ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1445 กระจกสายฟ้าทำลายมาร กระบี่ยักษ์พุ่งทะยาน
กระบี่ยักษ์สีแดงก่ำผ่าความว่างเปล่า ทะลุมิติเวลาหลายชั้นในชั่วอึดใจ
หลังพุ่งออกไปสักพัก ก็พลันหยุดกลางจักรวาลแห่งหนึ่ง ที่นั่นปรากฏแสงสว่างอย่างเลือนรางในความมืด เหมือนกับจันสุริยุปราคาสิ้นสุด ดวงจันทร์ปรากฏขึ้นใหม่
ร่างของราชันพระจันทร์หลิงชิงปรากฏบนดวงจันทร์ นางมองกระบี่ยักษ์สีแดงก่ำตรงหน้าด้วยความประหลาดใจอยู่บ้าง
ประกายกระบี่หายไปในฉับพลัน เผยให้เห็นเรือบินขนาดยักษ์ลำนั้น
‘ไม่ใช่เรือนภาร่อนวายุ’ หลิงชิงพิจารณาขึ้นลง ‘กลับเหมือนเรือแห่งธารสวรรค์ของวังเทพก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่อยู่บ้าง แต่ว่าแตกต่างกัน มีการปรับปรุงในด้านอื่นๆ’
นางทางหนึ่งคิด ทางหนึ่งขึ้นบนเรือยักษ์ลำนั้น
เพิ่งขึ้นบนเรือไปไม่นาน ประกายกระบี่สีแดงก่ำก็ปรากฏขึ้นแล้วคลุมนาวาเทพไว้ทั้งลำ ก่อนจะทำให้มันกลายเป็นกระบี่สีแดงก่ำใหม่ แล้วแหวกฝ่ามิติเวลา หายไปในชั่วพริบตา
เยี่ยนจ้าวเกอนั่งขัดสมาธิอยู่บนเรือ พยักหน้าคำนับ “ราชันพระจันทร์ ลำบากท่านแล้ว”
“นี่คือคนในสำนักของเจ้า? ร่างสถิตสำหรับคืนชีพของมารดินโบ่ว?” หลิงชิงมองกลุ่มแสงที่ลอยอยู่ระหว่างสองฝ่ามือของเยี่ยนจ้าวเกอ มองเงาคนที่อยู่ในกลุ่มแสง
“มิผิด อีกเดี๋ยวขอให้ราชันพระจันทร์ช่วยดูแลมากๆ” เยี่ยนจ้าวเกอว่า
กลิ่นอายการคุกคามที่หนาหนัก และชั่วร้ายบ้าคลั่งลอยออกมาจากด้านใน
หลังออกจากตำหนักโอสถก็เริ่มไม่อาจขัดขวางการคืนชีพของมารดินโบ่วได้อีก มันจึงเริ่มขึ้นสู่เส้นทางการคืนชีพอย่างเป็นทางการ
“ข้าจะพยายาม” หลิงชิงพยักหน้าอย่างเรียบเฉย
เยี่ยนจ้าวเกอหยิบจานหยกที่จักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋มอบให้ แล้วกระแทกออกไปด้านบน
กระบี่ยักษ์สีแดงก่ำเคลื่อนไหวอยู่ในมิติเวลาอย่างต่อเนื่องครู่หนึ่ง ไม่ได้หยุดลงแม้ชั่วอึดใจเดียว
แสงสายฟ้าหลายชั้นปรากฏขึ้นบนจานหยกนั้นแล้วรวมตัวกัน เหมือนกับกระจกใบหนึ่ง ซ่อนอยู่ด้านในประกายกระบี่
เวลานี้ในที่สุดเยี่ยนจ้าวเกอก็ลุกขึ้นยืน รองกลุ่มแสงนั้นเข้าไปในท้องเรือ
เกาชิงเสวียนยังคงยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ เฟิงอวิ๋นเซิง เยี่ยนตี๋ หลงเสวี่ยจี้ยืนอยู่ข้างนาง ส่วนคนอื่นๆ ติดตามเยี่ยนจ้าวเกอลงไปใต้ท้องเรือ
ในท้องเรือมีห้องสงบใจห้องหนึ่ง ในห้องสงบใจไม่มีสิ่งใด มีเพียงบึงน้ำบึงหนึ่ง
เยี่ยนจ้าวเกอปล่อยกลุ่มแสงที่ยิ่งมายิ่งปั่นป่วน ยิ่งมายิ่งไม่เสถียรลงไปที่ก้นบึงอย่างระมัดระวัง
น้ำในบึงพัดระลอกคลื่นหลายสาย ผิวน้ำจมลงอย่างรวดเร็ว คล้ายถูกแสงสีเหลืองนั้นดูดจนเหือดแห้ง ทว่าไม่ทันไร ต้นกล้าต้นหนึ่งก็แตกกิ่งหยั่งราก จากนั้นมันก็เติบโตอย่างแข็งแรง กลายเป็นลำต้นที่ตั้งตรง กิ่งใบที่แน่นขนัด
ต้นไม้สีมรกตหยั่งรากที่ก้นบึง น้ำในบึงเริ่มแห้งขอด กลุ่มแสงนั้นก็หายไปเช่นกัน มีเพียงตำแหน่งของรากต้นที่พอจะเห็นแสงสีเหลืองกะพริบอย่างคลุมเครือ
เยี่ยนจ้าวเกอเขียนตราคาถายันต์อาคมแต่ละแบบอย่างรวดเร็ว พวกมันกลายเป็นค่ายกลอาคมหลายค่าย ครอบคลุมบริเวณรอบๆ ต้นไม้สีมรกตที่เกิดขึ้นใหม่ ช่วยพวกสือจวินสามคนรับมือกับมารดินโบ่วกับมารอีกตนที่เริ่มฟื้นคืนชีพ
“ราชันพระอาทิตย์ดูเหมือนจะปลีกตัวมาไม่ได้?” เยี่ยนจ้าวเกอทางหนึ่งดำเนินแผนการอย่างเป็นลำดับขั้นตอน ทางหนึ่งถามอย่างไม่ใส่ใจ
หลิงชิงสายตาไร้อารมณ์ ตอบอย่างราบเรียบ “เขาเพียงบอกว่าไม่มีเวลามา ไม่ทราบว่าเขากำลังทำอะไรอยู่”
เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า นั่งขัดสมาธิกับพื้น มองดูลำต้นตรงหน้า “มารแห่งนพยมโลกสมควรมาช่วยเหลือต้อนรับมารดินโบ่วแล้ว”
…
กลางความว่างเปล่าในตอนนี้ เหล่ามารคิดเคลื่อนไหวจริงๆ
ครั้งนี้เป็นเพราะมารน้ำกุ่ยกับมารดินโบ่ว จอมมาระดับสุดยอดจำนวนมากจึงออกจากนพยมโลก เพลิงมารพวยพุ่งสู่ฟ้า
แต่ว่าก่อนหน้านี้ได้รับการร่วมมือกันจู่โจมจากสำนักเต๋า ศาสนาพุทธ และเผ่าปีศาจ แม้จอมมารที่ออกจากนพยมโลกในครั้งนี้มีมากมายดุจหมู่เมฆก็ต้านทานไม่ไหว
หลังจากมารน้ำกุ่ยเข้าสู่การดับสูญ ยอดฝีมือสำนักเต๋าที่แข็งแกร่งที่สุดก็ไม่กดดันต่ออีก นพยมโลกโล่งใจขึ้นเล็กน้อย
ทว่าการซ้ำเติมของขุมกำลังอื่นๆ ยังคงนำแรงกดดันมหาศาลมาให้
เทพมารระดับสุดยอดที่สุดหากจะลงมือจำเป็นต้องระวัง หากไม่ระวัง ก็อาจะตกสู่วงล้อมได้
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว มหาเซียนชั้นมหาชาลของสำนักเต๋าผ่อนคลายกว่ามาก จับตาดูจอมารรระดับเดียวกันอย่างใกล้ชิด ตอนนี้มาถึงขั้นตอนการคืนชีพของมารดินโบ่ว ทำให้พวกเขายากจะเคลื่อนไหวโดยวู่วาม
ทว่ามารตนอื่นๆ พอสัมผัสได้ถึงร่องรอยการคืนชีพของมารดินโบ่ว อารมณ์พลันปะทุขึ้น
หลังไร้คนขัดขวาง จอมมารที่เคลื่อนไหวได้ตามใจต่างเริ่มก่อการ
ในมิติไร้สิ้นสุดนอกเขตแดน ที่ริมดวงดาว ชายชราคนหนึ่งยืนนิ่งอยู่ สายตาทอดมองไกล ภายใต้เท้าของเขา แสงดาวที่อยู่ด้านหลังส่องเป็นเงาคนยาวๆ สายหนึ่ง
เพียงแต่เงาคนสายนี้ลอยอยู่กลางความว่างเปล่าที่ไร้สิ่งใดเช่นนี้ ไม่ได้รองรับสสาร แต่ยังคงดำรงอยู่
“กำลัง…เคลื่อนย้าย?” ในเงาพลันส่งเสียง
ชายชราพยักหน้า “ถูกต้อง กำลังเคลื่อนย้าย สำหรับคนที่อยู่ต่ำกว่ามหาชาล ถือว่ามีความเร็วสูงยิ่ง”
“ไม่มีดินแดนพันเกล็ด ไม่พิธีพิธีประหลาดนั่น ทั้งไม่คิดเผยตำหนักโอสแห่งวังเทพ ดังนั้นพวกเขาจึงละทิ้งชัยภูมิ ต้องการมาสู้กับพวกเราในสถานการณ์ที่เคลื่อนย้ายตลอดเวลา” เงาคนมีเสียงดังมา
“พวกเราสลัดคู่ต่อสู้ของตัวเองไม่ได้ ไม่มีวิธีไปจับพวกเขา” ชายชราหัวเราะ “ให้คนด้านล่างไป ถ้าหากไม่เร็วพอก็ไล่ตามโจมตีไม่ได้ ได้แต่หาวิธีล้อมไว้ สั่วหมิงจางเซียนสวรรค์มหาลาชที่กำเนิดใหม่ของสำนักเต๋าสายหลักกดข่มท่านได้เกินไป ไม่อย่างนั้นท่านคงนึกหาวิธีได้”
หลังฟังคำพูดของชายชรา เงาก็เงียบขรึมเล็กน้อยแล้วกล่าวต่อ “ตอนนี้ไม่มีตัวขัดขวางเหล่านั้นแล้ว ท่านสมควรจัดการพวกเขา ช่วยดินโบ่วได้กระมัง”
“ไม่ได้ ก่อนหน้าได้ลองไปแล้ว” ชายชราส่ายหน้า “สมควรเป็นฝีมือของหนานจี๋ เขาถอนตัวไปแล้ว ไม่ได้พัวพันกับพวกเราต่อ แต่ปกป้องเหล่าผู้เยาว์ของเขาไป”
ตอนนี้นพยมโลกเผชิญการผนึกกำลังจากสามฝ่าย จึงมีความรู้สึกถูกมัดมือมัดเท้า
พวกมันสลัดคู่ต่อสู้ของตัวเองทิ้งได้แล้ว กลับเป็นจักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋ฝั่งศัตรูค่อนข้างเป็นอิสระ สามารถออกมาวางแผนป้องการการกัดกินที่คงอยุ่ทุกที่ของมารจิตแรกเริ่มได้
“เหอะๆ มาอีกแล้ว” ชายชรามองความว่างเปล่าไกลออกไป
ณ ที่แห่งนั้น อวกาศอันมืดมิดพลันเปลี่ยนเป็นสว่างไสว มีกลิ่นอายอันแข็งแกร่งมากมายรวมตัวกันที่นี่
เสียงสวดมนต์และเสียงร้องของจอมปีศาจผสมกัน ในขณะที่ระวังกันและกัน กลับต่างเพ่งความสนใจหลักบนตัวชายชราและเงาทางด้านนี้
เงาค่อยๆ จางลงแล้วหายไป ชายชราพลิ้วกายไปด้านหลัง บินเข้าไปในดวงดาว ก่อนจะหายไปในอัคคีอาทิตย์เพลิงดาว
ทว่าปราณมารอันน่ากลัวซึ่งสั่นสะเทือนจักรวาลกลับยิ่งมายิ่งเต็มเปี่ยม ไม่ให้ศัตรูได้เปรียบ
สองฝ่ายเปิดสงครามกันอีกครั้ง
อีกด้านหนึ่ง นาวาเทพที่พวกเยี่ยนจ้าวเกอโดยสารกลายเป็นกระบี่ยักษ์สีแดงก่ำผ่าทลายมิติ เคลื่อนไหวอยู่ในอาณาเขตที่ต่างกันอย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดลงแม้แต่น้อย
เกาชิงเสวียนด้านในประกายกระบี่ หรือด้านในนาวาเทพเงยหน้ามองไป เห็นกระจกที่เกิดจากแสงสายฟ้าบนศีรษะใบนั้นกำลังส่องแสงกระจกไม่หยุด เหมือนกับมีสายฟ้าไร้รูปร่างสายแล้วสายเล่าฝ่าลงมาโดยไร้เค้าลาง โดยไร้ที่มาที่ไป และโดยไร้ร่องรอยให้สืบสาว
ทว่าขณะที่เสียงสายฟ้าดัง บนเรือลำนี้เหมือนมีวิญญาณร้ายที่เชื่อมต่อกันไม่ขาดสาย ยังไม่ทันจะเกิดขึ้นมาจริงๆ ก็ถูกสายฟ้าไร้รูปร่างผ่าทำลาย