ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1450 เทศนาพระโพธิสัตว์ไปยังแดนตะวันตก
ผู้อยู่ในชั้นมหาชาล อยู่ในทุกมิติเวลา เป็นอิสระตลอดกาล
ดังนั้นผู้คนจึงกล่าวกันว่า ‘ร่างเซียนสวรรค์มหาชาล ไม่เสื่อมสลายหลุดพ้นซึ่งทุกสิ่ง’
ความน่าอัศจรรย์ที่อยู่ด้านในยากจะกล่าวบรรยาย
นอกจากมีชื่อเสียงมากที่สุด บำเพ็ญร่วมกับโลก มีอายุขัยเท่ากับฟ้าดินแล้ว เทียบกับตัวตนที่อยู่ต่ำกว่าชั้นมหาชาล ในสถานการณ์ส่วนใหญ่ เซียนสวรรค์ชั้นมหาชาลเหมือนกับคงอยู่ทุกที่ ถึงขั้นกระโดดออกจากกระแสกาลเวลา ยากจะหยั่งถึง
คำพูดที่ว่า กระโดดจากสามภพ ไม่อยู่ในปัญจธาตุ มีที่มาเช่นนี้เอง
เพียงแต่เป็นเพราะมีผู้ยิ่งใหญ่ระดับมรรคากดทับอยู่บนศีรษะ ความลี้ลับอัศจรรย์จำนวนมากของยอดฝีมือชั้นมหาชาลชาลจึงแค่แสดงออกมาบางครั้ง ไม่เผยให้เห็นบ่อยๆ
ระดับมรรคาก็คือมรรคาอยู่แล้ว ทว่ายอดฝีมือชั้นมหาชาลเป็นตัวตนที่ใกล้เคียงกับมรรคาที่สุด
ในสถานการณ์บางส่วน พวกเขาถึงขั้นอยู่เท่ากับมรรคาหรือเหนือกว่า จึงมีความน่าอัศจรรย์หลายอย่างที่คนอื่นๆ ยากจะทำความเข้าใจ
ทว่าในเวลาที่เหลืออยู่ พวกเขาเองก็เป็นตัวตนที่ได้รับผลกระทบจากมหามรรคาใกล้ชิดที่สุด หรือว่าถูกพันธนาการไว้มากที่สุดเช่นกัน
ความน่าอัศจรรย์ในนี้ลี้ลับเหลือแสน เหมือนกับที่ระหว่างยอดฝีมือระดับสุญญตาสามารถทำลายเสียงมหามรรคาของอีกฝ่ายได้
หากว่าระหว่างยอดฝีมือชั้นมหาชาลสร้างการสั่นสะเทือน ก็สามารถลดความวิเศษอันหลากหลายของอีกฝ่ายได้เช่นกัน อย่างเช่นความน่าอัศจรรย์ที่เหนือกว่ามิติเวลา
ที่เผิงท่องเมฆหมื่นลี้มหาเทวะเผ่าปีศาจทำให้คนกริ่งเกรง เป็นเพราะว่าต่อหน้ายอดฝีมือระดับมหาชาลคนอื่นๆ เขาแทบเหมือนดำรงอยู่ทุกที่ ราวกับยึดครองความวิเศษแต่ละอย่างในธรรมชาติ ดังนั้นพอดำเนินการเปรียบเทียบจากประสิทธิประสิทธิผลที่เห็นได้โดยตรงแล้ว เขาจึง ‘เร็ว’ กว่ายอดฝีมือชั้นมหาชาลส่วนใหญ่!
นอกจากเผิงท่องเมฆหมื่นลี้ ยังมียอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ระดับสุดยอดอีกไม่กี่คนเป็นผู้นำในมรรคาสักมรรคา หรือหลักการที่มากมายยิ่งกว่าเช่นกัน จึงแข็งแกร่งกว่าเซียนสวรรค์ชั้นมหาชาลที่อยู่ในระดับเดีวกันเป็นพิเศษ กลายเป็นตำนานที่สั่นสะเทือนอดีตส่องประกายในปัจจุบัน
อย่างเช่นแสงวิเศษห้าสีของข่งซวน มหาเทวะนกยูงซึ่งมีบารมีมากมายในยุคสถาปนาเทพยุคโบราณตอนต้นก็อยู่เหนือสรรพสัตว์ ต่อให้เป็นคู่ต่อสู้ในระดับมหาชาลเหมือนกัน คนที่เสียท่าเขาในหนึ่งกระบวนท่าก็มีอยู่นับไม่ถ้วน
หากนับยอดฝีมือในยุคโบราณปัจจุบันทั้งหมด แล้วเทียบระดับพลังฝึกปรือของแต่ละคน ไม่ว่าจะถูกจัดอยู่ในลำดับเท่าไร นกยูงตัวนั้นก็อยู่ในสามอันดับแรกรองจากระดับมรรคา ทว่านั่นเป็นการเปรียบเทียบระหว่างยอดฝีมือระดับมหาชาลด้วยกันเอง
สำหรับคนที่อยู่ต่ำกว่าชั้นมหาชาล ในสถานการณ์ส่วนใหญ่ ยอดฝีมือชั้นมหาชาลเป็นตัวตนที่ไม่อาจมอง ไม่อาจกล่าวถึง ไม่อาจบรรยาย ไม่อาจพรรณนา
มหาชาลมาถึง ในสายตาของคนทั่วไปล้วนได้แต่มองดูปรากฏกาณ์ประหลาดของฟ้าดิน มองไม่เห็นร่างที่แท้จริงของอีกฝ่ายเป็นส่วนใหญ่
ตอนที่มารน้ำกุ่ยคืนชีพ เทพมารตนนั้นพอมาถึง ก็สร้างเขตมารที่ใกล้เคียงกับนพยมโลกขึ้น
หนอนเก้าเศียรพอมาถึง ก็เป็นแสงสีขาวที่แบ่งแยกฟ้าดิน
เป็นเพราะว่าเฟิงอวิ๋นเซิงต่อสู้กับพวกเขา สามารถลดความพิเศษของพวกเขาได้ในระดับหนึ่ง จึงทำให้ร่างของพวกเขาเปลี่ยนเป็นรูปธรรม กลายเป็นของจริง
ขณะนี้พระพุทธเจ้าองค์นั้นโจมตี พร้อมกับที่โจมตีถูกกระบี่ยักษ์สีแดงก่ำ ก็ทำให้คนที่อยู่บนเรือเห็นร่างของท่าน
เป็นนะโมยุทธวิชัยพุทธะ!
ก่อนหน้าอยู่ในแดนสุขาวดีอภิรดีศูนย์กลาง หลังยุคโบราณตอนกลางได้เข้าสู่แดนสุขาวดีตะวันตกเพื่อบำเพ็ญเพียร ปัจจุบันปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งพร้อมเหล่าบรรพชิต
หลังจากท่านปรากฏตัวก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ตบฝ่ามือหนึ่งลงมือ
กล่าวไปน่าประหลาดแท้ กระบี่ยักษ์สีแดงก่ำที่เคลื่อนย้ายมิติ พุ่งหลบไปทั่ว ทำให้พวกเทพมาร อนุเทวะ และพระโพธิสัตว์ไล่ตามไม่ทัน ปิดล้อมไว้ไม่ได้ กลับไม่อาจหลบหลีกเมื่ออยู่ต่อหน้าฝ่ามือของพระพุทธเจ้าองค์นั้น
ไม่ใช่ว่าพวกเกาชิงเสวียน ‘ช้า’ แต่เป็นเพราะอีกฝ่าย ‘เร็ว’ กว่า!
หรือสมควรบอกว่า ไม่ว่ากระบี่ยักษ์สีแดงก่ำจะเคลื่อนย้ายไปยังที่ใด ก็มีฝ่ามือข้างนั้นรออยู่ที่นั่น ความช้าและความเร็วจึงสูญเสียความหมาย
สองฝ่ายปทะใส่กัน ประกายกระบี่สีแดงก่ำพลันสลาย
ถึงพวกเยี่ยนตี๋จะคิดช่วยเหลือ แต่ตอนนี้เหมือนกับใช้แก้วตักน้ำดับรถติดไฟ
สองฝ่ายมีความต่างของพลังฝึกปรือมากเกินไป วายุเซียนของเซียนลี้ลับ สำหรับบุปผาเซียนของเซียนสวรรค์เท่ากับไม่คงอยู่
คนที่อยู่รอบๆ มีแต่เฟิงอวิ๋นเซิงกับหลิงชิงที่ช่วยเกาชิงเสวียนได้ แต่จนปัญญาที่มีพลังไม่เพียงพอ ยังคงต้านทานอานุภาพของยุทธวิชัยพุทธะไม่ได้
เฟิงอวิ๋นเซิงละทิ้งความกริ่งเกรงชั่วขณะ สนใจเพียงเบื้องหน้า แสงมารสีดำอมน้ำเงินในสองตาเข้มข้นขึ้น ลงมือทันเวลา จึงป้องกันการพังทลายของเรือยักษ์ด้านล่างไว้ได้
เพียงแต่เมื่อเป็นแบบนี้ เปลวเพลิงพวยพุ่งจากตาสองข้าง คลุ้มคลั่งหากเย็นเยียบ เหมือนกับกำลังสูญเสียอารมณ์ความรู้สกึของมนุษย์ไป
“นะโมอมิตาพุทธ”
ในความว่างเปล่ามีเสียงสรรเสริญพระคุณดังมา “ตถาคตเมตตากรุณา ไหนเลยยอมให้จุดจบพระธรรมมาถึง”
“ท่านไม่มาที่นี่ ย่อมไม่ต้องรับไว้” เฟิงอวิ๋นเซิงตอบอย่างเย็นชา
แสงสีดำกะพริบเหนือศีรษะของนางไม่หยุด บุปผาเมฆสองดอกเหมือนมีเหมือนไม่มี เดี๋ยวหายเดี๋ยวปรากฏ
ในสงครามจัดการมารน้ำกุ่ยเมื่อก่อนหน้า นางลงมือสุดกำลังนานเกินไป พลังไม่ได้หมดลง แต่ว่าจิตใจเกือบเสียสมดุล ขณะนี้ถ้าหากลงมือสุดกำลัง สำนึกมารในใจจะยิ่งมายิ่งรุนแรงขึ้น แต่ว่าในเงื่อนไขที่ไม่มีวิธีการที่ดีกว่า ที่แล้วมานางไม่เคยขาดความแน่วแน่ในการลงมือ
“ตถาคตมาที่นี่ก็เพื่อเทศนาพระโพธิสัตว์ไปยังแดนตะวันตก” พระพุทธเจ้าที่นั่งบนยังเขียวไม่รีบร้อน ดูน่าเลื่อมใส
ท่านกางแขนสิบแปดข้างออก จากนั้นก็ประกบกันตรงกลาง แสงพุทธไร้สิ้นสุกลายเป็นครรภโกศธาตุที่สว่างไสวไร้จำกัด ถึงกับปกคลุมเฟิงอวิ๋นเซิงไว้ตรงกลาง
เสียงสวดมนต์ดังขึ้นไม่ขาดหู ทำให้เฟิงอวิ๋นเซิงถึงกับเกิดความรู้สึกสงบนิ่งยินดีในใจ
พริบตานี้ในครรภโกศธาตุ นางต้องการวางดาบลงอย่างไม่อาจควบคุม แล้วกลับคืนสู่ความสงบนิ่งและความสุขเช่นนี้
ขณะที่ยุทธวิชัยพุทธะเทศนาเฟิงอวิ๋นเซิง ก็คิดขัดขวางเส้นทางที่เชื่อมสู่ภัยพิบัติฟ้าของนางด้วย ไม่อย่างนั้นหากนางกระทำความต้องการของตัวเอง ฝ่าภัยพิบัติฟ้ากำเนิด เลื่อนสู่ชั้นมหาชาลก็ได้แต่ต้องสู้กันแล้ว
นะโมยุทธวิชัยพุทธะแม้นแข็งแกร่ง แต่ยามเผชิญกับดาบปัจฉิมธรรมที่เลื่อนสู่ชั้นมหาชาล ผลลัพธ์การต่อสู้เป็นอย่างไร ท่านก็ไม่อาจควบคุมได้
“หือ?” เฟิงอวิ๋นเซิงรู้สึกแตกตื่น
นางทราบว่านี่เป็นเพราะว่านางระวังและขัดขืนการเพิ่มขึ้นของสำนึกมารมาโดยตลอด จึงควบคุมดาบมารได้ ไม่ใช่ถูกมันควบคุมจิตใจ
นี่เป็นความพากเพียรและความเชื่อมั่นที่นางในฐานะจอมยุทธ์พึงมี ทว่าในขณะนี้กลับถูกพระธรรมใช้ประโยชน์
ชั่วขณะนี้พระธรรมกับสำนึกมารเดิมเป็นขั้วตรงกันอยู่แล้ว กำลังแย่งชิงเฟิงอวิ๋นเซิง และกีดกันอีกฝ่ายอยู่ หากนางต้องการควบคุมจิตใจของตัวเอง ต้องป้องกันผลกระทบที่สองฝั่งนี้มีต่อตัวเองพร้อมกัน!
แหล่งกำเนิดและรากฐานของสองฝ่ายนี้ต่างเต็มเปี่ยมยิ่งกว่านาง คิดให้คนอื่นรับเคราะห์แทน นั่งบนเขามองพยัคฆ์สู้กัน ไหนเลยง่ายดาย
ทว่าสตรีอาภรณ์ขาวสงบจิตใจ ต้านทานการกัดกินของสองฝ่ายที่ส่งผลต่อนางได้อย่างรวดเร็ว
คิดถึงในตอนนั้น นางยังอยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะสำแดง ก็แข่งความแน่วแน่ราชันพระราหูเจี่ยนซุ่นหัวแล้ว
หลังเคี่ยวกรำมาหลายปี จิตใจที่เดิมทีแน่วแน่อยู่แล้ว ยิ่งเหมือนหลอมด้วยเหล็กกล้า
เมื่อครู่จำเป็นต้องใช้สำนึกมารปล่อยพลัง ดังนั้นจึงเกิดความติดขัด
ขณะนี้เฟิงอวิ๋นเซิงรักษาความเยือกเย็นของตัวเอง เปลี่ยนวิธีการต่อสู้ คิดจะลากยุทธวิชัยพุทธะเข้าสู่การต่อสู้ในด้านนี้
อีกฝ่ายอยู่ในชั้นมหาชาล มีพลังน่าตกตะลึง น่าอัศจรรย์ไร้ขอบเขต แต่คิดจะเทศนาข้า เช่นนั้นท่านได้แต่ต้องสู้กับข้าบนสมรภูมิอื่น พอถึงขอบเขตนี้ ท่านก็ไม่สะดวกสบายเหมือนเดิมแล้ว!
“นะโมอมิตาพุทธ” ยุทธวิชัยพุทธะพลันสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงภายใน “พระโพธิสัตว์สุดที่คนทั่วไปจะเทียบได้โดยแท้”
ขณะที่ท่านเปล่งเสียงสรรเสริญคุณ สารีริกธาตุในแสงทองเหนือศีรษะพลันลอยออกมา