้ว่านางจะแค้นกษัตริย์กระบี่ขนาดนี้”
“คิดมากไปก็เปล่าประโยชน์” เนี่ยจิงเสินว่า “พวกเรารีบหาวิธีกลับไป เดี๋ยวก็ทราบเองว่าตอนนี้กษัตริย์เถาปลอดภัยหรือไม่”
อวี่เยว่สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง “มิผิด พวกเราถูกกระแสปั่นป่วนของมิติเวลาโยนเข้ามาในค่ายกลค่ายหนึ่ง” นางเงยหน้ามองหมอกเหลืองตรงหน้า “นี่ดูเหมือนจะเป็นฝีมือของผู้ยิ่งใหญ่สักคนในสายเหนือพิสุทธิ์ของข้า เพียงแต่ไม่ทราบว่าเป็นท่านไหน”
หลังจากพิจารณาอย่างละเอียดสักพัก นางก็ขมวดคิ้ว “ค่ายกลเงียบสงัด ไม่ได้ทำงาน”
หากเป็นยามปกติ เพราะนางชอบศึกษาวรยุทธ์ ทั้งครอบครองวิญญาณฟ้าแฝง ตอนนี้เกรงว่าจะจมอยู่ในการศึกษามรรคา จิตใจล่องลอยไปด้านนอกอีกครั้ง ทว่าตอนี้นางที่เป็นห่วงความปลอดภัยของกษัตริย์เถามีสมาธิมากเป็นพิเศษ
“มองออกหรือไม่ว่าเป็นค่ายกลอะไร” เนี่ยจิงเสินถาม
อวี่เยี่ยส่ายหน้า “ค่ายกลอยู่ในความเงียบสงัด แม้แต่ลวดลายค่ายกลสักสายก็ไม่แสดงออกมา และไม่มีคลื่นปราณวิญญาณ ลักษณะเด่นภายนอกก็ไม่ชัดเจน แค่มองดูเท่านี้ข้าจำไม่ได้จริงๆ”
นางมองรอบๆ “แต่ว่าผู้ยิ่งใหญ่ที่วางค่ายกลมีระดับพลังฝึกปรือเหนือกว่าพวกเรามาก โชคดีที่ค่ายกลเงียบสงัด ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดทำงานขึ้นมา พวกเราอาจจะรักษาชีวิตไว้ไม่ได้”
คนทั้งสองมองหน้ากัน พลันยิ้มอย่างหนักใจ
“ข้านึกถึงคนคนหนึ่ง ถ้าเขาอยู่ที่นี่ด้วยคงประเสริฐ” เนี่ยจิงเสินพูดขึ้นก่อน
อวี่เยี่ยถอนใจ “ข้าเองก็นึกถึงคนคนหนึ่ง ข้ารู้สึกว่าคนที่ข้านึกถึงน่าจะเป็นคนเดียวกับท่าน”
คนทั้งสองฝืนยิ้มพลางส่ายหน้า จากนั้นก็ปั้นสีหน้าจริงจัง
ไม่แสดงความท้อแท้ มีเพียงความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าเหมือนปกติ
พวกเขารวบรวมสมาธิ ทดลองมุ่งไปด้านหน้าด้านในหมอกสีเหลือง ตามหาทางออก
อวี่เยี่ยที่อยู่ฝ่ายเหนือพิสุทธิ์เปิดทางอยู่ด้านหน้า คนทั้งสองเริ่มเคลื่อนที่ไปด้านหน้าทีละน้อยๆ
พอรับรู้ถึงการรบกวนจากปราณเซียนและเจตจำนงกระบี่ของคนทั้งสอง หมอกเหลืองตรงหน้าคล้ายกับมีปฏิกิริยาเล็กน้อย
ค่ายกลยังคงไม่เคลื่อนไหว แต่พอสายหมอกกว้างใหญ่ได้รับการกระตุ้น ก็เริ่มโจมตีตอบโต้ด้วยตัวเอง ทำให้เนี่ยจิงเสินกับอวี่เยี่ยรู้สึกกินแรงกว่าเดิม
ทว่าพอสัมผัสหมอกเหลืองที่ทำงานด้วยตัวเองมากกว่าเดิม อวี่เยี่ยก็เริ่มศึกษาได้ถึงร่องรอยค่ายกลที่บัดเดี๋ยวหายบัดเดี๋ยวปรากฏด้านใน
เพราะความสะดวกที่เป็นผู้สืบทอดกระแสตรงสายเหนือพิสุทธิ์เหมือนกัน นางถึงขั้นสัมผัสอย่างเลือนรางได้ถึงจิตวรยุทธ์ส่วนหนึ่งที่เจ้าของค่ายกลค่ายนี้ได้เหลือเอาไว้
“นี่…” อวี่เยี่ยหยุดฝีเท้า เบิกตาโพลง “ที่นี่คือ…”
“มีความเป็นมาอย่างไร” เนี่ยจิงเสินถามอย่างใจเย็น “ถึงค่ายกลสายเหนือพิสุทธิ์จะสูญหายไปเป็นจำนวนมาก แต่ค่ายกลที่ทำให้เจ้ายากแยกแยะเช่นนี้คงจะมีไม่กี่ค่าย เมื่อลองอนุมานในทางกลับกัน ความจริงมีความเป็นไปได้อย่างไม่กี่อย่าง”
อวี่เยี่ยหันไปมองเขา พูดทีละคำ
“เป็นบรมครูเทวกษัตริย์วิเศษคณานับ!”